ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 36 ตอนที่ 2
“ใช่ แกวางแผนอนาคตไกลเกินไปแบบว่าเด็กรุ่นนี้จะมองเรื่องอนาคตมันก็ไม่แปลกหรอกเรื่องสอบเข้าเอยชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเอยเกณฑ์ทหารเอย”
มิโซพยักหน้าแสดงความเข้าใจแต่ก็ทําหน้ามุ่ยขึ้นมาอีกครา
“แต่เรื่องพวกนั้นมันก็เป็นได้แค่ฝันแหละ มันเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นเด็กพวกนั้นพอโดนฉันเขย่าเข้าหน่อยก็จะหันกลับมามองตัวเองในที่สุดแต่เธอน่ะไม่ใช่”
น้ําเสียงเธอฟังดูมั่นใจมาก
“ไม่รู้หรอกนะว่าทําไม แต่เธอน่ะมองไปยังอนาคตในเวลาช่วงขณะหนึ่งราวกับว่าตัวเองได้อยู่ตรงนั้นมาเพราะมันช่างสมจริงสําหรับตัวเธอ เธอเลยไม่สามารถจะละทิ้งไม่สามารถเลิกกังวลเกี่ยวกับมันได้ ฉันพูดถูกไหม?”
เป็นคนที่สุดยอดจริง ๆ มารุพยักหน้า รับ เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธความจริง
“ว่าแล้วเชียว ฉันว่าแล้ว จะช่างจินตนา การเกินไปแล้ว เพราะแบบนั้นถึงได้คิดแต่เรื่องอนาคตถ้าฉันรู้อนาคตฉันก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละฉันคงไม่กล้าจะลงมือทําอะไรในชีวิตคงกลัวจนขี้หดตดหายหมด”
ปั๊ด ปี้ด
มิโซต่อยที่หน้าพวงมาลัยรถ ส่งผลให้ เกิดเสียงแตรดัง จนรถคันหน้าเธอแหวกทางให้เป็นแถบ
“แต่รู้ไหม มันเป็นเรื่องที่โง่มากเลยนะที่เอาแต่นึกถึงอะไรไม่รู้ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นด้วยซ้ําเนี่ยแน่นอนว่าเธออาจจะคิดไม่เหมือนฉัน มันแน่อยู่แล้ว”
มิโซหายใจเข้าลึกก่อนจะหันกลับมาพูด
“วอลเตอร์ เบนจามิน เคยกล่าวเอาไว้”
วอลเตอร์ เบนจามิน มารุเคยได้ยินชื่อ นี้มาหลายต่อหลายครั้งชื่อนี้มักถูกกล่าวถึงในหนังสือปรัญญาต่าง ๆ ที่มารหยิบขึ้นมาอ่านเพื่อพัฒนาความคิดตัวเองเพราะแบบนั้นมารุถึงรู้ได้เลยว่ามิโซกําลังจะพูดถึงอะไร
“ความก้าวหน้า…”
“เป็นแค่ชั่วขณะของก้าวแรกไม่เคยเป็นของก้าวที่สองหรือสาม หรือมากกว่านั้น”
มิโซหันมามองด้วยตาที่เบิกกว้างมารุคิดทบทวนถึงคําพูดประโยคนี้ซ้ําๆไปพร้อมกับคําแนะนําของมิโซเอามองอนาคตไกลเกินไปเหรอ? เขากังวลเรื่องราวบางอย่างจนเกินพอดีเหรอ?ความก้าวหน้า
เขาต้องก้าวต่อไปถ้าเขาอยากพัฒนาเพราะถ้าขาดก้าวแรกนั่นไป เขาก็จะไม่มีวันพัฒนาได้ที่ละก้าวๆ เมื่อจํานวนก้าวเดินมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็จะสามารถหันกลับมาดูชีวิตของตัวเองได้บางทีเขาอาจจะกลัวสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นมากจนเกินไป
ก้าวแรก ก้าวที่น่ากลัวที่สุด
“แล้วก็นะ” มิโซพูดต่อ “ถ้าก้าวแรกติดพลาดก็แค่แก้ไขมันด้วยก้าวที่สองแล้วถ้าก้าวที่สองยังพลาดอีกล่ะ? เราก็แค่เปลี่ยนทิศทางในก้าวที่สามก็พออย่ากลัวอย่าลังเลจากที่ฉันสังเกตมาเธอน่ะคิดมามากพอแล้วควรเริ่มออกก้าวเดินได้แล้วล่ะมั้ง?”
มิโซหันกลับไปตั้งใจขับรถต่อดูเหมือนเธอจะหมดเรื่องพูดแล้ว มารุหันมามอง ที่เท้าของตัวเองเขา… เริ่มเดินก้าวแรกออกไปรึยัง?
พอทั้งสองกลับมาถึงโรงเรียนเวลาก็ล่วงเลยไปจน 5 โมงเย็นแล้ว มิโซไม่ได้มุ่งหน้าตรงกลับไปที่โรงเรียน แต่แวะจอดที่ร้านทงคัตสึใกล้ ๆ แทน
“เฮีย เอาทงกัตสึ 13 ที่ ขออร่อยๆเลยนะ”
“ได้เลย”
เธอนั่งลงรอที่โต๊ะ 13 ที่… มารุได้แต่มองมิโซด้วยความสงสัย
“กินสิ ฉันรู้นะว่าเธอหิวแล้ว”
“ไม่เป็น…”
“ไม่เป็นไรอะไรอีกล่ะ กินไป หรือต้องให้ป้อน?”
มิโซดูท่าจะไม่ยอมง่าย ๆ มารุจึงตัดสินใจนั่งลงเพราะไม่อยากให้เธอต้องเดือดดาลขึ้นไปมากกว่านี้เขาได้ยินเสียงหมูกําลังถูกทอดอยู่ในครัวในหัวของมารุเต็มไปด้วยคําสนทนาที่ผ่านไปเมื่อครู่
“จะว่าไป ยังไม่ได้ตอบผมเลยนะ”
“อ่า เรื่องนั้นน่ะนะ”
เธอทําท่าทางเหนื่อย ๆ เหมือนจะหมดแรงต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว
“นี่” เธอเรียก
“ครับ?”
“ถ้าเห็นก้อนถ่านอยู่บนถนนเป็นก้อนถ่านที่เยี่ยมเลย แต่ดันไปเห็นว่าข้างในมีอะไรสักอย่างที่สะท้อนแสงอยู่เธอจะทํายังไง?”
“คงลองหยิบมาขัดดูว่าข้างในมีอะไร”
“ใช่ไหม? คิดจะทําแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหม?”
“งั้น… ผมเป็นถ่านก้อนนั้นเหรอ?”
“ไม่”
“งั้น?”
“ขี้ แกน่ะเป็นขี้”
“หะ?”
“ไม่รู้ด้วยแล้ว อยากทําอะไรก็ทําเถอะไม่สนใจด้วยแล้ว”
“อะไร? สายตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”
“แค่สงสัยว่าครูฝึกกําลังโกรธอยู่รึเปล่านะ”
“ห-หะ?”
“แค่สงสัย”
“ลองพูดมาใหม่สิ”
“เอาเป็นว่าผมไม่เคยพูดอะไรแล้วกันได้ไหม?”
“ไหนขอเลาะฟันออกมาดูหน่อยสิ”
มิโซทําท่าเหมือนแมวที่โดนเหยียบหางเข้าทําให้มารุอมยิ้มออกมาหน่อยๆไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาราวกับว่าปัญหาชีวิตหนึ่งของเขาได้ผ่านพ้นไปแล้วการเข้ากับคนได้แบบนี้มันอาจ จะเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งก็ได้ตอนนั้นเองที่มิโซเหลือบมามองทางเขาอีกทีหนึ่ง
“แล้ว… อยากลองดูรียัง?”
เฮ้อ เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ แต่มารุส่ายหัว
“ไม่ล่ะ”
“อ่าว ทําไมอะ”
“แต่ว่า…”
“หืม?”
“ผมก็อยากลองทําอะไรสักอย่างนะ”
ทีละก้าว มารุตัดสินใจที่จะค่อย ๆ ก้าวเดินไปที่ละก้าว
นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 36 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 36 ตอนที่ 1
เพื่อไล่ตามความฝันเหรอประโยคนี้มันกระทบกระเทือนจิตใจมารุอย่างรุนแรงยิ่งพอเขาได้รู้ว่าสุดท้ายมิโซก็สา มารถตามหาความฝันของตัวเองได้คนที่จะตามหาความฝันได้มีแต่คนที่กล้าจะท้าทายตัวเองเท่านั้นมารุรู้สึกได้ว่าต่อให้มิโซไม่ประสบความสําเร็จเธอก็คงจะพูดประโยคเดียวกันนี้ออกมา
รอก่อนเถอะ คราวหน้าฉันจะดีขึ้นแน่
เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากและเพราะความเข้มแข็งนั้นเธอถึงสามารถมีชีวิตได้อย่างอิสระเธอไม่ได้ทําตัวน่ารําคาญหรือพูดอะไรที่ดูน่ารําคาญเลยเธอมั่นใจตลอดว่าสิ่งที่เธอพูดและทํานั้น ถูกต้อง ถึงจะอย่างนั้น…
“เท่ดีนะครับ”
“เท่ใช่ไหมล่ะ? ฉันก็คิดว่าตัวเองเท่ไม่หยอกหรอกเพราะแบบนั้นเธอเอง…”
“เรื่องนั้นไม่รู้สิละครน่ะสนุกนะ น่าสนใจถึงผมจะซ่อนไว้แต่ตอนที่ได้ไป อ่านบทบนเวทีมันก็สนุกดีการได้เป็นเป้าสายตามันก็ไม่ได้แย่อะไร”
“งั้นจะรออะไร? ก็ลงมือทําเลยสิ”
“ทําเลยเหรอ นั่นสินะ ผมน่าจะลองทํามันดูเลยแต่ผมไม่กล้าพอ ผมไม่ได้รักการแสดงแม้แต่ตอนนี้การเก็บมันเป็นงานอดิเรกต่อไป ก็ฟังดูไม่แย่อะไร”
“นี่ เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ํา ยังไม่ได้ลองแสดงเลยไม่ใช่เหรอเธอยังเด็กอยู่เธออาจจะไม่รู้… ไม่สิเธอทําตัวเป็นเด็กไปไกลแล้วแต่ยังไงเธอก็ยังมีเรื่องที่เข้าใจผิดอยู่นะไม่กล้า?จะบอกว่าตัวเองกลัว มากกว่าไหม?”
“คงงั้น”
มิโซพยักหน้ารับ
“ใช่ เธออาจจะไม่มีความกล้านั้นแต่ที่เธอรู้สึกแบบนั้นเป็นเพราะเธอยังไม่เคยได้ลองทํามันความกลัวน่ะมันมักจะเกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เราไม่รู้เสมอแหละเพราะแบบนั้นการจะกลัวสิ่งที่ไม่เคยรู้จักไม่ เคยได้ลองทํามันก็ไม่แปลกหรอกแต่เธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าได้ลองลงมือทําจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอกใช่ไหม?”
ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ เธอพูดถูกเขากลัวเพราะไม่รู้ไม่เคยลองแสดงจริง ๆจัง ๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ําว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน เขาลังเลที่จะต้องเข้าไปรับรู้และความลังเลนั้นก็กลายเป็นความกลัว ที่กัดกินจิตใจเขาในที่สุด
แต่ถ้าเขาได้เข้าไปทําสิ่ง ๆ นั้นก็จะไม่น่ากลัวสําหรับเขาอีกต่อไป มันจะกลายเป็นความสุขหรือความเบื่อหน่ายแทน
มิโซพูดถูก แต่… เธอใช้คําพูดผิดไปหน่อย
“คนมักจะกลัวสิ่งที่ไม่รู้แต่ว่าบางที… เพราะว่ารู้นั่นแหละถึงกลัว”
“เพราะรู้ถึงได้กลัว?”
“ใช่”
“วันนี้ผมได้หลายอย่างเลย แต่ยังไงก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอยากแสดงอยู่ดีผมจะยังอยู่ในชมรมแหละแน่นอนไม่ไปไหนหรอกจะคอยช่วยงานบ้างแต่ผมไม่อยากจะต้องเสียเวลาไปกับมันให้มากนัก ตราบใดที่ผมยังมีแนวคิดแบบนี้ของผมอยู่”
กลัวเพราะรู้
การให้เวลาชมรมมากกว่านี้ มันจะส่งผลดีอะไรกับชีวิตของเขาในอนาคตไหม? ถ้าเขาใช้เวลาที่เสียไปกับชมรมไปตั้งใจอ่านหนังสือแทนล่ะ?ถ้าเขาเอาเวลาไปทําอย่างอื่นล่ะ? ถ้าเขาใช้เวลาออกไปตามหาความฝันจริงๆ ของตัวเองล่ะ?
เขาคงได้ใช้เวลาในอนาคตมานั่งเสียใจที่ไม่ได้ใช้เวลาช่วงวัยรุ่นให้คุ้มค่าอีกแน่ ๆ
“ทําไมไม่ให้ความสามารถที่ดีกว่านี้มาหน่อยนะ?”
เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าท้อแท้แต่ก็ต้องส่ายหัวสะบัดความคิดนั้นทิ้งไปเขาเกิดโลภมากขึ้นมาอีกแล้วเขาได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตอีกครั้งแค่นี้ก็เป็นโชคดีอย่างที่ไม่มีอะไรมาเทียบเคียง ได้แล้ว
– เวลาที่เราเสียไปวันนี้เป็นเวลาที่คนที่ตายไปเมื่อวานเฝ้าฝันหา
มารุได้แต่คิดถึงประโยคนี้ทุกครั้งเมื่อเขาตื่นนอนขึ้นมาเขาพยายามใช้ชีวิตตอนนี้ให้ละเอียดรอบคอบเสมอมารุในอนาคตมักจะเสียใจไปกับการตัดสินใจของตัวเองในอดีตเขาฝันถึงโอกาสที่จะได้แก้ไขมันเสมอมาและตอนนี้เขาได้โอกาสนั้นมาในมือแล้วแต่แทนที่เขาจะ สามารถทําอะไรได้ตามที่คิดอย่างทันท่วงทีเขากลับมานั่งถามตัวเองว่าตัวเองอยากจะทําอะไรกันแน่ความฝันของตัวเองคืออะไรเรียนจบแล้วจะไปทําอะไรต่อที่ไหนดี
การเรียนคือสิ่งที่เขาทําเพื่อรอ รอระหว่างที่ตัวเองคิดถึงปัญหาพวกนี้แต่สุดท้ายเขาก็ยังหาทางไปต่อเบื้องหน้าตัวเองไม่พบแม้เขาจะเคยเดินมาก่อนแล้วแต่พอลองมองดูทางที่ตัวเองเคยไปมัน กลับดูยากลําบากกว่าเดิมนักตลอดเวล
มานี้เขาคิดเสมอว่าถ้าได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งทุกอย่างจะต้องออกมาดีแต่มันกลับไม่ใช่เลย
มารุในวัย 45 เคยทําอะไรมาบ้าง? ถ้าตอนนั้นเขามีเป้าหมายชีวิตที่แน่ชัดเขาจะหลงทางเหมือนตอนนี้ไหม?บางทีถ้ามีเป้าหมายชีวิต เขาอาจจะวางเส้นทางชีวิตได้ง่ายกว่านี้ก็ได้และนั่นก็พาเขากลับมาที่จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดเขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องทําอะไรสักอย่างแต่อะไรสักอย่างนั้นมันคืออะไรเขาไม่รู้
เลย
สุดท้ายชีวิตของมารุก็เป็นเหมือนกับใบไม้ที่ร่างปลิวไปตามลม สุดแล้วแต่ว่าสายลมจะพาเขาไปจบลงที่ไหน
“แกนี่มันยุ่งยากจริงๆฉันไม่เคยเห็นเด็กมัธยมที่ไหนจะลังเลได้เท่านี้มาก่อน เลย” มิโซได้แต่ครางเบาๆในลําคอ
“ใช่ ถ้าไม่รู้อะไรเลยมันคงจะดีกว่าเพราะแค่ได้รู้มันนิดหน่อยก็พอจะทําให้ผมหมดแรงทําแล้ว”
“…พูดเรื่องอะไรน่ะ?”
“เปล่าหรอกแค่พูดกับตัวเองน่ะอ่าๆแล้วนี่ไม่ใช่ความผิดอะไรของคุณหรอกนะครูฝึกน่ะเป็นคนดีเร่าร้อนผมเองก็อยากจะเร่าร้อนไปกับคุณหรอกนะแต่… ผมว่าผมเย็นจนเกินไปแล้วล่ะผมมันไม่ กล้าพอ”
มารยิ้มออกมาการรับมือกับสถานการณ์น่าอึดอัดน่ะวิธีรับมือที่ถูกต้องคือการยิ้มให้มันผ่านไปไม่ใช่แสดงความโกรธ
“หน้าแบบนั้น” มิโซชี้มาที่มารพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเอง “หน้าตาเหมือนคนที่ตรัสรู้ทุกเรื่องในโลกไปแล้วนั่น”
มันเป็นคําด่าที่ค่อนข้างเจ็บปวดเลยหญิงสาวคนนี้มีสายตาที่เฉียบคมไม่เบาจริง ๆ มารุได้แต่ยิ้มตอบไป
“อ่า…”
มิโซได้แต่กุมขมับทําไมเธอถึงได้เอาใจใส่เขาขนาดนี้นะ?เขามีอะไรให้ เธอสนใจขนาดนั้นกัน?
“ครูฝึก” เขาถามขึ้น
“ว่า?”
จากน้ําเสียงนั้น มารุรับรู้ได้ทันทีว่าเธอกําลังหงุดหงิดเธอเป็นคนที่แสดงอารมณ์ออกมาตรง ๆ ซึ่งสําหรับผู้ใหญ่ในยุคนี้มันค่อนข้างหายากเลย
“ทําไมถึงใช้เวลากับผมขนาดนี้กัน?”
“ไม่รู้จริง ๆ เหรอ?”
“ไม่รู้ เอาเวลานี้ไปใช้สอนเด็กคนอื่น ๆ จะไม่ดีกว่าเหรอ?ครูไม่รู้ด้วยซ้ําว่าผมจะยอมเป็นนักแสดงรึเปล่าทําไมถึงต้องมาเสียเวลา…”
“เสียเวลา?”
คิ้วของมิโซกระตุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเขาคงพูดอะไรจี้ใจดําเธอเข้าสักอย่างผิวขาวนวลของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมเลือดตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ฉันว่าฉันรู้แล้วว่าแกเป็นคนยังไง”
“รู้แล้ว?”
“ใช่ แกมันน่ารําคาญ”
มิโซติดเครื่องรถยนต์และเริ่มขับออกไปอีกครั้ง
“ฉันเข้าใจแล้วว่าแกมีปัญหาอะไรนักหนา
“ปัญหา?”
“ใช่”
มิโซเปิดหน้าต่างเล็กน้อย ทําให้ลมตีเข้ามาในรถส่งผลให้ผมสีทองของเธอปลิวสยายไปทั่ว
“แกน่ะมองอนาคตไกลเกินไป”
“ไกลเกินไป?”