นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 39 ตอนที่ 2
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 39 ตอนที่ 2
เจ้าบ้าที่เป็นคนเริ่มชมรมนี้ขึ้นมา…เจ้าบ้าที่บ้าคลั่งการแสดงสุด ๆ เขาจะเอาบทมานั่งอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงขั้นที่บทเริ่มยุ่ยคามือเขาความรักของเขาที่มีต่อการแสดงเป็นแรงขับที่ผลักดันทุกคนในชมรมให้ก้าวเดินไปกับเขาถ้าไม่มีเขากับครูที่ปรึกษาชมรมนี้คงอยู่ ไม่รอด
ถ้าไม่มีพวกเขา เราจะไปทําอะไรอยู่นะตอนนี้
บางทีเธออาจจะกลายเป็นนักเขียนการ์ตูนไปก็ได้แต่คงไม่ได้สนุกขนาดนี้หรอกยังไงก็ตามเด็กหนุ่มเกนซุคมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับเจ้าบ้านั่นเธอนั่งลงพักนิดหน่อยขณะมองดูเด็กๆ ฝึกซ้อมอ่านบทกันจนโทรศัพท์ดังขึ้นมา
เป็นสายเข้าจากเจ้าบ้านั่น
“พูดยังไม่ทันขาดคําเลยนะ มีไร?”
– ได้ยินว่าพาน้อง ๆ ไปเลี้ยงข้าวเลยจะโทรมาขอบคุณ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อยโทรมาเพราะเรื่องแค่นี้น่ะนะ?”
– จริง ๆ ก็มีเรื่องนี้ กับเรื่องจะมาอวดนิดหน่อย
“อวด?”
– ฉันไปเจอผู้กํากับยุมาด้วยถึงขั้นได้ทักทายกันเลย
“เอ่? ถามจริง?”
ผู้กํากับ ยู ชาลมินเป็นผู้กํากับบทละครเรื่องสกายซี”ที่โด่งดังที่สุดในประเทศแถมยังเป็นประธานคนปัจจุบันของสมาคมการแสดงแห่งเกาหลีใต้งานชิ้นที่เขามีส่วนร่วมขายได้จนหมดเกลี้ยงนักแสดงมากหน้าหลายตาต่างพากันแห่มาขอแสดงใน
ภาพยนตร์ของเขา มิ โซเองก็เคยเห็นเขาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปคุยด้วยสักที
– ถึงเขาจะจําฉันในฐานะนักแสดงไร้ชื่อแต่มันก็ยังเจ๋งอยู่ดีปะ?
เขา
“อ่า อิจฉาเลยนะเนี่ยแล้วไปเจอเขาได้ไงเหรอ?”
– ฉันได้ยินมาว่าเขานับถือผู้กํากับคนปัจจุบันของฉันเหมือนเป็นพี่น้องกัน
“โอกาสดีเลยไม่ใช่เหรอน่ะ?ลอง…”
– อย่าใช้เส้นสายในการเข้าหาจําคํานั้นได้ไหม?
เขาพูดตัดบทเธอทันทีทันควันมิโซเองก็ไม่คิดจะเถียงอะไรเพราะรู้ดีว่าคนอย่างเขาต้องประสบความสําเร็จเข้าสักวันอยู่ดี
“แล้ว ที่โทรมานี่คือแค่จะอวดแค่นี้?”
– อ่า ก็ใช่ แต่ก็มีอีกเรื่อง
“อีกเรื่อง?”
– …แค่ห่วงว่าน้องฉันสบายดีไหมน่ะ
“น้อง?”
– อ่า ฉันไม่ได้ติดต่อที่บ้านมาหลายเดือนแล้วเพราะช่วงนี้ยุ่งมาก แต่ไม่กี่วันก่อนน้องฉันโทรมาบอกว่าเขาได้เข้าบลูสกายเจ้าเด็กบ้านั่น… อุตส่าห์ฉลาดแต่ดันไปเข้าโรงเรียนห่วย ๆ แบบนั้น
“เอ๋ น้องที่ว่านี่เกนซุคเหรอ?”
– ใช่ ไม่เห็นเลยเหรอว่าเขาหน้าตาเหมือนฉันน่ะ? สูง รูปร่างดีแถมหล่อกว่าหน่อย ๆ ด้วยฉลาดกว่าอีกให้ตายสิดีกว่าฉันไปหมดทุกอย่างนั่นแหละเนอะ?แต่ก็ช่างเถอะเพราะฉันแสดงเก่งกว่า
มิโซได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากปลายสายมันคือเสียงหัวเราะของฮงเกนโซมิโซหันไปมองที่เกนซุคอีกครั้งมิน่าล่ะถึงดูคุ้นตานัก
“นี่ ไม่เห็นเคยบอกกันเลยว่ามีน้องด้วย”
– อ่า ไม่ได้บอกเหรอ?
“แกไม่เคยพูดถึงที่บ้านเลยสักครั้ง”
– จริงดิ? ช่างเถอะ ฝากดูมันด้วยนะสมองดีขนาดนั้นคงมีเหตุผลอะไรที่อยากไปลองแสดงดูแหละ
มิโซมองดูที่มือถือด้วยสีหน้าประหลาดใจน้ำเสียงเมื่อกี้… ฟังดูขมขื่นทําไมเขาถึงได้ทําเสียงแบบนั้นกัน?ปกติแล้วน้ำเสียงของเจ้าหมอนี่มันจะเหมือนคนเมากัญชาอยู่ตลอดเวลาแท้ ๆ
“มีอะไรอยากบอกฉันไหม?”
– ไม่ล่ะ ฝากดูด้วยแล้วกัน
โกหก เขามักจะพูดว่า “ไม่ล่ะทุกครั้งเวลาโกหกเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้เว้นแต่เจ้าตัว
“นี่ ฉันจริงจังนะ”
“เฮ้ยไอ้บ้า”
สมาชิกชมรมพากันหยุดอ่านบทและหันมามองเธอเป็นตาเดียวมิโซได้แต่ทําท่าบอกว่าไม่มีอะไรไปก่อนจะคุยต่อ
– อย่าออมมือล่ะ
“ไม่ออมแน่”
– แล้วก็
“แล้วก็?”
– เปล่าหรอก ฉันอาจจะเข้าใจผิดไปก็ได้แค่… อยากให้เขาได้ลองฝันดูแต่ต่อให้เขาต้องล้มเหลวฉันก็ไม่อยากให้เขาต้องเจ็บปวดมากนัก
“นี่ ฉันช่วยให้เขาไปถึงฝันได้นะแต่ถ้าเขาพลาดขึ้นมาฉันก็ไปช่วยปลอบอะไรไม่ได้หรอกนั่นมันหน้าที่นายว่าง ๆ ก็หัดแวะมาเยี่ยมบ้างนะเข้าใจ?”
– อ่า อ่า จะไป
เกนโซวางสายทันทีหลังพูดจบ
“น้องชายเกนโซเหรอ”
รุ่น 1 และรุ่น 13 ของบลูสกาย มิโซวางมือไว้ใต้คางก่อนจะครุ่นคิด เท่านี้เธอก็ยิ่งมีเหตุผลให้ต้องโหดกับเกนซุ คมากขึ้นไปอีกพอนึกถึงเด็กหนุ่มก็หันมาหาพอดี
เกนซุคหันมามองข้างหลังและก็เจอสายตาของมิโซที่จับจ้องมาทางเขาปากของเธอขยับเล็กน้อยเหมือนกําลังด่าอะไรเขาอยู่ในใจ
เธอยังโกรธอยู่เหรอ?
เขาต้องตั้งสติให้ดี เหลือเวลาฝึกซ้อมกันอีกแค่สามอาทิตย์ มันแทบไม่มีเวลาแล้วแต่ละวันผ่านไปยิ่งทําให้เขาเกร็งมากขึ้นเขาอยากจะชนะงานประกวดเหมือนที่พี่ชายเขาเคยทําได้
เกนโซนั้นมีความหมายต่อเกนซุคมากแค่คําว่า“พี่”มันไม่พอที่จะอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งสองหรอก
บางครั้ง ชายหนุ่มเป็นราวไอดอลของเขาบางทีก็เป็นคู่ปรับบางครั้งเป็นพี่ชายแสนรักบางที่กลับกลายเป็นคู่แค้นตอนเขายังเด็กเขาไม่สามารถเข้าใจพี่ชายของเขาได้เลย
เกนซุคนึกถึงสมัยเขายังอยู่ประถมเขารีบกลับบ้านมาเพราะไม่อยากไปเรียนเพิ่มที่เรียนพิเศษขณะที่เขากลับมาเหยียบถึงบ้านเขาก็เห็นพ่อของเขากําลังตะคอกใส่พี่ชายอยู่พี่ชายของเขานั่งคุกเข่าฟังก่อนที่แม่ของเขาจะรีบพาตัวเขาออกมาจากบ้านไม่นานหลังจากนั้นพี่ชายของเขาก็เดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม เต็มใบหน้า
[เกนซุค เชื่อฟังพ่อแม่เข้าไว้ล่ะเข้าใจไหม?]
นั่นคือสิ่งที่พี่ชายมักจะพูดให้เขาฟังหลังทะเลาะกับพ่อ ชายหนุ่มนั่นเป็นกล่องปริศนาที่ไม่เคยหยุดทําร้ายพ่อแม่ของตัวเอง นั่นคือความคิดที่เกนซุคเคยมีให้พี่ชาย
เขายังจําคําพูดที่แม่ของเขาถามเขาในวันนั้นได้ดี
[เกนซุค ลูกจะเชื่อฟังพ่อแม่ใช่ไหม?]
วันนั้น เขาตอบกลับไปว่า“ครับ”โดยไม่มีความลังเลใดๆเพราะเขาเห็นสภาพของพี่ชายที่เดินออกจากบ้านไปด้วยความน่าสมเพช
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 39 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 39 ตอนที่ 1
“อย่าหลบตา ถ้าทําแบบนั้นเดี๋ยวคนดู ก็ได้คิดว่าเราเล่นไม่เป็นกันพอดี โดจิน เธอเลย เวลาขยับตัวน่ะหัดคิดด้วย ถ้ายืนอยู่แบบนั้นเดี๋ยวก็ได้ไปชนคนอื่นหรอก” มิโซตะโกนบอกเอก
โดจินเดินก้มหน้าเดินออกมาด้วย ท่าทางสํานึกผิด ทําให้ไปชนเข้ากับเดมยัง จนทั้งสองต้องล้มลงทั้งคู่
“เฮ้ย”
โซยอนและยูริมที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องสะดุ้ง โหยงจากเสียงตะโกนของมิโซ เธอยกมือขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาแล้วเรียกทุกคนในชมรมลงมาจากเวที
“3 อาทิตย์…”
“เราต้องไปแสดงต่อหน้าคณะกรรม การในอีกสามอาทิตย์ ต่อหน้าผู้ชม มากมาย รู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายัง ไงนะ?”
“ครับ/ค่ะ”
“รู้แล้วยังทําตัวแบบนี้กันอีกเหรอ? ไป วิ่งรอบสนามไป”
“ครับ/ค่ะ”
เหล่าสมาชิกชมรมต่างพากันวิ่งออก จากห้องไปแทบจะทันที มิโซได้แต่ถอนหายใจหลังเห็นเด็ก ๆ ออกจากห้องไป
จนหมด
“รู้สึกมันไม่พอสักที”
ถึงเธอจะตะโกนด่าพวกเขา แต่เด็ก ๆ ก็เริ่มแสดงกันเป็นแล้ว ความจริงอยู่ในจุดที่พอใจได้เลย แต่เธอก็ยังอยากให้มันได้มากกว่านี้ ยิ่งเห็นเด็ก ๆ เร่าร้อนกัน ขนาดนั้น
อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวการแสดงก็จะออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว..
มิโซเดินออกมาด้านนอก และเข้าไปในห้องว่าง ๆ ห้องหนึ่ง เธอเปิดหน้าต่างออกและมองไปข้างนอก เหล่านักเรียนต่างออกวิ่งเรียงกันไปเป็นแถว
คนแรกที่วิ่งครบรอบคือแทจูน ถึงเด็กหนุ่มจะไม่ค่อยมีแรง แต่เขาก็เร็วมาก ต่อมาคือเกนซุค จุงฮยุก และตามมา ด้วยมินซอง สุดท้ายเป็นโดจิน ส่วนเดม ยังวิ่งด้วยความเร็วพอ ๆ กับพวกผู้หญิง
“เดมยัง แกเดินเหรอ?” มิโซตะโกนใส่
“เปล่าครับ”
เธอได้ยินเสียงตอบรับแผ่ว ๆ มาจากสนาม
เด็ก ๆ ต่างพากันวิ่งในลู่อย่างเต็มแรง เธอบอกพวกเขาไปว่า วิ่งให้ครบ 5 รอบ แล้วถึงจะกลับขึ้นมาได้ เธอนั่งรออยู่พักหนึ่ง แทจูนก็เดินขึ้นมาถึงห้องด้วยเสียงหอบแรง มีเหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงมาจากหน้าผากของเขา คนอื่น ๆ ก็ตามเขามาติด ๆ และโซยอนมาถึงเป็นคนสุดท้าย
มิโซเปิดปากพูดหลังสมาชิกกลับมาครบทุกคน
“ควบคุมลมหายใจ เปิดปิดหลอดลม ให้สนิททุกครั้งเวลาหายใจเข้าออก บอกแล้วใช่ไหมว่าสภาพหลอดลมตอนหาวน่ะคือสภาพที่เหมาะที่สุดเวลาต้องการออกเสียง จําได้อยู่ไหม? แต่นักแสดงน่ะต้องทําเสียงมากมายหลากหลาย ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ ตอนที่พวกเขาดีใจ เสียใจ เหนื่อย ร่าเริง และอีกนับไม่ถ้วน ตอนนี้คือสภาพหลอดลมของ เราตอนเหนื่อย จําให้ดีว่าหายใจเข้าแรงแค่ไหน ปอดขยายยังไง ลําคอขยับแบบไหน จําความรู้สึกนี้ไว้ แต่อย่าเอาแต่จํานะ ให้ทําความเข้าใจด้วยว่าร่างกายเราเป็นแบบไหนเวลาเราเหนื่อย เข้าใจไหม?”
“ครับ/ค่ะ”
“คนโง่นะแสดงไม่ได้หรอก เพราะเราต้องรับรู้ถึงทุกส่วนของร่างกายและควบคุมมันตลอดเวลา หลังจากรับรู้ถึงทุกส่วนของร่ายกาย แล้วเริ่มฝึกไปอีกหลายเดือน ตอนนั้นแหละที่เราจะเริ่มแสดงได้จริง ๆ แสดงเป็นธรรมชาติตั้งแต่ครั้งแรก? อย่ามาล้อเล่นหน่อยเลย ของแบบนั้นมันไม่มีในชีวิตจริงหรอก จะแสดงได้ต้องจําพื้นฐานให้ได้ครบถ้วนก่อน เข้าใจไหม?”
“ครับ/ค่ะ”
“ดีมาก พักสิบนาทีแล้วเดี๋ยวจะซ้อมกันต่อ ตั้งแต่อาทิตย์หน้าไปเราจะมีการฝึกวิ่งด้วย ถ้าวิ่งแค่นี้แล้วมาเหนื่อยหอบกันอีก… จบไม่สวยแน่”
สมาชิกชมรมต่างพากันกลืนน้ําลายอีกใหญ่
“เกนซุค”
“ครับ”
เด็กหนุ่มวิ่งออกไปหาเธอทันทีที่ถูก เรียกการแสดงของปีนี้เขาได้เป็นตัวเอก เป็นบทที่ยาก แต่เด็กหนุ่มก็คู่ควรกับบท เพราะเขานั้นจริงจังกับการแสดงเสียมากกว่าใคร ๆ
เขามีพื้นฐานและพรสวรรค์ ในงานประกวดพวกนี้จะมีรางวัลการแสดงให้นักแสดงรายบุคคลด้วย และการได้มันมาก่อนคงจะช่วยให้เด็กหนุ่มได้เข้าโรงเรียนการแสดงดี ๆ ได้ เพราะแบบนั้นมิโซถึงได้เข้มงวดกับเด็กหนุ่มมาก เธอไม่อยากให้เด็กหนุ่มเหลิงตัว
“วิเคราะห์ตัวละครมารึยัง?”
“ครับ”
“งั้นลองบอกมาหน่อยสิ ว่าตัวละครที่ชื่อจองซูเป็นคนยังไง?”
มิโซไม่เคยตั้งโจทย์ให้เด็กมัธยมวิเคราะห์ตัวละครมาก่อนเลย เพราะว่าเด็ก ๆ พวกนี้แค่มาเข้าร่วมชมรม เพราะความอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่าจะเป็นความรักจริง ๆ เพราะแบบนั้นมิโซถึงบอกสมาชิกคนอื่น ๆ ไปว่าให้ทําแค่รายงานตัวละครมาก็พอ แต่เธอมั่นใจว่าเกนซุคนั้นตั้งเป้าไปถึงระดับอาชีพ เพราะแบบนั้นเธอเลยตั้งใจฝึกเด็กหนุ่มอย่างเต็มตัว
“จองซูเป็นคนขี้อาย เขาอยากสนิทกับเพื่อน ๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าหา แล้วเขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ร้อน ร้อนมากพอที่จะตะโกนด่าเพื่อนเพราะถูกล้อนิด ๆ หน่อย ๆ แล้ว…”
“ชีวิตสมัยประถมของเขาเป็นยังไง?”
“อะไรนะครับ?”
เกนซุคดูตกใจหน่อย ๆ ทําให้มิโซต้องเดาะลิ้น
“ฉันบอกให้ไปวิเคราะห์ตัวละครมา แล้วนี่มาอ่านบทให้ฟัง ฉันไม่ได้อยากรู้รายละเอียดพื้นฐานพวกนี้ บอกฉันมา ว่าจองซูเป็นคนยังไง เขาใช้ชีวิตมาแบบไหน”
“ไอ้โง่ที่ไหนมันก็บอกได้ทั้งนั้นแหละว่าจองซูเป็นคนขี้อายแต่หัวร้อน ใคร ๆ ก็รู้ เพราะมันเขียนไว้ในบทไง บ่น หงุดหงิด โกรธ กระทืบเท้า…”
มิโซเปิดบทแล้วอ่านให้เขาฟัง ใบหน้าของเกนซุคเริ่มแข็งกระด้างขึ้นมา ทําให้เขาดูน่ากลัวกว่าปกติหลายเท่า
“อะไร โกรธเหรอ?” มิโซถาม
“ครับ”
“เพราะฉันตะคอกใส่เหรอ?”
“เปล่าครับ เพราะว่าผมคิดว่ามันจะเป็นอะไรง่าย ๆ ผมน่าจะรู้ดีว่าครูต้องการอะไรที่มากกว่านั้นอยู่แล้ว”
ดี เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ดีมาก มิโซยื่นบทกลับไปให้
“อยากให้ฉันต้องสอนทุกอย่างตั้งแต่หนึ่งถึงสิบเลยไหม? เหมือนที่สอนเด็กตัวน้อย ๆ น่ะ?”
“ไม่ครับ ผมไม่อยาก ผมอยากเป็นนักแสดงที่คิดเองเป็น
“พยายามเข้าล่ะ เข้าใจไหม? เธอดูจะ รู้ดีว่าตัวเองขาดอะไรไป ฉันจะไม่พูดต่อ แล้วกัน แต่ขอแนะนําไว้หน่อย ถ้าเธอคิดว่าตัวเองทําอะไรสําเร็จแล้ว ลองคิดอีกรอบ คิดดูดี ๆ ว่ามีอะไรให้ทําเพิ่มไหม ยิ่งคิดมาก ๆ เข้าสุดท้ายก็จะนึกออกเอง สุดท้ายเธอจะรู้ตัวว่าตัวเองยังไม่ได้เริ่มก้าวออกไปไหนเลย คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละ ที่จะรู้ว่าก้าวที่เราต้องก้าวมันมีทั้งหมดกี่ก้าว แต่นั่นแหละคือการเติบโต การรู้สึกหมดหวังนั่นเองก็ช่วยให้เราเติบโตได้
“ครับครู”
“ที่ฉันหนักมือกับเธอ เพราะฉันเห็น ความสามารถในตัวเธอหรอกนะ ถ้าเธออยากเก่งต้องอย่าทําอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ และทําทุกอย่างให้เต็มที่เข้าไว้
“ครับ”
มิโซไล่เด็กหนุ่มกลับที่ เขาเป็นเด็กดี เธอชอบเด็กที่ไฟแรงไม่มีตกแบบนี้
ดูแล้วก็นึกถึงเจ้าบ้านั่นจริง ๆ นามสกุลก็นามสกุลเดียวกันอีก