จินเฟยเหยาเดาว่าองค์ชายใหญ่น่าจะไม่ขึ้นประลองด้วยตนเอง ข้อหนึ่งคือพลังการบำเพ็ญเพียรของราชัน นภูติถูกสะกด เขาไม่จำเป็นต้องลงมือ ข้อสองคือเพื่อหน้าตาของราชวงศ์ ถึงอย่างไรราชันภูติก็เป็นทาส ที่นี่ก็เป็นลานประลอง ถ้าต่อสู้กันจะเป็นการลดฐานะของตนเอง
รอจนองค์ชายใหญ่และองค์หญิงผิงอันนั่งลงบนอัฒจันทร์สูงก็ให้ทุกคนลุกขึ้นได้ แม้แต่คำพูดประโยคหน นึ่งยังคร้านจะเอ่ย เขาเพียงแต่ส่งสัญญาณมือ ท่านอ๋องจื้อที่นั่งลงข้างองค์ชายใหญ่พยักหน้าบอกลูกน้อ องที่มาแทนตำแหน่งโจวจื้อให้เริ่มการประลองได้
ในเวลานี้ มีคนสามคนเดินแถวเดียวขึ้นลานประลอง การขึ้นเวทีประลองของพวกเขาเรียกเสียงโห่ร้องยินดีจาก กประชาชนบนอัฒจันทร์
คนทั้งสามสวมชุดเกราะสีทอง ศีรษะสวมหมวกเกราะสีทอง ปกป้องตนเองอย่างแน่นหนา แบ่งเป็นของวิเศษสามชน นิด หอก กระบี่ และดาบ เสื้อคลุมที่มีริ้วสีเงินด้านหลังแทบจะลากพื้น เดินมาอย่างองอาจและอหังการ สอ องฟากยังมีสตรีรับใช้หกนางถือตะกร้าดอกไม้เดินพลางโปรยกลีบดอกไม้ เปิดตัวอย่างใหญ่โตอลังการ
“สามคนนี้เป็นแม่ทัพสามนายในกองทัพจักรพรรดิสงคราม ก่อนหน้านี้ข้าเคยประมือกับพวกเขาหลายครั้ง แต่ละค คนมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ ข้าถูกคนถือหอกจับตัวมา” ราชันภูติเกรงว่าปราณมารของจินเฟยเห หยาถูกสะกด มองพลังการบำเพ็ญเพียรของสามคนนี้ไม่ออกจะเสียเปรียบจึงเอ่ยเตือนเบาๆ
สภาพในยามนี้ไม่เหมือนกับเมื่อสองวันก่อน สามคนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียรสูสีกับเขา ถ้าไม่ได้ถูกสะกดปรา าณมาร เขาสามารถต้านรับได้คนหนึ่งและหลบหนีจากเงื้อมมืออีกสองคนได้ ทว่าตอนนี้ทั่วร่างของเขามีเ เพียงพลังกาย คิดจะเอาชนะคนหนึ่งในนั้นก็ยากแล้ว คิดจะคุ้มครองจินเฟยเหยายิ่งเป็นไปไม่ได้
ราชันภูติชะงัก พบว่าตนเองยังไม่รู้จักชื่อของสตรีเผ่ามารผู้นี้ คิดว่าวันนี้คงมีโอกาสตายมากกว่ ารอด จึงเอ่ยถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“หืม?” จินเฟยเหยานิ่งงัน จากนั้นยิ้มแย้มเอ่ยว่า “หรือว่าต่อไปเจ้าเตรียมจะสร้างสุสานให้ข้า?”
“วันนี้ยากจะหนีความตายพ้น ก่อนตายข้าอยากรู้ชื่อของเจ้า ราชันภูติเป็นฉายาที่เผ่ามนุษย์ตั้งให้ข ข้า ชื่อจริงของข้าคือเมิ่ง คนเผ่ามารต่างเรียกข้าว่าแม่ทัพเมิ่ง” เมิ่งมองจินเฟยเหยาผ่านหน้ากาก ถ ถึงสตรีผู้นี้จะทำให้คนไม่ชอบ ทว่าก็ถือเป็นคนเผ่ามารและตอนนี้อาจจะตายด้วยกันจึงอยากจะพูดสักหน่อย ย
จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ “ข้าชื่อจินเฟยเหยา เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ให้เจ้าตายหรอก ต่อให้กินคนในเมืองห หลวงทั้งหมด ข้าก็จะเหลือเจ้ากับองค์หญิงผิงอันไว้”
หลายวันนี้ราชันภูติต้องทนฟังคำพูดไร้สาระของนาง คิดไม่ถึงว่าในเวลาเช่นนี้นางยังไม่จริงจังเหมือนเ เดิม
“จริงสิ ข้าลืมบอกเจ้าไป ข้าไม่ใช่เผ่ามาร ข้าเป็นเผ่ามนุษย์ ทั้งยังเป็นเผ่ามนุษย์ที่กินคนด้วย อยู่ที่โลกอื่น ทั้งสองเผ่าเห็นข้าก็แค้นจนเข้ากระดูก ถึงขั้นที่ทุกคนตะโกนบอกให้ทุบตี” จินเฟย เหยาส่งยิ้มให้เขา
ราชันภูติตะลึงงัน เผ่ามนุษย์! เป็นเผ่ามนุษย์ที่เขาเกลียดชังที่สุด ทว่าเหตุใดบนศีรษะจึงมีเขา หรือ อว่าเป็นเขาปลอม
ฆ่า หรือไม่ฆ่า!
เขาตะลึงงัน แต่กลับจำได้ว่าจินเฟยเหยาบอกว่าตนเองเป็นเผ่ามนุษย์ที่กินคน เรื่องนี้ทำให้เขาไม่ เข้าใจอย่างยิ่ง หรือว่าเผ่ามนุษย์บ้าคลั่งจนถึงขั้นนี้จริงๆ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ไม่เพียงสังหาร เผ่ามารแม้แต่เผ่าพันธุ์ของตนเองก็สังหารด้วยหรือ?
“ตะลึงงันทำไม ลุยสิ” จินเฟยเหยาไม่สนใจว่าราชันภูติคิดอะไร ให้ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นดาบสองเล่ม ถืออยู่ในมือ พุ่งปราดเข้าใส่แม่ทัพเผ่ามนุษย์สามคนนั้น
“หา!” ราชันภูติชะงัก ยังไม่ได้จุดพลุให้เริ่มประลองเลยเหตุใดจึงพุ่งออกไปแล้ว
จินเฟยเหยาปราดออกไปพลางหันไปด่าทอ “เจ้าโง่! ไม่มีเสียงพลุแล้วเจ้าฆ่าคนไม่เป็นหรือ!”
ร้อยกว่าปีมานี้ ราชันภูติเคยชินกับการจุดประทัดแล้วจึงลงมือ ชั่วขณะถึงกับไม่ทันมีปฏิกิริยา พอถูก นางตะคอกด่าจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งถูกขังมาร้อยปีถึงกับโง่งมจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึ งคำรามลั่นถือขวานพุ่งตัวออกไปเช่นเดียวกัน
เดิมทีมีการจัดเตรียมให้แม่ทัพสามคนขึ้นลานประลอง ขั้นตอนที่ท่านอ๋องจื้อเตรียมไว้คือขณะแม่ทัพขึ้น นประลอง ให้บรรดาสาวงามของลูกน้องโปรยกลีบดอกไม้มาตลอดทาง จากนั้นรอจนยืนบนลานประลองจึงปล่อยเวทอัน นน่าเกรงขามใส่ประชาชนรอบด้าน สุดท้ายจึงโปรยกลีบดอกไม้ทั่วท้องนภา การจัดการแบบนี้ถูกรสนิยมขององค์ช ชายใหญ่ที่ชื่นชอบการแสดงความหรูหราอลังการที่สุด
บรรดาแม่ทัพไม่เห็นราชันภูติและจินเฟยเหยาอยู่ในสายตา ในความเห็นของพวกเขา ราชันภูติที่ถูกสะกดป ปราณมารเป็นเพียงสัตว์ปิศาจที่มีเรี่ยวแรงมากเท่านั้น ไม่ค่อยคู่ควรให้ลงมือเท่าใด
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม่ทัพหยางจื่อหยางที่เคยจับกุมราชันภูติด้วยมือตนเอง เขาใช้หอกวิญญาณในมืออันน นั้นทิ่มแทงราชันภูติเมิ่ง ตอนนี้ยังต้องจัดการแม่ทัพที่พ่ายศึกใต้เงื้อมมือตนเองอีกครั้ง อีกทั้งยั งเป็นทาสที่ไม่มีปราณมาร ไม่มีอะไรคู่ควรให้ลงมือเลย
ทาสสองคนนี้พอดีให้แม่ทัพคนอื่นๆ อีกสองคนรับมือกันคนละคน ตนเองเพียงปรากฏตัวมาตบหน้าองค์ชายรอง งและองค์ชายหกแทนองค์ชายใหญ่
ดังนั้นพอเห็นจินเฟยเหยาและราชันภูติทะยานมาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม พวกเขาสามคนเพียงมองอย่างดูแคลน นและตำหนิว่าพวกเขาไม่รู้จักกฎเกณฑ์ พิธีปรากฏตัวยังไม่จบสองคนนี้ก็เข้ามาหาที่ตายแล้ว เดิมยังค คิดจะให้พวกเขามีชีวิตอยู่อีกครู่หนึ่ง
จินเฟยเหยาไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ ทว่าใช้พละกำลังของร่างกายตนเอง ต่อให้นางไม่ต้องคุ้มครองราชันภูติหน นึ่งเดือนก็ต้องคุ้มครองเขาห้าหกวันนี้
นางได้ยินคำพูดก่อนตายของคนเผ่ามารสามคนที่ถูกฆ่าพูดกับเมิ่งอย่างชัดเจน เพื่อมาช่วยเขาทัพกบฏเผ ผ่ามารตัดเขาย้อมสีผมปะปนเข้ามา วางแผนว่าอีกห้าวันจะก่อความวุ่นวายและมาช่วยราชันภูติ
ก่อนหน้านี้คนเผ่ามารแบ่งกลุ่มปะปนเข้ามาจำนวนมาก จำนวนคนทั้งหมดมีหนึ่งพันกว่าคน สาเหตุที่พวกเขาต ต้องเสี่ยงอันตรายมา เนื่องจากแม่ทัพที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่สองคนของเผ่ามารคนหนึ่งต ตายอีกคนบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่ช่วยเมิ่งกลับไป เผ่ามารก็จะไม่มีคนขั้นกำเนิดใหม่อีก เหลือเพียงคนเผ่าม มารขั้นหลอมรวมประมาณสิบคน และอาจจะรักษาดินแดนที่ยึดครองไว้น้อยนิดแถบชายแดนไม่ได้ สุดท้ายคนเผ่ ามารอิสระกลุ่มหนึ่งจะกลายเป็นทาส และเผ่ามารจะไม่เหลือความหวังใดๆ อีก
หลังจากเมิ่งรู้ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปจึงทำใจเหี้ยมสังหารคนเผ่ามารเหล่านั้น เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ อไป เพื่อให้คนเผ่ามารจำนวนมากได้รับอิสระ ถึงเสี่ยงชีวิตก็ต้องรอดออกไปจากเมืองหลวง กองทัพกบฏยังต้ องการข้าไปเป็นผู้นำ ข้าจะตายที่นี่ไม่ได้!
จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าพวกเขามีวิธีใดสามารถกำจัดคาถาบนแผ่นหลังราชันภูติได้ ถ้าไม่แก้คาถาและให้รา าชันภูติกลับไปอย่างเปิดเผยก็ไม่มีประโยชน์นัก อย่างมากที่สุดก็ลากสังขารบาดเจ็บทั่วร่างฆ่าสวะเผ่า มนุษย์ขั้นหลอมรวมตายสิบคน เจอกับขั้นกำเนิดใหม่ก็ไม่แน่ว่าจะถูกจับกลับมาที่นี่อีก ไม่มีอะไรหยา ามเกียรติเผ่ามารได้ยิ่งกว่าการจับหัวหน้ากองทัพกบฏกลับมาเป็นทาสอีกครั้ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเมิ งยังเป็นชนชั้นสูงของเผ่ามาร
จินเฟยเหยาแลบลิ้นคิดจะทดลองดูว่ากระดูกทั่วร่างซึ่งเป็นของวิเศษชั้นกลางของตนเองจะต้านทานการโจม มตีขณะต่อกรกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ได้หรือไม่ สังหารแม่ทัพสามคนตายแล้วกลืนกินหยวนอิงของ งพวกเขา เป็นเรื่องที่นางอยากทำที่สุดในยามนี้
“อ๊า” จินเฟยเหยาคำรามลั่นกำดาบฟาดฟันไป ดาบพกพาลมหมุนลากกระแสอากาศสีขาวที่สามารถมองเห็นได้ด้ว วยตาเนื้อฟันใส่แม่ทัพที่ถือกระบี่
คนผู้นี้มีพลังการบำเพ็ญเพียรอ่อนด้อยที่สุดในสามคน ทำให้ตายได้คนหนึ่งก่อนก็ถือว่าคนหนึ่ง จัดก การคนแข็งแกร่งก่อนมิสู้เลือกคนอ่อนด้อยก่อน ฟันคนผู้นี้ตายก็เหลือต้องจัดการเพียงสองคน นางไม่มี ความคิดจะเข้าไปหาแม่ทัพที่ถือหอกตรงกลางเลยสักนิด
มิใช่รู้สึกว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของหยางจื่อหยางคือขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย แต่ดูออกว่าในดวงตาข ของคนผู้นั้นรู้สึกเรื่องนี้ไม่มีค่าควรแก่การเหลือบแลเลยสักนิด ขอเพียงไม่ลงมือกับเขาตรงๆ เขาต ต้องยืนมองดูอยู่ข้างๆ แน่ โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอคนประเภทนี้ ถ้าไม่เจอคนที่หยิ่งผยอง พุ่งเข้ามาฟั นโดยไม่สนใจว่าเป็นใครก็ยุ่งยากแล้ว สู้สองต่อสามไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด
ในเวลาเดียวกับที่ฟันลงไป จินเฟยเหยาไม่สนใจว่าราชันภูติจะพบเห็นหรือไม่ ถ่ายทอดเสียงไปหาเขาประโ โยคหนึ่ง “อย่าฆ่าคนถือหอก ฆ่าคนถือดาบ!”
ราชันภูติและหยางจื่อหยางมีความแค้นเก่า เขาที่เดิมทีวิ่งออกไปอย่างดุร้าย ถูกการถ่ายทอดเสียงของ จินเฟยเหยาทำให้ตกใจ ร่างแข็งทื่อทันที เผ่ามนุษย์จอมเจ้าเล่ห์ ไม่เพียงปลอมตัวเป็นเผ่ามารยังแสร้ง งเป็นใช้เวทมนตร์ไม่ได้ด้วย ที่แท้ทุกอย่างคือเรื่องโกหก
แต่ตอนนี้จินเฟยเหยายืนอยู่ฝ่ายเขา ดังนั้นราชันภูติจึงกัดฟันยอมรับนางอย่างช่วยไม่ได้ ตนเองยังมี ภารกิจใหญ่หลวงจะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ เป็นเผ่ามนุษย์ก็ช่างนาง ถึงอย่างไรนางก็มาจากโลกอื่น ไม่ใช่ เผ่ามนุษย์สารเลวที่นี่เสียหน่อย
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายวิ่งไปหาแม่ทัพขั้นกำเนิดใหม่ที่ถือดาบ
“เคร้ง!” ดาบของจินเฟยเหยาฟันไป ทว่าแม่ทัพที่ถือกระบี่ต้านรับอย่างดูแคลนคนนั้นรู้สึกถึงแรงกด อันหนักหน่วงบนแขนทันที
เขาขมวดคิ้ว พละกำลังบนดาบเพิ่มขึ้นกดจนแขนของเขาปวดเมื่อยราวกับภูเขาขนาดใหญ่ร่วงลงมาทับ เรื่องน นี้ทำให้เขาตกตะลึง สตรีเผ่ามารผู้นี้มีเรี่ยวแรงมหาศาล มือขยับตามใจคิด ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาแล ละถ่ายทอดลงบนตัวดาบต้านทานการฟาดฟันในครั้งนี้ของนางทันที
จินเฟยเหยาไม่ได้หยุดมือ เห็นบนกระบี่อีกฝ่ายใช้พลังวิญญาณ นางก็ยกดาบอีกเล่มฟันลงไป ตัวกระบี่ ส่งเสียงดังเคร้ง เห็นใต้เท้าของแม่ทัพผู้นี้ส่งเสียงตูม คิดไม่ถึงว่าจะถูกกดลงไปในพื้นหนึ่งชุ่น น
“ฟันเจ้าให้ตาย!” สองมือจินเฟยเหยาร่ายรำดาบสองเล่มอย่างบ้าคลั่ง ฟาดฟันลงบนกระบี่เล่มนี้อย่างต ต่อเนื่อง
แม่ทัพโจวปินอวิ๋นไม่เคยต้านรับการโจมตีแบบนี้มาก่อน การต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญเซียนล้วนปล่อยของวิเ เศษและเวทมนตร์ระยะไกล บางครั้งมีการต่อสู้ประชิดตัวเล็กน้อย เขาสวมชุดเกราะสีทองบนร่างเพราะเกรงว่า จะถูกลอบโจมตี ร่างมีชุดเกราะสีทอง การโจมตีมีกระบี่ เขาไม่เคยต้องรับการโจมตีราวกับพายุฝนฟ้าคะนอง งแบบนี้มาก่อน
เขารวมพลังวิญญาณทั้งหมดไว้บนดาบ พยายามต้านรับดาบที่ปกคลุมลงมา แต่คิดจะใช้เวทมนตร์ยังต้องให้ม มือข้างหนึ่งเป็นอิสระ ตอนนี้เขามีเวลาว่างเอามือออกมาที่ไหน จึงได้แต่ต้านทานฝนกระบี่เหล่านั้นอย่าง งดุดัน
ขอเพียงจินเฟยเหยามีช่องว่างสักนิด โจวปินอวิ๋นก็สามารถใช้เวทมนตร์ทำให้นางตายได้
แน่นอนว่านี่เป็นความปรารถนาฝ่ายเดียวของโจวปินอวิ๋น สิ่งที่จินเฟยเหยาถือในมือคือทงเทียนหรูอี้ ไม่ใช่ดาบแค่สองเล่ม ฟันไปฟันมา โจวปินอวิ๋นก็รู้สึกว่าก้นและด้านหลังชา ชุดเกราะส่งเสียงเสียดหู เขารู้ทันทีว่าตนเองบาดเจ็บแล้ว
“ไสหัวไป!” เขาคำรามอย่างมีโทสะ พลังวิญญาณสีขาวพวยพุ่งผลักดาบคู่ของจินเฟยเหยาออกไป
จากนั้นเขาก็ถอยออกมาหลายก้าว เห็นชุดเกราะสีทองด้านหลังของตนเองถูกฟันหลุดไปชิ้นใหญ่ ก้นและแผ่ นหลังปรากฏบาดแผลมีเลือดหยดสิบกว่าสายและลึกจนเห็นกระดูก บนก้นยิ่งถูกฟันจนเนื้อแยะ
เจ้าโง่ นึกว่าใช้กระบี่ก็จะต้านทานการโจมตีของข้าได้ จินเฟยเหยากระโดดออกไปพลางยิ้มเย็นชา ในมือ ยังถือดาบสองเล่มดังเดิม มองความผิดปกติไม่ออกเลยสักนิด
เมื่อครู่ขณะนางฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง ฉวยโอกาสที่คมดาบเหลือเพียงเงาตกค้างทำให้ดาบกลายเป็นแส้ที่เต็ มไปด้วยหนาม แอบเลาะชุดเกราะของโจวปินอวิ๋นชิ้นหนึ่ง รัศมีการโจมตีของแส้มีมากกว่าดาบ แส้ลอยไปด้าน นหลังทำให้โจวปินอวิ๋นเสียเปรียบเงียบๆ
อีกทั้งอาการบาดเจ็บนี้ยังทำให้โจวปินอวิ๋นงุนงง ไม่รู้ว่าติดกับตรงที่ใด