ผู้บำเพ็ญเซียนในงานประมูลไม่รู้ว่าพวกเขาสองคนพูดคุยอะไรกัน ถึงอย่างไรโทสะของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่คนนั้นก็ลดลง ภายในงานประมูลนับว่าไม่มีอันตรายแล้ว
“สหายเซียนจิน ข้าจะไม่ทำให้ลำบากใจ เจ้าจะไม่ประมูลก็ได้ ข้าได้ผลอวี้หลงมาสามผล ผลหนึ่งถือว่าข้าให้สหายเซียนจินเป็นค่าปลอบใจ” ในห้องส่วนตัวพลันมีผลไม้ขนาดเท่าลูกท้อลอยมาร่วงลงในมือจินเฟยเหยา
คิดไม่ถึงว่าจะใช้ของกินปิดปากข้า จินเฟยเหยามองผลอวี้หลงในมืออย่างไม่พอใจ กัดอย่างแรงคำหนึ่ง เคี้ยวไปสองคำ นางก็หยุด ดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะถลึงใส่ห้องส่วนตัว ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ศิลาวิญญาณชั้นยอดเจ็ดสิบสองก้อน!”
มุมปากของบุรุษในห้องส่วนตัวโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม สั่งผู้รับใช้ด้านข้างว่า “นำผลอวี้หลงสองผลที่เหลือไปมอบให้นาง แสดงท่าทางเกรงอกเกรงใจหน่อย”
ภายใต้สายตามองคนโง่และชื่นชมของทุกคน กระจกสภาพโลกวิญญาณถูกจินเฟยเหยาประมูลไปแล้ว จากนั้นมันก็ถูกส่งมาถึงเบื้องหน้านาง จินเฟยเหยาเก็บกระจกสภาพโลกวิญญาณไปอย่างเดือดดาล และโยนป้ายผลึกม่วงลงบนถาดที่อีกฝ่ายยกมาอย่างอารมณ์ไม่ดี “คืนเศษมาให้ข้า! ขาดไปแม้แต่ก้อนเดียวก็ไม่ได้”
“ผู้อาวุโส นี่คือสิ่งที่เจ้าคฤหาสน์มอบให้” ผู้รับใช้ของเจ้าคฤหาสน์อินถือจานมา ผลอวี้หลงสองผลวางอยู่บนนั้น
จินเฟยเหยามองเขาอย่างดุร้าย ใช้มือกวาดผลอวี้หลงไป
ส่วนงานประมูลก็สิ้นสุดลง ภายนอกมีแสงสว่างเจิดจ้า บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนทยอยกันจากไป จินเฟยเหยานำศิลาวิญญาณที่เหลืออยู่กลับมา น่าเสียดายนางเป็นเศรษฐีได้แค่คืนเดียว แม้แต่ลูบคำศิลาวิญญาณก็ยังไม่ได้ลูบ ฟ้ายังไม่สว่างก็ใช้หมดเกลี้ยงแล้ว
สิ่งเดียวที่ปลอบใจคือนางยังไม่ได้ใช้ศิลาวิญญาณที่ได้จากโลกระดับเทพจึงถือว่ายังไม่ได้กลายเป็นยาจก
สำหรับเจ้าคฤหาสน์อิน แม้แต่มองนางยังไม่อยากมอง ก็เดินจากคฤหาสน์อินไปโดยไม่หันเหลียวหลัง ร้านชั่วร้ายแบบนี้ตนเองไม่อยากมาเป็นครั้งที่สอง! จินเฟยเหยากัดผลอวี้หลงอย่างเดือดดาล พริบตาก็กินผลอวี้หลงสามผลจนเกลี้ยง นางเก็บแกนไว้เตรียมมอบให้เสี่ยวหงกับเสี่ยวอวี่นำไปปลูก
พั่งจื่อมองจินเฟยเหยาตาปริบๆ สูดปากอย่างจะลิ้มลอง จินเฟยเหยาลังเลนิดหนึ่ง ก็มอบแกนผลอวี้หลงที่ยังมีเนื้อติดอยู่เล็กน้อยให้พั่งจื่อ
พั่งจื่อมองแกนผลอวี้หลงในมือจินเฟยเหยา เนื้อผลไม้บนนั้นมีขนาดแค่เล็บมือ มันมีโทสะจนใช้ลิ้นดีดแกนผลอวี้หลงให้ลอยไป
“อ๊า! เจ้าตัวล้างผลาญ นี่เป็นสิ่งของที่ใช้ศิลาวิญญาณชั้นยอดเจ็ดสิบสองก้อนแลกมานะ เจ้าสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว ด้านบนยังมีเนื้อติดอยู่เล็กน้อย” จินเฟยเหยาตะโกนลั่น รีบวิ่งไปยังสถานที่ซึ่งแกนผลไม้ลอยไป คิดจะไปเก็บแกนผลไม้กลับมา
พั่งจื่อนั่งตะลึงเป็นท่อนไม้อยู่บนทางเดิน มองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อย่างนางวิ่งเข้าไปเก็บแกนผลอวี้หลงในตรอกอย่างร่าเริง อีกทั้งหลังจากหาพบนางยังเป่าฝุ่นใช้เวทชักนำน้ำมาล้างแล้วโยนใส่ปากกินเนื้อชิ้นเล็กๆ ส่วนสุดท้าย
การกระทำอันน่าตกตะลึงนี้ทำให้ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านตกใจจนล่าถอยและกระจายออกไป เพิ่งเคยเห็นบุคคลอันน่ากลัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทำให้ใจสั่นจริงๆ
จินเฟยเหยาอมแกนผลไม้ไว้ในปากแบบยังไม่หายอยาก จนกระทั่งไม่มีรสชาติใดๆ แล้ว นางครุ่นคิดว่ายังต้องนำไปปลูกอีกจึงเอาออกมา แกนผลอวี้หลงก็แวววับแล้ว
พั่งจื่อเบือนหน้าไปถอนหายใจอย่างจนปัญญา รู้แต่แรกตนเองรั้งอยู่ที่เทือกเขาอูอวิ๋นกับต้านิวเป็นราชันย์แห่งขุนเขาดีกว่า ยายจินเฟยเหยากินหมดทุกอย่างและถึงขั้นมีรสนิยมแล้ว ทว่าพอคิดถึงพลังดุดันของต้านิว พั่งจื่อก็รู้สึกว่าอยู่ข้างนอกดีกว่า บอกยากว่าเมื่อใดอาจจะได้เจอเทพธิดาของตนเอง
“พั่งจื่อ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไม? ไปสิ” จินเฟยเหยากินผลอวี้หลงสามผลแล้ว อารมณ์ดีขึ้น ส่งเสียงฮัมเพลงเบาๆ เตรียมออกจากเมือง เห็นพั่งจื่อยืนนิ่งอึ้งอย่างโง่งมอยู่กลางถนนก็ตะโกนเรียกเสียงดัง
“อ๊บ” พั่งจื่อไม่ขยับเพียงตั้งใจมองนางดีๆ
จินเฟยเหยาลูบศีรษะ “เอาเถอะ ครั้งหน้าข้าจะเหลือไว้ให้เจ้านิดหนึ่งแน่นอน ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าสิ่งนี้จะอร่อยมาก ก่อนหน้านี้ไม่น่าแค่กินอิ่มเลยจริงๆ นับจากนี้ไป ข้าจะลิ้มรสอาหารอร่อย จะไม่กินอาหารที่ไม่อร่อยอีก”
นางหัวเราะหึๆ ให้พั่งจื่อแล้วยกมันขึ้นเดินออกนอกเมือง
“กลับมาได้เวลาพอดีจริงๆ ไม่เช่นนั้นคิดจะเห็นเทาเที่ยสักครั้งคงไม่ง่ายดาย” บนชั้นสองของคฤหาสน์อิน เจ้าคฤหาสน์ยืนมองจินเฟยเหยาจากไปผ่านร่องตรงหน้าต่างพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
ด้านหลังของเขามีผู้บำเพ็ญเซียนที่ดำเนินการประมูลเมื่อครู่ยืนอยู่กำลังยืนห้อยมืออยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ “เจ้าคฤหาสน์ จะให้นางจากไปเช่นนี้หรือ?”
เจ้าคฤหาส์ยื่นนิ้วอันขาวซีดมาปิดร่อง กั้นแสงอาทิตย์ภายนอก จากนั้นลูบเส้นผมสีขาวที่ปกคลุมถึงไหล่ “หรือว่าเจ้าคิดจะเลี้ยงข้าวนาง?”
“ไม่กล้า” ผู้บำเพ็ญเซียนที่ดำเนินการประมูลรีบก้มหน้าเอ่ยตอบ ให้เขาหยิบยืมความกล้า เขาก็ไม่กล้าเชิญเทาเที่ยกินข้าว กินหรือไม่กินคนก็เหมือนกัน จะเลี้ยงให้อิ่มได้หรือไม่ยังไม่รู้เลย
“แสงอาทิตย์ด้านนอกแรงเกินไป ข้าไม่ชอบออกไป แสงอาทิตย์ของโลกวิญญาณหนานเฟิงร้อนแรงจริงๆ ทำให้คนรู้สึกไม่สบาย อีกทั้งข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะรับรองนาง จะรั้งนางไว้ที่นี่ทำไม” เจ้าคฤหาสน์เอ่ยอย่างชืดชา
“เจ้าคฤหาสน์พูดได้ถูกต้อง”
จินเฟยเหยาไม่ได้รั้งอยู่ที่เมืองหยวนอีก ออกจากเมืองก็พาพั่งจื่อหนีไปทันที นางนั่งอยู่บนพรมบินเหาะเหินตลอดกลางวัน มือกลับนำกระจกสภาพโลกวิญญาณออกมา นางถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไปในกระจก ก็เห็นบานกระจกเปล่งแสง หลังจากแสงสว่างหายไปบานกระจกก็ปรากฏแผนภาพผืนหนึ่ง
บนพื้นหลังสีฟ้าดำมีจุดสีขาวขนาดเท่าเมล็ดข้าวจำนวนนับไม่ถ้วน จินเฟยเหยาใส่การรับรู้ลงไปในกระจกสภาพโลกวิญญาณ ตามความคิดของนางที่ถ่ายเทเข้าไป จุดแสงสีขาวเหล่านั้นเริ่มใหญ่ขึ้น จากนั้นภายในรัศมีที่สามารถมองเห็นได้ จุดแสงสีขาวเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นอักษรสีดำบนพื้นสีขาว
เนื่องจากโลกวิญญาณหนานเฟิงที่นางอยู่ถือเป็นดินแดนของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ดังนั้นบนบานกระจกจึงเลื่อนมายังสถานที่ของโลกวิญญาณเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว จินเฟยเหยาให้แผนที่หยุดลงก่อน ในสถานที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโลกวิญญาณเป่ยเฉิน มีจุดเล็กๆ อันหนาแน่นแถบหนึ่ง บนนั้นเขียนว่าโลกวิญญาณซิงหลัว
“ที่แท้ใกล้ขนาดนี้?” คิดไม่ถึงว่าโลกวิญญาณซิงหลัวจะอยู่ด้านข้าง ทั้งยังดูเหมือนไม่ไกล เพียงแต่จินเฟยเหยามองอย่างละเอียดอีกครั้งจึงพบว่าอัตราส่วนไม่ถูกต้อง ระยะห่างนี้ดูเหมือนจะกว้างกว่าโลกวิญญาณเป่ยเฉินสองสามเท่า
“นี่ไม่ใกล้เลยสักนิด ระยะห่างนี้ถ้านั่งพรมบินอย่างไรก็ต้องบินถึงสองสามปี!” จินเฟยเหยาทำท่าทำทาง เอ่ยอย่างหดหู่ ไกลเกินไปแล้ว หรือว่าตอนปู้จื้อโหยวไปเข้าร่วมงานคบหาสหายทางเวทมนตร์ก็บินไป?
จินเฟยเหยารู้สึกว่าบินไปแบบนี้โง่งมเกินไป จึงย้ายสายตาไปที่ชิ้นสีขาวของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน พอการรับรู้ขยับ บานกระจกทั้งหมดก็ปรากฏแผนที่ของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน สถานที่ต่างๆ ของสำนักตงอวี้หวงล้วนมีอยู่ในนั้น เมืองวั่นเซียนสุ่ยก็ตั้งอยู่ริมทะเล สำนักอื่นๆ อีกหลายสำนักก็มี อีกทั้งแม้แต่เขตแดนของโลกเผ่ามารก็อยู่ในนั้นเช่นกัน แต่กลับไม่มีโลกวิญญาณหนานเฟิง
จะว่าไปจินเฟยเหยาก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับโลกวิญญาณเป่ยเฉินนัก แค่อาศัยอยู่เมืองวั่นเซียนสุ่ยและเทือกเขาอูอวิ๋นนานหน่อย แม้แต่สำนักตงอวี้หวงก็อยู่เพียงไม่กี่ปี ไม่เคยไปรอบๆ
ผู้ที่ดำเนินการประมูลบอกว่านี่เป็นแผนที่เมื่อสามพันปีก่อน ท่าทางคนของคฤหาสน์อินจะไม่เคยใช้กระจกสภาพโลกวิญญาณมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่เคยให้มันขับเคลื่อนใหม่อีกครั้ง นางสงสัยสุดๆ ว่ากระจกสภาพโลกวิญญาณบันทึกแผนที่ได้อย่างไร จินเฟยเหยาคิดจะทดลองวาดแผนที่ของโลกวิญญาณเป่ยเฉินขึ้นใหม่อีกรอบก่อน
จินเฟยเหยาหาหุบเขาร้างที่ไม่มีเงาใครสักคน นำเกาะลอยได้เล็กๆ ออกมา มอบแกนผลอวี้หลงสามผลให้เสี่ยวหง ให้นางหาสถานที่ปลูกมันอย่างเอาใจใส่ ต่อไปจะงอกต้นอ่อนหรือไม่ค่อยว่ากัน
จินเฟยเหยาหาที่ว่างข้างเกาะลอยได้เล็กๆ วางกระจกสภาพโลกวิญญาณลงบนพื้น แล้วถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าสู่ด้านใน ใช้การรับรู้ออกคำสั่งให้บันทึกแผนที่
กระจกสภาพโลกวิญญาณส่งเสียงดังหึ่งๆ แสงสีเงินเป็นสายๆ แผ่ขยายออกไปบนพื้นดิน ครู่หนึ่งก็กลายร่างเป็นวงเวทรูปวงกลมกว้างห้าจั้งกว่าที่มีลวดลายซับซ้อน
ลวดลายของวงเวทนี้ซับซ้อนถึงขีดสุด คนที่ความสามารถด้านวงเวทน้อยนิดอย่างจินเฟยเหยาอ่านไม่เข้าใจเลย ทว่าบนวงเวทเห็นได้ชัดว่ามีช่องให้ใส่ศิลาวิญญาณมากมาย ปริมาณไม่น้อยจริงๆ
“ใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างหรือ?” จินเฟยเหยานำศิลาวิญญาณชั้นล่างก้อนหนึ่งออกมาใส่ก่อน ตรงที่แห่งนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่รู้ว่าต้องใส่ทั้งหมดจึงขับเคลื่อนหรือขณะที่ใส่น่าจะทำงานทันที จินเฟยเหยาเปลี่ยนเป็นใส่ศิลาวิญญาณชั้นกลาง เพิ่งวางศิลาวิญญาณชั้นกลางลงไป ศิลาวิญญาณก็เปล่งแสงรัศมีเสียดแทงนัยน์ตาออกมาทันทีแล้วช่องว่างนั้นก็เชื่อมต่อกัน
จินเฟยเหยาเบ้ปาก นี่มันเรื่องอะไรกัน คิดไม่ถึงว่ายังจู้จี้ ต้องการแต่ศิลาวิญญาณชั้นกลาง จินเฟยเหยาล้วงศิลาวิญญาณออกมาจากในถุงเฉียนคุนแล้วสาดออกไปบนวงเวท ศิลาวิญญาณร่วงลงในช่องทีละก้อน
สีหน้าของจินเฟยเหยาเริ่มปั้นยากตามศิลาวิญญาณที่ร่วงลงบนวงเวท ใช้เยอะเกินไปหน่อยแล้ว ใส่ศิลาวิญญาณไปห้าหมื่นกว่าก้อนเต็มๆ ช่องว่างทั้งหมดจึงเชื่อมกันโดยสมบูรณ์ มีเสียงดังแกร่ก ศิลาวิญญาณทั้งหมดกลายเป็นแป้งสีขาวเทา เวลานี้ต่อให้คิดจะเก็บศิลาวิญญาณกลับมาก็ไม่ได้แล้ว
กระจกสภาพโลกวิญญาณส่งเสียงดังวิ้งๆ บนบานกระจกยิงเสาแสงสายหนึ่งออกมาพุ่งตรงสู่ชั้นเมฆ เสาแสงกว้างเท่าบานกระจกพอดี ยิงขึ้นกลางอากาศโดยไร้เสียงแบบนี้มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตไม่เบา
ต้องเฝ้าแบบนี้สามสิบวันเต็มๆ หรือ? จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าความเคลื่อนไหวจะใหญ่โตขนาดนี้ สามสิบวันนี้ต้องมีผู้บำเพ็ญเซียนที่เดินทางผ่านมามาตรวจสอบแน่ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงหิ้วพั่งจื่อที่กำลังหลับอยู่ในเกาะลอยได้เล็กๆ ออกมา ชี้ไปที่ข้างวงเวทพลางเอ่ยว่า “เจ้าเปลี่ยนร่างให้ใหญ่ประมาณสิบจั้งแล้วนั่งเฝ้าอยู่ข้างวงเวท ถ้ามีผู้บำเพ็ญเซียนมาเจ้าก็เตือนข้า”
พั่งจื่อเหล่มองนางแวบหนึ่ง จากนั้นหาวอย่างเกียจคร้าน
“ไม่ต้องให้เจ้าทำอะไร! แค่นอนหลับอยู่ข้างๆ ก็พอ เกียจคร้านแบบนี้ ถ้าทำให้ข้ามีโทสะข้าจะเอาสัตว์ภูติตัวใหม่มาแทนที่เจ้า!” จินเฟยเหยาปล่อยมือโยนมันไปข้างวงเวท จากนั้นชูกำปั้นใส่มัน
“อ๊บ...” พั่งจื่อนอนร้องคำหนึ่งอยู่บนพื้น เปลี่ยนร่างให้เป็นกบขนาดสิบจั้งกว่าอย่างไม่ยินยอม และเริ่มนอนขี้เกียจบนพื้นเฝ้าอยู่ด้านข้างกระจกราวกับภูเขาลูกย่อมๆ
ส่วนจินเฟยหยากลับเกาะลอยได้เล็กๆ วางแผนจะกลับไปศึกษาวิธีใช้งานกู่หลิงซินในเวทหุ่นเชิด
…………………………………..