จินเฟยเหยากระพริบตาเอ่ยว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่พยายามด้วยตนเอง ดูเหมือนเป็นทาสมาสี่พันกว่าปีแล้ว อย่างพวกเจ้า อย่าให้เผ่ามารของโลกวิญญาณอื่นได้เห็นเชียว ไม่รู้ว่าจะมีโทสะจนเป็นเช่นไร อีกทั้งเส้นผมสีดำอย่างเจ้าคือชนชั้นสูงของเผ่ามารมิใช่หรือ? ถ้าให้คนที่ข้ารู้จักเห็นพวกเจ้าใช้ชีวิตแบบนี้ อาจจะกวาดล้างพวกเจ้าให้เกลี้ยงทันทีจะได้ไม่ทำให้เผ่ามารขายหน้า”
คำพูดของนางเสียดสีราชันภูติ เขาคำรามด้วยสายตาเดือดดาล “ทรัพยากรทั้งหมดของที่นี่ถูกเผ่ามนุษย์ควบคุม พวกเราสามารถมีชีวิตอยู่ได้นับว่าไม่ง่ายแล้ว จะเอาอะไรมาฝึกบำเพ็ญ! ไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรอันสูงส่งก็สู้เผ่ามนุษย์ไม่ได้จึงต้องเป็นทาสของพวกเขาชั่วชีวิต!”
“ไปโลกอื่นสิ จะรอความตายอยู่ที่นี่ทำไม?” จินเฟยเหยาใช้มือกอดอก หรี่ตาเอ่ยถาม
“ไม่มีเส้นทาง”
“…แบบนี้เอง”
“พวกเจ้าพยายามเข้าเถอะ คงสำเร็จเข้าสักวัน ถึงอย่างไรคนที่นี่ก็แค่ขั้นกำเนิดใหม่ เรื่องจิ๊บๆ” จินเฟยเหยาพยักหน้ารับ
ราชันภูติมองนางแวบหนึ่ง ที่จริงไม่อยากพูดอะไรกับคนผู้นี้อีก ไม่ใช่คนเส้นทางเดียวกัน ไม่มีทางสื่อสารกันเข้าใจได้เลย ปราณมารของเขาถูกสะกดไว้ปลดปล่อยออกมาไม่ได้จึงมองพลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาไม่ออก ได้แต่ถือว่านางเป็นเผ่ามารที่ขายเผ่าเพื่อลาภยศ คนเผ่ามารเช่นนี้มีไม่มาก ทว่าในบรรดาคนเลือดผสมที่ถูกบังคับให้เกิดมา บางครั้งจะมีคนเผ่ามารที่มีนิสัยต่ำช้าเหมือนเผ่ามนุษย์ปรากฏขึ้น
ยามนี้ตรงทางเข้ามีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมา ท่าทางท่านอ๋องจื้อน่าจะส่งคนมาแล้ว ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงลุกขึ้นยืนรอคนมา
ก่อนหน้านี้องค์หญิงผิงอันยังไม่ได้คุยกับนางให้เรียบร้อย ทั้งสองคนเพียงแค่พูดอย่างง่ายๆ ว่าเจ้าคุ้มครองราชันภูติหนึ่งเดือน ข้าจะให้ผลโสมแก่เจ้า ตอนนี้พอมาจินเฟยเหยาก็กำจัดคนมากมายทิ้งต้องทำให้ซูโม่โม่ศีรษะพองโตแน่
คนสามสิบสี่สิบคนและคนอ้วนหนึ่งคนพุ่งมาและหยุดลงห่างจากนางประมาณสิบก้าว เจ้าอ้วนสวมก้วนหยกขาว ไว้หนวดเป็นเลขแปด[1] สวมชุดมังกรสีเงินบนร่าง พอเห็นพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ช่วงต้น ก็รู้ว่าเป็นท่านอ๋องจื้อ เชื้อพระวงศ์ที่สามารถกินยาปริมาณมากได้
ดูลักษณะของเขาแล้วน่าจะเปลี่ยนชุดมาโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นไม่มีอะไรผู้ใดจะสวมชุดมังกรอยู่บนร่างทั้งวัน แม้แต่ฮ่องเต้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสวมแต่ชุดมังกร แบบนั้นจะจำเจเพียงใด
ท่านอ๋องจื้อจ้องมองจินเฟยเหยาก่อนและมองพินิจขึ้นลงอยู่หลายรอบ จากนั้นไพล่มือเดินกลับไปกลับมา องครักษ์ข้างกายเขาแต่ละคนล้วนมีสีหน้าตึงเครียด ถ้าคนเผ่ามารผู้นี้เกิดบ้าระห่ำทุบตีท่านอ๋องจื้อตาย ทุกคนในที่นี้ก็อย่าหมายจะมีชีวิตรอดเลย
“น่าสนใจ ข้ายังไม่เคยเห็นสตรีเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่มาก่อน มาติดตามข้าดีกว่า ผิงอันไม่น่าสนใจหรอก” ท่านอ๋องจื้อหรี่ดวงตาเล็กๆ เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“เจ้าอ้วนบ้า ไสหัวไปอีกทางเลย ข้าไม่สนใจเจ้า” จินเฟยเหยาไม่ไว้หน้าเลยสักนิด เอ่ยด่าทอทันที
“บังอาจ!” องครักษ์รอบด้านตกใจ นี่ใครกัน คิดไม่ถึงว่าจะกล้าด่าทอท่านอ๋องจื้อ!
ท่านอ๋องจื้อยื่นมือไปห้าม เอ่ยแบบหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม “แค่คนเผ่ามารคนหนึ่ง เห็นแก่องค์หญิงผิงอัน ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้าชั่วคราว เจ้าคิดจะคุ้มครองราชันภูติก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่ ทางองค์ชายใหญ่ได้ยินข่าวแล้ว เขาไม่ปล่อยราชันภูติไปง่ายๆ แน่”
เจ้าหมอนี่คงได้รับผลประโยชน์จากองค์หญิงผิงอันเสียแปดส่วน ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงพูดง่ายขนาดนี้ จินเฟยเหยาแอบคิดกับตัวเอง ความรักช่างน่ากลัวจริงๆ ถึงกับยอมมอบทุกอย่างเพื่อใบหน้าเด็กน้อยนี้
“นั่นเป็นเรื่องของข้า ไม่ต้องให้เจ้าเป็นห่วง” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของท่านอ๋องจื้อตรงๆ อย่างไม่หวั่นเกรง
ท่านอ๋องจื้อพยักหน้า “ดี อีกสักครู่ถึงรอบราชันภูติขึ้นประลองต้องเผชิญหน้ากับวงเวทหมื่นอสรพิษ” หลังจากเอ่ยจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ส่วนองครักษ์กลุ่มนั้นคุ้มกันเขาจากไปเพียงครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือมารับช่วงต่อ พวกเขาลากซากศพบนพื้นและไม่สนใจจินเฟยเหยาตามคำสั่งของท่านอ๋องจื้อ
หลังจากจื้ออ๋องจากไป องครักษ์เหล่านั้นไปลากซากศพอย่างเงียบๆ จินเฟยเหยาก็ย่อกายลงถอนหายใจ “เฮ้อ…โชคร้ายจริงๆ จะทำอย่างไรดีนะ ถ้าไม่แข็งแกร่ง มาแล้วต้องถูกล่ามด้วยตรวนมือตรวนเท้าเหล่านั้นแน่ๆ ตอนนี้ไม่ได้สวมของพวกนั้น แต่ฟังน้ำเสียงเหมือนจะจัดให้เจ้าขึ้นเวทีทั้งวัน”
นางเบือนหน้าไปมองราชันภูติที่อยู่ในห้องขังด้านหลังแล้วเอ่ยอย่างเสียใจ “เจ้าว่าถ้าเมื่อครู่ข้าไม่ด่าเขาว่าเจ้าอ้วนบ้า แต่ทำดีด้วยนิดๆ เกรงใจหน่อยๆ เขาคงจะไว้หน้าองค์หญิงผิงอัน ให้พวกเราเพียงต่อกรกับองค์ชายใหญ่”
ราชันภูติมองนางอย่างหมดวาจา เนิ่นนานจึงเค้นคำพูดออกมาจากใจจริงเพียงประโยคเดียว “เจ้าอย่าก่อเรื่อง รีบไปเถอะ เจ้าทำร้ายคนไม่เบาเลย องค์หญิงอะไรกัน ข้ามีแต่ความแค้นกับเผ่ามนุษย์และจะไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีตลอดไป ถ้าให้ข้าเป็นของเล่นและบุรุษบำเรอ ข้าจะฆ่าตัวตายทันที อย่านึกว่าข้าถูกสะกดปราณมารเอาไว้แล้วจะไม่มีวิธี”
จินเฟยเหยามองเขาอย่างจริงจัง “แล้วเจ้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ทำไม ที่จริงเจ้าแค่บีบคอตนเองอย่างสุดแรงก็เรียบร้อยแล้ว ความตายข่มขู่ได้แต่คนที่ห่วงใยเจ้า ข้ากับเจ้าเหมือนเหล็กลูกกรงบนห้องขัง ไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด”
ราชันภูติถูกคำพูดของนางทำเอาจนวาจา เขาจะอยากตายได้อย่างไร เขายังอยากมีชีวิตออกไปสังหารเผ่ามนุษย์ให้เกลี้ยง ทำให้เผ่ามารได้รับอิสระและสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้ จะมาตายที่นี่ได้อย่างไร
“เจ้าก็อย่าทรมานเลย ตั้งใจร่วมมือกับข้าเถอะ อยู่ให้พ้นช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ รอจนองค์ชายหกถูกปล่อยออกมา ข้าจะไปช่วยหาวิธีกำจัดคาถาให้เจ้า แบบนี้เจ้าก็โบยบินบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระ อยากฆ่าเผ่ามนุษย์ก็ฆ่าเผ่ามนุษย์ อยากกลับบ้านไปหาสตรีเผ่ามารมาให้กำเนิดบุตรธิดาใช้ชีวิตอย่างธรรมดาก็ได้ อย่ามาพูดเรื่องบุรุษบำเรอกับข้าหน่อยเลย เจ้าหน้าตาแบบนั้น ให้เจ้าคร่อมร่างยังนึกว่าทรมานเด็กเลย คงนอนทั้งๆ ที่ยังสวมหน้ากากไม่ได้” จินเฟยเหยาเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างกระตือรือร้น เพียงแต่ผู้อื่นฟังแล้วรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ระคายหูเกินไป
ราชันภูติพลันพบว่าสนทนากับคนผู้นี้มีแต่ความเบื่อหน่ายจึงก้มหน้าไม่เอ่ยวาจาต่อ
“เจ้าไม่ต้องหดหู่ เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้วว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่ไม่แพ้เจ้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องชีวิต” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างภาคภูมิ
ผู้อื่นไม่ได้เสียใจเพราะเรื่องนี้แต่คร้านจะสนทนาด้วย พลังทำลายล้างของคำพูดนางยังร้ายกาจกว่าถูกฟันหลายสิบครั้งเสียอีก ขนาดอาการบาดเจ็บภายในยังสะเทือน
ราชันภูติหน้าเด็กดูแล้วเยาว์วัยยิ่ง ทว่าตัวคนไม่เด็กแล้ว มีความคิดเป็นผู้ใหญ่การกระทำสุขุม จิตใจหนักแน่นอย่างประหลาด ที่สำคัญกว่านั้นคือความรู้สึกเรื่องศักดิ์ศรีแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ไม่ว่าเรื่องที่องค์หญิงผิงอันชอบเขาจะเป็นความจริงหรือไม่ ในความเห็นของเขา ถ้าอาศัยสตรีเผ่ามนุษย์หลบหนีออกไปแม้แต่รอยบาดแผลบนร่างก็คงเย้ยหยันเขา
สายโลหิตชนชั้นสูงอันหยิ่งผยองกำลังเตือนสติเขาให้เอาตัวรอดไปวันๆ และอย่าทำเรื่องหยามเกียรติของเผ่ามารเด็ดขาด!
ถ้าจินเฟยเหยารู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ต้องตอบเขาว่า “คนก็เป็นทาสแล้ว ยังมีความหยิ่งผยองของสายโลหิตชนชั้นสูงอะไรอีก ไม่มีอิสระ ไม่มีกำลัง เจ้ามีสายโลหิตแล้วอย่างไร? ความหยิ่งผยองของชนชั้นสูงคือมาจากความแข็งแกร่ง ฐานะ และอำนาจในมือ ไม่ได้มาจากการที่ร่างของเจ้าถูกทิ่มแทงจนโลหิตสาดพุ่งได้ทุกเมื่อ”
จากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก หลักๆ คือราชันภูติไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ
คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจื้อจะอนุญาตตามความต้องการของจินเฟยเหยา ส่งคนมาปัดกวาดห้องขังข้างๆ จริงๆ ยกเตียงเข้ามาและปูฟูกอันอ่อนนุ่ม อาหารก็ยกมาให้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีพิษหรือไม่ แต่ให้พั่งจื่อไปลองพิษก่อนก็พอ ตัวมันเองเป็นสิ่งมีพิษ ถ้าอาหารมีพิษไม่ต้องชิมดูมันก็รู้
“ยายซูโม่โม่ ต้องรับปากจะให้ผลโสมกับท่านอ๋องจื้อแน่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดท่านอ๋องคนนี้จึงใจดีนัก คิดไม่ถึงว่าจะนำผลไม้ของข้าไปมอบให้คนอื่น ไม่เป็นเจ้าบ้านก็ไม่รู้ว่าข้าวสารและน้ำมันแพง[2]จริงๆ” ไม่รู้ว่านางถือว่าผลโสมเป็นของตนเองไปตั้งแต่เมื่อใด พะวงกับการจัดการกับผลโสม ทั้งยังสงสัยว่าซูโม่โม่มอบให้คนอื่นหลายผลแล้ว
ไม่รอให้จินเฟยเหยาเข้าไปสำราญในห้องขังอันงดงามก็มีคนมาลากราชันภูติ ให้เขาไปต่อกรกับวงเวทหมื่นอสรพิษ จินเฟยเหยาได้แต่ถลึงตาใส่คนหลายคนนั้น และติดตามราชันภูติที่ถูกเชือกห้าบุปผามัดไปสนามประลองราวกับองครักษ์ที่สัญญาว่าจะภักดีต่อเขา
นางเพิ่งจากไป ท่านอ๋องจื้อก็มานอนบนเตียงในห้องขัง และมีสาวงามสองคนเดินมาทันที คนหนึ่งทุบขาอีกคนหนึ่งยกขนมบนโต๊ะขึ้นป้อนท่านอ๋องจื้อ
“ฮึ ทาสตัวเล็กๆ ที่มีองค์หญิงผิงอันหนุนหลังก็กล้าพูดย้อนข้า เตียงนี้เกรงว่าเจ้าคงไม่มีชีวิตมาเสพสุขแล้ว จะให้เจ้าได้ลิ้มลองความร้ายกาจของวงเวทหมื่นอสรพิษ ฮ่าๆๆ… แค่กๆๆ” ท่านอ๋องจื้อหัวเราะเสียงดังอย่างกระหยิ่มใจ เพิ่งงับองุ่นไว้ในปากก็ติดคอ สำลักจนหน้าแดง
ถ้าสำลักตายจริงๆ เขาจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่คนแรกในโลกที่สำลักตายและมีชื่อเสียงเป็นอมตะไปชั่วกาลนาน
จินเฟยเหยายังไม่รู้ว่าท่านอ๋องจื้อยึดครองเตียงของนาง นางยืนอยู่บนกระดานไม้และถูกดึงขึ้นไปบนเวทีประลองกับราชันภูตินานแล้ว ความรู้สึกที่ยืนอยู่บนลานประลองและนั่งอยู่นอกลานประลองแตกต่างกัน ไม่รู้ว่าเรื่องที่นางทำเมื่อหลายชั่วยามก่อนทำให้คนตกตะลึงมากเกินไปหรือไม่ หลังจากปรากฏตัวบนเวทีรอบด้านจึงเงียบกริบ คนทั้งหมดมองพินิจจินเฟยเหยาอย่างสงสัย
ราชันภูติพลันเกิดความรู้สึกว่าถูกทำร้าย สตรีเผ่ามารด้านข้างผู้นี้ก่อเรื่องอะไรไว้ใช่หรือไม่ บรรยากาศในลานประลองจึงแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“เงียบเกินไปแล้ว หรือว่าคิดจะรอให้ข้ากล่าวถ้อยคำจับใจคนฟังสักหน่อย?” จินเฟยเหยาสงสัย อดพึมพำกับตนเองไม่ได้
เรื่องนี้ทำให้นางคิดถึงผู้บำเพ็ญเซียนบนลานประลองเป็นตายตอนอยู่ที่เมืองลั่วเซียนในอดีต บางคนเพื่อทำให้คนมีความรู้สึกดีๆ และลงเดิมพันเพิ่มหรือเพื่อโอ้อวดล้วนๆ ต่างแสดงความเคลื่อนไหวที่ดุร้ายเป็นพิเศษ จากนั้นก็เอ่ยคำพูดอันเย็นชาออกมา คำพูดและความเคลื่อนไหวเช่นนี้จะทำให้ผู้ชมตื่นเต้นผิดปกติ บรรยากาศบนลานประลองจะดีเป็นพิเศษ
จากนั้นราชันภูติที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เห็นจินเฟยเหยาใช้มือข้างหนึ่งชี้ไปทางวังหลวง อีกมือเท้าเอว แสดงความเคลื่อนไหวอันบ้าระห่ำ จากนั้นได้ยินนางตะโกนเสียงดังว่า “ต้นผลโสมเป็นของข้า!”
ถ้าไม่ได้สวมหน้ากากไว้ ทุกคนคงได้เห็นใบหน้าของราชันภูติกระตุก เขาใช้คำพูดมาบรรยายเจ้าโง่ที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้เลย ต้นผลโสมแสดงถึงอำนาจของราชวงศ์ นางตะโกนแบบนี้แสดงว่าจะโค่นล้มอำนาจราชวงศ์อย่างเปิดเผย
ส่วนประชาชนในลานประลองเงียบกริบก่อน จากนั้นก็ระเบิดเสียงด่าทออย่างเดือดดาล “ฆ่านาง! ฆ่าเจ้าคนบ้าระห่ำผู้นี้เสีย! ฆ่านาง!”
“หือ?” จินเฟยเหยาชะงัก เหตุใดผลลัพธ์จึงไม่เหมือนกับที่จินตนาการเอาไว้?
……………………………………….
[1] เลขแปด ภาษาจีน มีลักษณะ 八
[2] ไม่เป็นเจ้าบ้านก็ไม่รู้ว่าข้าวสารและน้ำมันแพง หมายถึง ไม่เป็นด้วยตนเองก็ไม่รู้