บทที่ 40 ตอนที่ 2
ไม่นาน การแสดงก็เริ่มขึ้น พี่ชายของเขานั้น… สุดยอดมาก นั่นเป็นคําเดียวที่เขาจะใช้บรรยายได้ แต่ความทรงจําในตอนนั้นก็ไม่ได้คงอยู่ยาวนานนัก หลังจากนั้นไม่นานพี่ชายของเขาก็ไปอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัย และเกนซุคก็กลับมาสู่วิธีชีวิตคนแก่เรียนเหมือนเดิม
เขารู้สึกดีเวลาครชมเขาที่โรงเรียน นั่นคือเหตุผลเดียวที่เขาตั้งใจเรียนเพื่อคำชม
ขณะที่เด็กคนอื่นกําลังหัวหมุนกับการบวก เขาสามารถอธิบายเรื่องสมการได้ เขาเขียนชื่อตัวเองเป็นภาษาจีน แนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ แม้แต่เด็กคนอื่น ๆ ก็บอกว่าเขายอดเยี่ยม
การได้เป็นจุดสนใจมันรู้สึกดีมาก ๆ เขาไม่อยากจะเสียความรู้สึกนี้ไป การสอบ ค่าถาม การบ้าน… เขาจะทําทุกอย่างให้ได้คะแนนเต็มเสมอ พ่อแม่ของเขามักจะชื่นชม เขาอยู่ตลอด พร้อมด้วยของขวัญ ความรู้สึกอันเบิกบานนี้ ราวกับว่าเขาถูกทุกคนรัก
จนถึงช่วงที่เขาใกล้จะจบชั้นประถม ตอนนั้นเขาลืมเรื่องการแสดงของพี่ชายไปจน หมดแล้วปีนั้น สิ่งเดียวที่เขาได้เห็น คือพี่ชายบอกว่าจะลาออกจากมหาวิทยาลัยและออกจากบ้านไป
น่าสมเพช
เกนซุคจะพยายามให้มากขึ้น เพื่อให้พ่อแม่ของเขาภูมิใจ
ด้วยเหตุนั้น เขาจึงจบจากชั้นประถม คะแนนการสอบเข้าชั้นมัธยมต้นของเขาเองก็ไม่มีที่ติ ยิ่งทําให้พ่อแม่ของเขาดีใจไปยกใหญ่ ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มวางแผนชีวิตไว้ในหัว
ถ้าเขาได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ทุกคนก็จะยิ่งดีใจ เขาตั้งหน้าตั้งตาเรียน เรียน และ เรียน จนถึงการสอบครั้งแรกในช่วงมัธยมต้น
ผล…
เขาได้ที่ 5 ในห้อง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาตกจากที่หนึ่ง และได้แค่ที่ 24 จากนักเรียนทั้งระดับชั้นด้วย เท่านี้มันไม่พอ แบบนี้ไม่ได้การ
คืนนั้น เขาได้ยินเสียงของพ่อตอบกลับมาอย่างเบื่อหน่าย
“ดี” เขาอบก
แค่นั้น ไม่มีค่าชม ไม่มีของขวัญ เขารู้สึกกังวล เขาพยายามกัดฟันแล้วตั้งใจอ่าน หนังสือต่อ ถึงแม้เพื่อน ๆ จะชวนไปเล่น เขาก็จะปฏิเสธและตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างสุดความสามารถ
เลือดกําเดาแต่ละหยดที่ไหลออกมา มันให้ความรู้สึกเหมือนเขาได้ทําอะไรลุล่วงไปสักอย่าง
มันคือสัญลักษณ์ของเขาที่โรงเรียน เลือดแต่ละหยดในสมุด คือเครื่องหมายที่ท่าให้เขามีความมั่นใจ
หลังจากนั้น… ก็ถึงช่วงสอบปลายภาค อาจจะเพราะว่าเขาอยู่อ่านหนังสือดีกจนเกินไป ทําให้เขาพลาดตั้งแต่วันแรก เขาไม่ต้องไปดูคะแนนก็รู้ได้ว่าสภาพมันเป็นยังไง เขามานั่งคุยเรื่องคําตอบกับเพื่อน ๆ และคะแนนที่เขาได้ออกมา… ก็คือ 70
คะแนน
เขารู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบได้พังทลายลงต่อหน้า เขาได้ 70 คะแนนมาในทุกวิชา เพื่อน ๆ ของเขา ดูราวกับว่ากําลังล้อเขาอยู่ สายตาอันอบอุ่นของคุณครู ก็ดูกลายเป็น
สายตาที่เย็นชาจับขั้วหัวใจ ขากลับมาจากโรงเรียนเขาไม่สามารถพูดคุยอะไรกับเพื่อน ๆ ได้เลย
เขากลับมาและเอาผลสอบให้แม่ดู แม่ของเขาถอนหายใจ เธอไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
“เป็นไงบ้างแม่?” เขาถามอย่างกังวลใจ
แม่ของเขาตอบกลับมาเบา ๆ
“ครั้งหน้าพยายามกว่านี้หน่อยนะ 70 นี่น้อยไปนิดเนอะ?”
คืนนั้นเกนซูคนอนหลับตาไม่ลง อาทิตย์นั้นเขาท่าพลาดทุกวิชาที่สอบ ได้ 70 รวด ทุกวิชา เขาตกไปอยู่อันดับ 26 ในห้อง เขาตกอย่างสภาพดูไม่ได้ แผนการชีวิตของเขาพังพินาศ ด้วยคะแนนเท่านี้จะไปเข้าโรงเรียนดี ๆ ยังไม่ได้เลย
เขาคือไอ้ขี้แพ้ ผลงานแห่งความล้มเหลว
70 มันไม่ควรจะออกมาในสมุดเกรดของเขาได้เลย แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังเห็นพ่อแม่ของเขาถอนหายใจยกใหญ่
เขาแทบหายใจไม่ออก แบบนี้เขาก็ไม่ได้คําชมแล้วสิ เขาก็ไม่ถูก.. รักแล้วสิ
มันเป็นแค่ความคิดโง่ ๆ เขารู้ดี แต่ตอนนั้น เขารู้สึกจนตรอกสุด ๆ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย เพราะเกนซุคที่ไม่ได้รับคําชมนั้น ก็คงไม่มีค่าพอจะมีตัวตนอยู่ ตอนนั้นเองที่เขานึกถึงพี่ชายขึ้นมาได้
เขาโทรไปหามหาวิทยาลัยเก่าของพี่ชาย โทรหาเพื่อน ๆ ของพี่ จนสุดท้ายก็ติดต่อชายหนุ่มได้ แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หรืออยากได้ยินอะไร พี่ชายของเขาถามว่ามีอะไร แต่เขาก็ไม่สามารถตอบออกไปได้ และวางสายลงในที่สุด
เขานึกไม่ออกว่าจะต้องพูดอะไร
วันต่อมา ในเช้าวันเสาร์ พี่ชายของเขากลับมาที่บ้าน
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ” พี่ชายของเขาพูดพร้อมจับบ่าเกนซุคไว้มั่น
ไม่เป็นไร นั่นคือตอนที่เกนซุคนึกขึ้นได้… สิ่งที่เขาอยากได้ยินไม่ใช่ค่าชม เขาแค่อยากได้ยินว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร แต่พี่ชายของเขารู้ได้ยังไงกัน? เขาถามออกไปพร้อมน้ําตา
“ตอนโทรมาลมหายใจของแกน่ะฟังดูเจ็บปวดมาก คิดว่าพี่จะไม่รู้เหรอ? พี่ชายที่เป็นนักแสดงคนนี้?”
สายตาที่เขามองมาเหมือนเมื่อ 6 ปีก่อนไม่มีผิด สายตาแบบเดียวกับตอนที่เขาชวนกินบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป
“อยากไปดูละครไหม?”
เกนซุคพยักหน้ารับโดยไม่ลังเล และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขามาเหยียบสถานีฮเยวา ถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่มีพลังงานแบบเดียวกับพี่ชายเขา พวกเขาขยับเหมือนกัน วิธีพูดคล้ายกัน สายตาแบบเดียวกัน
พวกเขา มีชีวิต
วันนั้น เกนซุคได้พบกับความฝันของตัวเอง ถึงมันอาจจะเป็นแค่ความฝันโง่ ๆ การวิ่งไล่ตามพี่ชาย อาจจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่มากมาย แต่เรื่องนั้นเขาก็จะเป็นคนตัดสินมันเอง ว่าเขาจะวิ่งตามมันไปหรือไม่
แต่เขาจะใช้วิธีการที่แตกต่างไป
เขาพยายามตั้งหน้าเรียนต่อไป จนในที่สุดเกรดก็กลับมาดีเหมือนเดิม เขาสอบได้ที่หนึ่งจากนักเรียนทั้งโรงเรียน ทั้งพ่อแม่และคุณครูของเขาทุกคนต่างพากันชื่นชมเขา แต่ตอนนี้ ค่าชมเหล่านั้น สําหรับเขาแล้วมันช่างดูไม่จริงใจ
และตอนนั้นเอง ที่เขาเรียนมาจนถึงปีสาม
เกนซคติดสินใจไปเรียนต่อสายอาชีวะ ตอนที่ไปคุยกับพ่อ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เขาแค่บอกว่าถ้าไปเรียนสายอาชีพ มันจะไปต่อมหาวิทยาลัยได้ง่ายกว่า
แต่เขาไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการแสดงเลย เขารู้ดีว่าถ้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพ่อมันจะเกิดอะไรขึ้น
เขาคง… ถูกตบ แต่นั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก ถึงจะโดนตบเขาก็คงยังยิ้มต่อได้ เพราะเขาได้ทําตามใจอยากแล้วนี่นา
“อ่ะ”
เกนซุคอุทานออกมาหลังจบการอ่านบทช่วงแรกลง เด็กหนุ่มมีความเชื่อมั่น โดจิน หันไปมองเขาด้วยความสงสัย
“มีอะไร?” โดจินถาม ทําให้เกนซุคยิ้มออกมา
“แค่เจอเหตุผลที่จะยิ้มต่อไป แม้จะโดนตบหน้าน่ะ”
…อะไรวะน่ะ?
“พักพอแล้ว มาทางนี้”
นั่นคือเสียงของมิโซที่เรียกทุกคนไปรวมตัวกันอีกครั้ง
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 40 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 40 ตอนที่ 1
หลังจากนั้นพี่ชายของเขาก็ไม่ได้ติดต่อที่บ้านอีกเลย เกนซุคมารู้ทีหลังว่าช่วงนั้นพี่ชายไปเข้ารับราชการทหาร
ที่พ่อเขาจะโกรธก็คงช่วยไม่ได้หรอก เพราะพี่ชายของเขาหายตัวไปถึงสองปี แต่พอกลับมา ก็บอกว่าอยากออกจากมหาลัยแล้วไปเป็นนักแสดง
สําหรับคนอื่น พี่ชายของเขาคงดูไม่เหมาะกับการเรียนสักเท่าไหร่ เพราะชายหนุ่ม อยู่นิ่ง ๆ สักสิบวินาที่ยังไม่ได้ด้วยซ้ําไป พ่อของเขามักบอกเสมอว่าการเรียนไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต แต่พื้นฐานก็ยังเป็นเรื่องจําเป็น พี่ชายของเขาก็เลยจําใจเรียนแค่พื้นฐานเท่านั้นจริง ๆ แล้วเขาก็มักจะมาบ่นเรื่องเรียนให้เกนซุคฟังอยู่ร่ําไป
ถึงมันจะผ่านไปได้ 5 ปีแล้ว เกนซุคก็ยังจําคําพูดพวกนั้นได้ดี และยังจ่าค่าตอบที่ตัวเองใช้ตอบไปได้ด้วย
“แต่พ่อแม่จะดีใจนะ ถ้าเราตั้งใจเรียน”
แล้วพี่ชายของเขาก็ตอบกลับมาว่า
“ถึงพวกท่านจะดีใจ แต่มันน่าเบื่อนี่นา”
สุดท้าย พี่ชายและพ่อของเขาก็ทะเลาะกันทั้งปี จนเกนโซเขาเข้าโรงเรียนอาชีวะ เหมือนว่าที่พ่อของเขายอมอนุญาตให้ลูกชายไปเรียนโรงเรียนอาชีวะได้เพราะคําพูดที่ว่า ผมยอมไปเป็นหัวงู ดีกว่าได้เป็นแค่หางมังกร
เกนซุคยังจําได้อยู่บ้าง ว่าพี่ชายของเขาใช้ชีวิตช่วงมัธยมปลายยังไง แม่ของเขาถามเกนซุคว่า ตอนนั้นลูกแค่ 6 ขวบเอง จำได้ด้วยเหรอ? เวลาเขาไปถามถึงช่วง เวลานั้น
ยังไงก็ตาม ช่วงนั้นพี่ชายของเขามักจะกลับมาบ้านค่ามืดทุกวัน และเพราะแบบนี้นถึงได้ทะเลาะกับที่บ้านบ่อย ๆ
ใช่ ทะเลาะกันบ่อยมากเลยจริง ๆ
เกนซคนึกถึงเรื่องที่ทะเลาะกัน ตอนพี่ชายของเขาเรียนใกล้จบ พี่ชายและพ่อของเขาทะเลาะกันเรื่องมหาวิทยาลัยหรือการแสดง อีกแล้วและนั่นคงเป็นครั้งแรกที่พี่ชายของเขาถูกตบ
เขายังจํามันได้ดี ว่าใบหน้าของพี่ชายถูกตบเข้าจนหัน พอแม่เขาเห็นแบบนั้น ก็รีบพาตัวเขาเข้าไปอยู่ในห้อง ก่อนประตูห้องจะปิดลง เกนซุคเห็นใบหน้าของพี่ชายหลังจากถูกตบ กําาลังยิ้มอย่างผู้มีชัย
หลังจากนั้นพ่อก็ไม่เคยคุยอะไรกับเกนโซอีกเลย พ่อของเขาไม่แม้แต่จะขยับตัว ตอนที่ถูกชวนไปดูการแสดง
จนถึงตอนนั้น เกนซุคไม่เคยไปดูการแสดงของพี่ชายเลย แม่ของเขาเองก็ไม่กล้า ไปดูการแสดงที่สามเกลียดนักเกลียดหนา ตัวเขาเองก็ไม่อยากดูมากเท่าไหร่ ช่วงนั้น เป็นช่วงที่เขาเริ่มไปเรียนที่สถานบันกวดวิชาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งก่อนจะเข้าเรียนต่อประ ถม เขาจภาพพี่ชายที่กลับมาถึงบ้านช้ากว่าเขาไปเกือบชั่วโมง ด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัวได้ดี
ตอนนั้น เกนซุคไม่เข้าใจพี่ชายของตัวเองเลย พี่ชายเขาไม่ได้โง่ เกนซุครู้เรื่องนั้นดี ชายหนุ่มจ่าบทพูดได้ด้วยการอ่านผ่านตาแค่ครั้งเดียว
พี่ชายของเขาจะมีสมาธิที่แน่วแน่มากเวลาเขาอ่านบท ถ้าเขาใช้สมาธิพวกนั้นมาเรียนบ้างสักนิด พ่อแม่ของเขาก็คงไม่ขัดขวางเรื่องการแสดงมากมายนัก แต่พี่ชายของเขาไม่สนใจ ราวกับว่าเวลาที่เขาต้องใช่ไปกับการเรียน มันเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์สําหรับเขา
ฤดูหนาวปีนั้น เกนโซสอบเข้ามหาวิทยาลัยไร้ชื่อแห่งหนึ่งได้ พ่อเดาะลิ้นท่าท่า ทางหงุดหงิด แต่ก็ยังยอมจ่ายค่าเทอมให้ จริง ๆ แล้วเขาเองก็คงดีใจที่ลูกชายเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้แหละ แม่ของเขาเองก็มักจะพูดกรอกหูเสมอว่า ได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตั้งใจเรียนสักทีนะ
พี่ชายของเขาทําแค่พยักหน้า
เกนซุคเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพี่ชายไม่มีความคิดที่จะฟังแม่พูดแม้แต่นิด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกนซุคเรียนเนื้อหาของชั้นประถมหมดแล้วเช่นกัน ตอนนั้นเขาตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะศึกษาเนื้อหาของช่วงมัธยมต้นต่อขณะที่เรียนประถมอยู่ แม้แต่ครูที่โรงเรียนก็ชมเขา
“ลูกคุณนี่ฉลาดมากเลยนะ” เสียงครูพูดผ่านสายโทรศัพท์มา
และวันเดียวกันนั้นเองที่พ่อแม่เขา พาเขาไปกินเลี้ยงกันยกใหญ่ แน่นอนว่าพี่ชายเขาไม่ได้มากินด้วย เพราะยังคงอยู่กับชมรมการแสดงของเขา
“เยี่ยมมากลูก เยี่ยมจริง ๆ”
“เกนซุค อยากได้ของขวัญอะไรไหม?”
พ่อแม่ของเกนซุคนั้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด ค่าชมหลั่งไหลลงมาราวห่าฝน เขาชอบที่จะเรียน มันไม่ได้ยากอะไรเลย แถมยังทําให้พ่อแม่ดีใจได้อีก หลังจากนั้นทั้งสามคนก็แวะไปที่ร้านขายของเพื่อซื้อของขวัญให้เขา พ่อของเขายอมควักบัตรเครดิตมาใช้อย่างไม่คิดอะไรมาก แม่ของเขาเองก็ซื้อของเล่นและเสื้อผ้าทุกอย่างที่เขาอยากได้ให้
ทําไมพี่ชายของเขาถึงไม่ตั้งใจเรียนนะ? มันง่ายจะตายไป พี่ชายช่างดูแปลกประห ลาดในสายตาของเกนซค วันนั้นหลังจากทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบเกนโซกําลังต้มบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปกินอยู่คนเดียว
“ถ้ามันหัดเอาอย่างน้องมันหน่อยนะ” พ่อของเขากล่าว
มันเป็นค่าพูดที่ฟังดูแปลก ๆ เกนซุคดีใจที่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันก็สงสารพี่ชายตัวเอง
เพราะแบบนั้นรึเปล่านะ เกนซุคถึงได้เดินเข้าไปหาพี่ชายขณะที่เขากําาลังกินข้าว
อยู่
“พี่ ให้ผมช่วยสอนหนังสือให้ไหม?”
พ่อของเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มเสียง แม่ของเขาเองก็พูดขึ้นว่า “เกนซุคโตขึ้นมากแล้วนะเนี่ย หัดดูแลพี่ชายตัวเองแล้วด้วย”
ตอนนั้นเขาแค่อยากจะทําตัวให้เป็นประโยชน์ ไม่สิ จริง ๆ เขาอาจจะอยากอวดอ้างตัวเองหลังได้รับคําชมมามากมาย แต่พี่ชายของเขากลับมองมาที่เขาเงียบ ๆ
ที่แรกเกนซุคคิดว่าพี่ชายคงต้องโกรธเขาแน่ ๆ หรืออาจจะนั่งกินข้าวต่อไปด้วยท่าทางเศร้า ๆ แต่พี่ชายของเขาไม่แสดงอาการทั้งสองอย่างออกมา
“นี่ ไอ้น้องชาย นี่มันอร่อยมากเลย มากินด้วยกันไหม?”
พี่ชายของเกนซุคบอกว่าตัวเองจะออกไปอยู่หอใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยด้วยตัวคนเดียว
ตอนช่วงใกล้สิ้นเดือนธันวาคม เขาก็กลับมาบอกที่บ้านว่าเขาจะไปแสดงกับละครที่จัดโดยทางจังหวัด แน่นอนว่าพ่อของเขาไม่สนใจเรื่องอะไรแบบนั้น
แต่แม่ของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย เธอรวบรวมความกล้าไปดูการแสดงของลูกชาย พ่อเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เขาคงยอมปล่อยผ่านไป เพราะนี่จะเป็นการแสดงสุดท้ายของลูกชาย
“เกนซุค อยากไปดูด้วยกันไหม?”
เกนซุคพยักหน้ารับทันที เพราะเขาเองก็ติดใจสงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าไอ้การแสดงที่พี่ชายของเขายอมทิ้งทุกอย่างไปเพื่อมันเนี่ย มันเป็นอะไรยังไง ทั้งสองคนเดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัด ที่ ๆ ใช้จัดการแสดง ทั้งสองคนเข้าไปรอในห้องเตรียมตัวก่อนการแสดง เพื่อหาพี่ชายของเกนซุค
เกนซุคพยายามเขย่งเท้าเพื่อมองหาพี่ชายในฝูงคน จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้หายากอะไร เพราะตอนนั้นพี่ชายของเขายืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ
พี่ชายของเขากําลัง… เปล่งประกาย ทุกคนต่างจับจ้องไปที่พี่ชายของเขา ค่าพูดค่าเดียวของเขาทําให้ทั้งห้องต้องเงียบฟัง หรือทําให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นลั่น แม้แต่เกนซุคตัวน้อยก็เข้าใจได้ทันทีว่าพี่ชายของเขามีบทบาทในที่แห่งนี้มากแค่ไหน ราวกับว่าเขากําลังมองดูคนละคน แม้แต่แม่ของเขาก็ต้องตกใจ โชคดีที่พี่ชายของเขาหันมาเห็นพอดี เขาจึงเดินเข้ามาพูดด้วยน้ําเสียงปกติของเขา
“งั้นก็ ดูให้สนุกนะ”
เกนซุครู้ได้ทันทีว่าพี่ชายของเขาไม่ได้ต่างจากตอนอยู่ที่บ้านเลย สิ่งเดียวที่ต่างไปคือมุมมองที่เขาใช้มองพี่ชาย