จินเฟยเหยาตะลึงงัน จากนั้นมองราชันภูติอย่างดูแคลนและเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “นึกว่าเจ้าได้รับความนิยมเสียอีก คิดไม่ถึงว่าคนจะรังเกียจขนาดนี้ เพิ่งปรากฏตัวทุกคนก็ตะโกนว่าจะฆ่าเจ้า”
“คนที่พวกเขาพูดถึงคือเจ้า!” ราชันภูติมีโทสะแทบตาย ยายคนหน้าไม่อาย
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย? ชิ เจ้าพวกโง่เขลา” จินเฟยเหยายักไหล่ เอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นอะไร
ในเวลานี้เองคาถาบนแผ่นหลังราชันภูติสว่างวาบขึ้น เขารีบรวบรวมปราณมารไว้ที่มือขวา ขวานยักษ์ที่มีไอดำปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขายกขวานขึ้นเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีทางปกป้องเจ้าได้ เจ้าระวังตัวเองให้ดี”
จินเฟยเหยาไม่ได้ฟังเลย เพียงจับจ้องมองแผ่นหลังของเขา “อ้อ ที่แท้ให้เจ้าปล่อยของวิเศษแก่นชีวิตออกมาแบบนี้เอง เจ้าวางใจเถอะ ข้าบอกแล้วว่าจะคุ้มครองเจ้า เจ้าไปรอด้านหลังก็พอ แค่วงเวทหมื่นอสรพิษ พอฟังชื่อก็รู้แล้วว่าต้องโยนงูฝูงหนึ่งออกมาแน่ๆ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด” จินเฟยเหยาตบบ่าราชันภูติแปะๆ ให้เขาถอยไปด้านหลัง อย่ามาเกะกะข้างหน้า
ราชันภูติถือขวานยักษ์ ไม่ได้ถอยไปด้านหลังทว่ามองนางอย่างจนใจ เจ้าสิเกะกะ
“ฟุ่บ!” สี่มุมของลานประลองดังขึ้น งูพุ่งออกมาราวกับระลอกคลื่น ขนาดเล็กใหญ่เพียงนิ้วมือ ขนาดใหญ่ตัวหยาบเท่าต้นไม้เก่าแก่อายุร้อยปี แลบลิ้นส่งเสียงดังชี่ๆ เลี้อยเข้ามา
งูถูกปล่อยออกมาจากสี่ด้าน พริบตาก็ล้อมพวกเขาไว้ตรงกลางทั้งยังกดดันเข้ามาใกล้ทุกที จินเฟยเหยากลับถูกราชันภูติลากให้ถอยมาอยู่ข้างๆ เสาต้นใหญ่
“เจ้าชิดด้านหลังไว้ งูพวกนี้มีพิษ อย่าเข้าใกล้เด็ดขาด!” ราชันภูติให้จินเฟยเหยาอยู่ด้านหลัง ยกขวานขึ้นเผชิญหน้ากับฝูงงู
จินเฟยเหยากระพริบตา เดาว่าเจ้าหมอนี่คงเป็นกองรั้งท้ายเสียแปดส่วนดังนั้นจึงถูกเผ่ามนุษย์จับมา เป็นคนสัตย์ซื่อตรงไปตรงมาจริงๆ ถ้ารู้ว่าตนเองเป็นเผ่ามนุษย์ ต้องหมุนขวานด้ามนั้นมาฟันแน่ อย่าบอกดีกว่า
นางรีบฉุดดึงราชันภูติที่กำลังจะพุ่งออกไป “งูมากมายปานนี้เจ้าไม่มีปราณมารเสียหน่อย หรือเจ้าจะใช้ขวานฟันตรงๆ?”
“ไม่ฟันแล้วจะทำอย่างไร?” ราชันภูติตอบอย่างหมดความอดทน งูใกล้จะเลื้อยมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ยังพูดมากอีก
จินเฟยเหยาโบกมือ “ไม่ต้องไป ข้ามีสิ่งของจัดการงู เจ้ารอก่อน” เอ่ยจบนางก็ล้วงเข้าไปในอก หิ้วพั่งจื่อออกมาจากนั้นเขย่าอย่างแรง พั่งจื่อตื่นจากการหลับใหล จากนั้นนางก็โยนพั่งจื่อเข้าไปกลางฝูงงูโดยไม่ส่งเสียง
พั่งจื่อกำลังฝันหวาน ลืมตาขึ้นเห็นตนเองกำลังร่วงลงในฝูงงู ก็ตื่นเต็มตาทันที พลิกตัวกลางอากาศเปลี่ยนเป็นสูงสามจั้งในพริบตา ร่างยังไม่ร่วงลงพื้นมันก็อ้าปากตวัดลิ้นโจมตีฝูงงูอย่างว่องไว ภายในชั่วพริบตา กลางฝูงงูก็ปรากฏช่องว่างขนาดใหญ่ทันที งูอย่างน้อยร้อยตัวลงท้องพั่งจื่อไปแล้ว
มันพลิกตัวกลับมาอ้าปากกว้างแล้วตวัดฝูงงูเข้าปาก ทั้งยังหาเวลานำป้ายออกมาเขียน จากนั้นโยนใส่ศีรษะจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาหยิบป้ายขึ้นมาอ่าน บนนั้นเขียนประโยคเดียว ‘ยายโง่!’
“เชอะ เจ้าบ้าพั่งจื่อ ให้เจ้ากินงูทั้งหมดแล้วยังมาด่าทอข้าอีก หวังดีแต่ไม่ได้รับการตอบแทนจริงๆ” งูพวกนี้ระดับสูงสุดก็เพียงขั้นห้า จินเฟยเหยาไม่สนใจจะกิน ตอนนี้นางเลือกกินมาก สิ่งของแบบนี้ไม่เข้าตา ดังนั้นจึงโยนให้พั่งจื่อที่ชอบกินงู
พั่งจื่อกินอย่างรวดเร็ว ราชันภูติถือขวานยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น วงเวทหมื่นอสรพิษอันน่ากลัวเปลี่ยนเป็นอาหารอันโอชะของผู้อื่น เผ่ามนุษย์ที่ชมการประลองตะลึงงัน นี่มันเรื่องอะไรกัน น่าเกลียดและไร้รสชาติมากกว่าการแสดงสังหารสัตว์ปิศาจขั้นสองของเผ่ามารขั้นฝึกปราณเสียอีก
อีกทั้งงูพวกนี้ยังถูกกบยักษ์กินราวกับเส้นบะหมี่ทำให้คนที่เมื่อเช้าเพิ่งกินบะหมี่มาเกิดอาการมวนท้อง ภาพนี้ยังทำให้คนอยากจะอาเจียนมากกว่าเครื่องในกระจายเกลื่อนพื้นอีก
ขณะที่ราชันภูติยืนถือขวานอยู่ว่างๆ บนเวทีและไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็ได้ยินจินเฟยเหยาตะโกนบอกเขา “ราชันภูติ เจ้าดูสิคิดไม่ถึงว่าตรงนี้จะมีดอกไม้งอกด้วย”
ราชันภูติก้มหน้าลงมอง จินเฟยเหยากำลังย่อกายอยู่ข้างเสาและชี้ดอกไม้ป่าเล็กๆ ที่โคนเสา นั่นเป็นดอกไม้ป่าสีขาวเล็กๆ หนึ่งดอก ไม่รู้ว่าโลหิตของผู้ใดกระเซ็นโดนกลีบดอกไม้ ทิ้งเป็นคราบโลหิตแห้งกรังหยดหนึ่ง
จินเฟยเหยาจุปากเอ่ยว่า “ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายขนาดนี้มันยังงอกได้ ทั้งยังออกดอกงดงาม พลังชีวิตแข็งแกร่งจริงๆ”
จ้องมองดอกไม้ป่าที่พลิ้วไหวกลางสายลมแผ่วเบา ราชันภูตินึกถึงคนในเผ่าภายในป้อมปราการชายแดนเขตภูเขาอันห่างไกล ยังมีฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้ป่าผลิบานเต็มภูเขา รู้สึกว่าตนเองจะหดหู่ไม่ได้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแข็งแกร่งเพื่อทำให้คนในชนเผ่าสามารถอยู่อย่างสงบสุขและเห็นดอกไม้ป่าอันงดงามเหล่านั้นไปนานๆ ตนเองต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!
ในขณะที่เขาเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และมองดอกไม้ป่าต้นนั้นอย่างมีอารมณ์ความรู้สึกก็เห็นจินเฟยเหยาเด็ดดอกไม้ป่าลงมา
จากนั้นจินเฟยเหยาก็เสียบดอกไม้ป่าไว้บนเรือนผมและเอ่ยกับราชันภูติ “เจ้าก็เหมือนดอกไม้ป่าดอกนี้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี อย่ารนหาที่ตายง่ายๆ องค์หญิงยังรอเจ้าอยู่นะ เผ่าของเจ้าก็กำลังรอเจ้าอยู่ ขนาดดอกไม้ยังพยายามมีชีวิตอยู่ เจ้าจะแพ้ดอกไม้ป่าดอกนี้ไม่ได้นะ”
ราชันภูติมีเสียงดังวิ้งๆ ในหู รู้สึกว่าในใจมีบางอย่างขาดผึงร่วงลงบนพื้นและถูกคนเหยียบย่ำเป็นชิ้นๆ เขาพลันเงยหน้าขึ้นคำรามเสียงดัง ยกขวานยักษ์พุ่งเข้าใส่ฝูงงูและฟาดฟันงูภูติเหล่านั้นอย่างสุดชีวิต ถ้าไม่ฟันงูพวกนี้ เขารู้สึกว่าจะควบคุมความอยากฟันคนร่วมเผ่าที่น่าชังผู้นี้ให้ตายไม่ได้
“จริงๆ เลย แค่กินงูของเจ้าไม่กี่ตัว จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้ด้วยหรือ?” จินเฟยเหยามองเขาอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่าราชันภูติคนนี้นิสัยเป็นเด็กๆ เกินไป ไม่ใช่ของดีอะไรเสียหน่อย ต้องถึงขั้นนี้เลยหรือ
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม จินเฟยเหยาแค่เด็ดดอกไม้ดอกเดียว พั่งจื่อและราชันภูติที่ราวกับคนบ้าก็สังหารวงเวทอสรพิษจนเกลี้ยง พั่งจื่อกินแต่งูมีชีวิต นอกจากบรรดางูที่ถูกราชันภูติสังหารกระจายเกลื่อนพื้น งูอื่นๆ อีกหกเจ็ดส่วนล้วนลงท้องของพั่งจื่อ แต่มันไม่พอใจเขาเนื่องจากบนพื้นมีงูที่ถูกราชันภูติฟันเป็นชิ้นๆ หลังจากตบพุงมันก็ชูป้ายให้ราชันภูติ เห็นบนนั้นเขียนว่า ‘แย่งสัตว์ภูติกิน หน้าไม่อาย’
ป้ายนี้ใช้กับจินเฟยเหยา ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้ใช้กับคนอื่น หลังจากพั่งจื่อชูป้ายอย่างอารมณ์ไม่ดีก็เดินกลับไปข้างกายจินเฟยเหยา
มองสตรีเผ่ามารที่เสียบดอกไม้ป่าบนศีรษะมีสีหน้าน่ารักไร้เดียงสาและยังมีกบสีขาวที่ชูป้ายใส่ร้ายคนตัวนั้น ราชันภูติก็กำขวานยักษ์แน่น โทสะไม่มีที่ให้ระบายออก
ในเวลานี้มีเสียงดังขึ้น ลานประลองปล่อยสัตว์ชื่อโหยวขั้นเจ็ดตัวหนึ่งออกมาอีก สัตว์ชื่อโหยวที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยหนามแหลมคมน้ำลายไหลและพุ่งเข้าใส่พวกเขา
มาได้เวลาพอดี ราชันภูติถือขวานยักษ์ปราดเข้าใส่มันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คมขวานพกพาคลื่นอากาศฟันขาหน้าสัตว์ชื่อโหยวหักในขวานเดียว จากนั้นเขากระโดดเหินร่างขึ้นใช้สองมือถือขวานจามลงบนหัวของสัตว์ชื่อโหยว ทั้งลานประลองส่งเสียงฮือฮา ยิ่งมีสาวน้อยร้องอย่างตกใจ “ราชันภูติ!”
“เชอะ ข้าถึงว่าทำไมเขาจึงไม่พอใจ ที่แท้ไม่มีคนให้ระบายโทสะนี่เอง จริงๆ เลย ข้าอยากให้เขาพักผ่อนมากๆ หน่อย จึงไม่ให้เขาลงมือ ต่อไปถ้าไม่ถึงตายก็ไม่ต้องสนใจเขา!” เห็นราชันภูติฟันสัตว์ชื่อโหยวเบื้องหน้าอย่างดุร้าย จินเฟยเหยาก็กอดอกเอ่ยอย่างไม่พอใจ
พั่งจื่อก็เห็นด้วยเช่นกัน “อ๊บ!”
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง พวกเราไม่ไปแย่งชิงอาหารกับเขา จะได้ไม่ทำให้คนนึกว่าพวกเราไม่มีอาหารกิน ฮึ!” ทั้งสองคนหนึ่งร้องตัวหนึ่งรับ หากมิใช่ราชันภูติเข่นฆ่าอยู่ด้านหน้าจนลืมตัว ถ้าให้เขาได้ยินคำพูดแบบนี้ต้องมีเพลิงโทสะเต็มท้องอีกแน่
เดิมทีท่านอ๋องจื้อนึกว่าไม่ต้องให้คนขององค์ชายใหญ่ลงมือเขาก็สามารถทรมานสองคนนี้จนตายได้ แต่คิดไม่ถึงว่าวงเวทอสรพิษที่เขาปล่อยออกไปจะถูกกบสีขาวตัวหนึ่งกินเกลี้ยง สัตว์ปิศาจระดับสูงที่ซื้อมาด้วยราคาสูงลิ่วก็ถูกสังหารทิ้ง แม้แต่ตานสัตว์ปิศาจด้านในก็ถูกสตรีเผ่ามารผู้นั้นเก็บไป ท่านอ๋องจื้อฟังรายงานของลูกน้องก็มีโทสะจนเนื้อร่วงไปหลายชั่ง
“ปล่อย! ปล่อยสัตว์ปิศาจทั้งหมดออกไป! ข้าไม่เชื่อว่าวันนี้จะสังหารทาสชั้นต่ำสองคนนี้ไม่ตาย!” ท่านอ๋องจื้อได้ฟังรายงานก็ตบเตียงแล้วลุกขึ้นยืน ตูม เตียงพังเป็นชิ้นๆ ทันที
ถ้าองค์หญิงผิงอันไม่รับปากว่าจะให้ผลโสมแก่เขาหนึ่งผล เขาคงให้คนสังหารทาสสาวคนนั้นแต่แรก คิดถึงว่าตนเองยังมีอายุขัยอีกหกสิบกว่าปี ก่อนหน้านี้คิดจะได้ผลโสมสักผลจากองค์หญิงผิงอันมาตลอด ตอนนี้มีโอกาสส่งมาให้ฟรีๆ แล้ว
องค์หญิงปัญญาอ่อนคนนี้คิดจะให้ข้าเห็นแก่หน้าองค์ชายหก อย่าสังหารทาสสาวและราชันภูติ แต่เรื่องขึ้นลานประลองกลับไม่ได้ขอร้อง ถ้าตายบนลานประลองก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า สำหรับราชันภูติก็เหลือไว้ให้องค์ชายใหญ่
คิดถึงการค้าสองทางก้อนนี้ ท่านอ๋องจื้อก็หัวเราะชั่วร้ายอย่างกระหยิ่มใจ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หนึ่งชั่วยามต่อมา คนที่มารายงานไม่ใช่ลูกน้องของตนเอง ทว่าเป็นสัตว์ปิศาจทั้งหมดที่ถูกสังหารเกลี้ยงจนไม่มีสิ่งใดให้สังหารแล้ว บนเวทียังไม่มีที่ให้ยืนเนื่องจากมีซากสัตว์ปิศาจกองพะเนิน ราชันภูติและจินเฟยเหยาจึงได้แต่จบงานและกลับมา
จินเฟยเหยาเห็นเตียงของตนเองถูกฟาดจนกลายเป็นชิ้นๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าคนใช้ไม่ได้ภายในนั้น ปราณเข่นฆ่าบนร่างปะทุออกมาและบีบคอท่านอ๋องจื้อไว้ราวกับมารร้าย
ราชันภูติที่ยืนอยู่ข้างกายนางตกตะลึงกับปราณอันดุร้ายที่พุ่งทะยาน ตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงตอนนี้นับได้หนึ่งพันกว่าปีเคยเห็นบุคคลที่เข่นฆ่าสังหารมานับไม่ถ้วน ทว่ากลับไม่เคยเห็นคนที่มีปราณแห่งการเข่นฆ่ามากถึงขั้นนี้ นี่สังหารคนมามากมายเพียงใด หนึ่งพัน หนึ่งหมื่น หรือหนึ่งแสน!
เขาคิดมากไป หลักๆ คือจินเฟยเหยาสังหารผู้บำเพ็ญเซียนมาเยอะ ตอนกลายเป็นเทาเที่ยยิ่งกินมากกว่านั้น คนจำนวนมหาศาลล้วนตกลงท้องนาง ดังนั้นปราณแห่งการเข่นฆ่าจึงหนาแน่นและเข้มข้นมากกว่าคนอื่นๆ ถ้านับเพียงแค่ฆ่าคน เกรงว่าปราณแห่งการเข่นฆ่าบนร่างนางต้องใช้ชีวิตคนหลายแสนสร้างขึ้น
เวลานี้ท่านอ๋องจื้อหวาดกลัวสุดขีด เขาไม่ใช่แม่ทัพ ไม่ต้องเข้าสนามรบ ฝึกบำเพ็ญตั้งแต่เล็กจนโตเพียงเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว ปกติสังหารแค่ทาสและสนมที่ไม่เชื่อฟังเล่นๆ ไม่กี่คน ไม่เคยประมือกับผู้บำเพ็ญเซียนเลย แม้แต่องค์ชายสามผู้โง่งมยังมีประสบการณ์มากกว่าเขา อย่างไรผู้อื่นก็เคยต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ถึงตายแล้วแต่ก็นับว่ามีประสบการณ์
“ไสหัวออกไป อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้มังกรทองคุ้มกายปรากฏตัว” จินเฟยเหยาด่าทออย่างดุร้าย
ท่านอ๋องจื้อถูกลูกน้องพยุงออกไปแบบเสียหน้าอย่างหนัก จินเฟยเหยาหันมาถลึงตาใส่ราชันภูติ “เจ้าคนไร้ประโยชน์ ราชวงศ์สวะปัญญาอ่อนแบบนี้ถึงกับทำให้พวกเจ้าเป็นทาสมาสี่พันกว่าปี พวกเขามีพลังบำเพ็ญเพียรเสียเปล่า ยังสู้เด็กน้อยที่ถือดาบฆ่าฟันคนหนึ่งไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าพวกเจ้าทำบ้าอะไรอยู่!”
“…” ราชันภูติถูกด่าทอจนพูดไม่ออกสักประโยค เขาแค้นเผ่ามนุษย์ แค้นเข้ากระดูก แต่ในใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอานุภาพของราชวงศ์ โดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์ พวกเขามีพลังบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งที่สุด ไม่ต้องลงมือก็ทำให้พวกเขาขลาดเขลาแล้ว มิใช่คนเผ่ามารจำนวนมากต่อต้านเผ่ามนุษย์ที่ทำให้ตนเองเป็นทาสไม่ได้ ทว่าหวาดกลัวจนเป็นนิสัย
กลัวเผ่าของตนเองจะถูกฆ่า หวาดกลัวความสามารถของเชื้อพระวงศ์อย่างที่สุด หวาดกลัวจนทาสเผ่ามารไม่กล้าต่อต้านคุณหนูเผ่ามนุษย์ที่มือไม่มีเรี่ยวแรงมัดไก่เหล่านั้น มีความหวาดกลัวหยั่งรากฝังลึกในกระดูกเสียแล้ว จะต่อต้านสำเร็จได้อย่างไร
…………………………………………..