นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 35 ตอนที่ 2
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 35 ตอนที่ 2
“ไม่เอาน่า แค่ล้อเล่นเอง”
เหล่ารุ่นน้องต่างพากันหัวเราะ มิโซถอนคําพูด เจ้าพวกนี้มันยังไม่มีค่าพอจะก้าวข้ามเธอไป ตอนนั้นเองที่มารอ่านบทของตัวเองจนจบลง เขาอ่านได้อย่างไม่มีพัก ไม่มีสะดุด ลมหายใจต่อเนื่อง จากต้นจนจบ เขาอ่านบททั้งหมดได้อย่างไม่ตื่นเต้นเลย
มิโซได้แต่สงสัย
ถ้าเด็กหนุ่มได้แสดงจริง ๆ มันจะออกมาเป็นแบบไหนกันนะ?
มิโซเดินมาที่รถของตัวเองหลังการฝึกอ่านจบลง มารุเองก็ตามมาติด ๆ โล่งใจที่จะได้กลับโรงเรียนสักที
“พยายามเข้าล่ะ”
เหล่านักแสดงต่างพากันให้กําลังใจ เขาขณะที่เขาเดินออกมา การได้ขึ้นไปอ่านบทบนเวทีมันไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร ความรู้สึกที่ได้เป็นจุดศูนย์กลางความสนใจนั้น… มันค่อนข้างจะตื่นเต้นเลย แต่เขาก็ไม่ยอมแสดงมันออกมาหรอก เพราะเขาไม่อยากให้มิโซรู้ถึงความสนุกที่เขามี
“หวังว่าจะขึ้นแสดงนะ” มิโซพูดออกมาขณะกําลังจับพวกมาลัยรถ
เธอพูดมันออกมาตรง ๆ มารุไม่ค่อย ชินกับคนที่เถรตรงแบบนี้สักเท่าไหร่
“จู่ ๆ ก็…”
“จู่ ๆ บ้าอะไรล่ะ ฉันบอกเป็นนัย ๆ มา ตั้งแต่ที่คุยกับบนดาดฟ้าแล้ว เธอน่ะมาชมรมตลอด ดูมีความสุขกับกิจกรรมชมรม ชอบที่จะดูสมาชิกคนอื่นเล่นด้วย”
“ก็จริง”
“แล้วทําไมไม่เข้าร่วมล่ะ? แค่เดินออกมาอีกก้าวเดียวเอง”
“ปัญหาคือความยาวของก้าวนั้นน่ะสิ”
“หมายความว่ายังไง?”
“เวลาและแรงที่ต้องลงไปกับมัน”
มารุหยุดคิดไปพักหนึ่ง ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา ได้กระโดดเข้าสู่วงการอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ และประสบความสําเร็จได้ แค่เห็นรถของเธอก็พอจะยืนยันเรื่องรายได้ได้แล้ว บางทีเธออาจจะมีชีวิตแบบที่มารุใฝ่ฝันก็ได้
มีชีวิตวิ่งตามความฝันโดยไม่มีข้อผูกมัด การได้ฟังเรื่องราวของเธอไว้มันอาจจะส่งผลดีต่อเขาก็ได้ ถึงเธอจะอายุน้อยกว่าเขา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีประสบการณ์ชีวิตที่ด้อยไปกว่าเขา
“ครู”
“อะไร?”
“เคยคิดเสียใจที่ตัวเองตัดสินใจเข้าวงการแสดงมาบ้างไหม?”
“เสียใจ?”
“ใช่”
มิโซหยุดรถลง เธอหันไปมองที่นอกหน้าต่างขณะเอามือจับที่ด้ามบิด เธออาจจะกําลังนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองก็ได้
“แน่นอนสิ หลายครั้งเลยด้วย ฉันอยากจะเข้าโรงเรียนการแสดงน่ะนะ แต่ที่บ้านก็มีเงินไม่พอส่ง ไม่มีเงินไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วย ฉันเลยมาที่นี่ ที่สถานีฮเยวานี้ ที่ ๆ ฉันคิดว่าตัวเองจะได้ดิบได้ดี เพราะฉันชนะการประกวดระดับชาติมาเลยนะ ฉันเลยคิดว่าการศึกษา หรือใบปริญญามันคงไม่มีผลอะไรมาก”
มารุยืดผมสวยๆ สีทองของตัวเองออก
“ฉันเลยเข้าไปหาโรงละครแรกที่เห็นเลย และถูกปฏิเสธทันที เขาไม่คิดแม้แต่จะคุยกับฉันด้วยซ้ํา ฉันเลยพยายามเข้าไปหาคณะที่ดูเล็กที่สุด นึกว่าเขาน่าจะพอรับฉันเป็นนักแสดงบ้าง แต่เขากลับบอกมาว่าจะรับไว้ถ้ายอมเข้ามาเป็นแม่บ้านก่อน ฉันเลยขอไปว่าอย่างน้อย ๆ ให้ฉันได้ขึ้นเวทีก็ยังดี แล้วรู้ไหมว่า เขาบอกมาว่ายังไง?”
“ว่ายังไงเหรอ?”
“พวกเขาบอกฉันว่า ให้ฉันบอกเหตุผลที่เขาควรจะจ้างฉันไว้ ยิ่งมีคนที่มีความ สามารถมากกว่าฉันอยู่เต็มสถานีไปหมด สุดท้ายพวกเขาก็ไล่ฉันออกมา”
มิโซได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ
“เคยได้ยินใช่ไหม? พวกผีแห่งสถานีฮเยวาน่ะ?”
มารุพยักหน้ารับ เขารู้จักคํา ๆ นี้ดี พวกนี้คือเหล่านักแสดงที่ไม่ยอมแพ้ในอาชีพ และคอยเกาะติดสถานีเพื่อแสวงหาความสําเร็จ พวกเขาไปไหนไม่ได้เพราะความรักในอาชีพ คล้ายเป็นผีติดที่ เลยถูกเรียกว่าผี
“มันฟังดูโง่มากเลยนะที่เรียกนักแสดงว่าผีน่ะ ปัญหาคือพวก “ผี” พวกนี้น่ะ เป็นคนที่มีความสามารถกันทั้งนั้น ที่นี่นะ มีโรงละครหลายต่อหลายคณะ แต่เหล่านักแสดงน่ะมีเยอะกว่ามาก การแข่งขันสูงลิบ แต่ละวันมีการคัดตัวกันเป็นร้อย ๆ ครั้งจากพวกโรงละครใหญ่ ๆ เพราะแบบนั้นแหละ แม้แต่โรงละครเล็ก ๆ เขาก็ไม่มีทางรับเด็กเพิ่งจบมัธยมมาเข้าคณะแสดงอยู่แล้วปรากฏว่าชีวิตของหญิงสาวไม่ได้สดใสเหมือนที่มารุนึกไว้ การ แสดงระดับมัธยม สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่ของเล่นฆ่าเวลา ไม่มีทางเทียบกับโลกของมืออาชีพได้เลย
“แล้ว? พอไม่ได้เข้าโรงเรียนการแสดงหรือมหาวิทยาลัย แล้วคุณทําอะไร?”
เขาสงสัยมาก คนเราเจอแบบนี้เข้าไปจะทําตัวยังไงกันนะ?
“ฉัน? “ใช่” “ถึงตอนนั้นน่ะ ฝันของฉันก็คือการเป็นนักแสดงไปแล้ว ชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน แต่ความจริงมันโหดร้าย พ่อฉันทิ้งไป ส่วนแม่ก็ป่วยแล้วก็โดนแพ้” “ยอมแพ้?”
หา? หมายความว่ายังไง? ดูยังไงเธอก็ประสบความสําเร็จชัด ๆ แล้วมาบอกว่ายอมแพ้นี่มันคืออะไร?
“ใช่สิ ฉันยอมแพ้ และเข้าเผชิญกับโลกความเป็นจริง ฉันอาจจะยอมแพ้ใน ความฝันไป แต่ไม่เคยหยุดคิดถึงมันเลย ฉันเริ่มทํางานในโรงงานอยู่ปีหนึ่ง มันไปได้สวย จนฉันใช้เงินที่เก็บมาจากการทํางานก้อนนั้นลงทุนกับการแสดงเดี่ยว
มิโซหันมาหามารุ
“เพื่อที่ฉัน จะได้วิ่งไล่ตามความฝันต่อไปได้”
และ.. เธอก็ยิ้มออกมา
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 35
มารุมองดูบทผ่านไปเรื่อย ๆ หลังจากเขาเริ่มอ่านมัน สายตาของเขาก็จดจ่ออยู่กับกระดาษที่เบื้องหน้า เขาค่อย ๆ พูดออกมาอย่างหนักแน่น ราวกับว่ากําลังเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง การออกเสียงของเขาก็ชัดเจนดี ถึงจะเบาไปหน่อย แต่เรื่องนั้นก็ฝึกกันได้ไม่ยาก
“ว่าไง?” มิโซหันไปหานักแสดงคนอื่น
“หือ?” นักแสดงคนหนึ่งถามมาด้วยความแปลกใจ
“คิดว่าเด็กคนนี้เป็นไงบ้าง?”
“ก็ ดีนะ พูดชัดถ้อยชัดคําดี”
“เธอล่ะ?”
“ก็ดีนะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเด่น”
คนอื่น ๆ เองก็มีความคิดคล้าย ๆ กัน มันไม่มีอะไรพิเศษในตัวเด็กหนุ่มเลย
“มารุ”
“ครับ?” มารุตอบกลับมาด้วยเสียงที่แสดงถึงความรําคาญอย่างชัดเจน
“หยุดมองที่กระดาษได้ไหม? หันมามองเราตอนพูดแทน”
“จริงดิ จะทําเพื่ออะไรเนี่ย?”
“ทําทีเถอะนะ ถือว่าขอล่ะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว”
“ถ้าผมไม่อยากกินล่ะ?”
“แกจะเอาใช่ไหม?”
“ก็ได้”
มารุเงยหน้าขึ้นมองไปทางผู้ชม มิโซมองดูมารุ ความแตกต่างระหว่างการมองบทกับมองหน้าคนดูนั้นมันต่างกันราวฟ้ากับเหว การสบตาคนดูนั้นมักจะสร้างความกดดันมหาศาลให้นักแสดง ยิ่งเมื่อพวกเขาเริ่มมองดูผู้ชมอย่างจริงจัง ข้อมูลต่าง ๆ มากมายจะหลั่งไหลเข้ามาในหัว นั่นเป็นเหตุผลใหญ่ ๆ ที่จะทําให้นักแสดงแสดงผิดพลาด
แล้วมารุล่ะ? พอเขาต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้บ้างเขาจะยังสามารถอ่านบทพูดได้อย่างใจเย็นอีกไหม? มารุเริ่มอ้าปากหลังจากผ่านไปได้หลายวินาที เขาลดมือที่ถือบทลง สายตาจ้องมองมาที่มิโซ
มิโซได้แต่ขํา พอเด็กหนุ่มเห็นผู้ชม เขากลับมีท่าที่สบายขึ้น แถมยังสอดส่ายสายตาไปหาทุกคน แม้เธอจะไม่ได้ ขอให้ทําเพราะแบบนั้นแหละการแสดงของเขาถึงได้น่าสนใจนัก
เด็กหนุ่มเริ่มอ่าน พร้อมกับมองหน้าคน ดูไปทีละคน ราวกับว่าเขากําลังเล่าเรื่อง ราวให้พวกนั้นฟังอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด เด็กหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์จริง ๆ
“คิดว่าเด็กที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลยจะพูดได้ขนาดนั้นไหม?” เธอหันไปกระซิบ ถามรุ่นน้องข้าง ๆ
“เดี๋ยวนะ นี่เขาไม่เคยฝึกมาเลยเหรอ?”
“ใช่”
“อ้าว งั้นก็คนละเรื่องละ ทีแรกนึกว่าเป็นเด็กที่พี่ฝึกมาอย่างดีแล้ว เพราะ แบบนั้นถึงได้บอกว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ.
“ฉันด้วย”
“เหมือนกัน”
นักแสดงเหล่านี้ก็เป็นระดับมืออาชีพในงานของตัวเอง ไม่แปลกหรอกที่มารุจะไม่ได้ดูพิเศษอะไรในสายตาของพวกเขา แต่พอได้รู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้มาทําอะไรแบบนี้? การแสดงของมารุมันก็สมควรได้รับคําชมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
“หมายความว่าหมอนี่จะเป็นดาวของงานประกวดปีนี้เหรอ?”
“เปล่า”
“งั้นจะเป็นอะไร?”
“เขาเป็นแค่ผู้กํากับเวที”
“แค่ผู้กํากับเวที?”
“ใช่”
“แล้วพาเขามาทําอะไรแบบนี้ทําไม? ดูท่าเขาเองก็ไม่ได้อยากด้วย”
“นั่นแหละปัญหา เพราะเขาดูท่าอยากจะทําไง ฉันอยู่ด้วยกันมา ฉันพอดูออก”
มิโซหันไปดูมารุอีกครั้งขณะพูด เด็กหนุ่มนั้นเข้าใจยาก แต่เธอก็ยังเข้าใจ อย่างหนึ่ง นั่นคือถ้าใครทําเส้นทางให้เขาเดิน เขาก็พร้อมจะลุยไปจนสุดทาง
“รู้สึกโลภขึ้นมาน่ะ พวกเธอก็รู้ว่าฉันอยากให้คนแบบเขาได้แสดง”
“อ่า งานอดิเรกแปลก ๆ นั่นสินะ สุดท้ายก็ทําให้เด็กหลายคนเป็นผีแห่งสถานีฮเยวาด้วย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“แล้ว? แกเสียใจที่มาเป็นเหรอ?”
นักแสดงหนุ่มส่ายหัวเบา ๆ
“ขออยู่ที่นี่ในฐานะผี ดีกว่าไปอยู่ข้างนอกในฐานะคนตาย”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงได้พาพวกเธอมา คนแบบนี้น่ะ มันต้องให้แสดง ไม่งั้นพวกเขาจะได้มีชีวิตที่ไร้จุดหมายแน่ ๆ”
“วิธีพูดแบบนี้…”
“อะไร? ถ้าไม่ชอบฉันพูดแบบนี้ก็มาเป็นรุ่นพี่ฉันไหมล่ะ?”
“ไม่เอาล่ะ แบบนั้นยิ่งฟังดูน่าปวดหัวกว่า ฟังดูเป็นชีวิตที่น่าหดหูเนอะว่าไหม ทุกคน?”
คนอื่น ๆ ต่างพากันพยักหน้ารับจนทํา ให้มิโซต้องมองพวกเขาด้วยตาขวางอีกครั้ง
“ให้ตายสิ ดูทําหน้าเข้า เหมือนจะไม่รู้จุดยืนตัวเองกันสินะ?”
“มันแค่หมายความว่าเราโตขึ้นแล้ว เท่านั้นแหละ”
มิโซไม่ได้เกลียดคําตอบแบบนี้เลย จริง ๆ แล้วออกจะชอบเสียด้วยซ้ําไป มันไม่มีเหตุผลอะไรที่รุ่นน้องจะเป็นรุ่นน้องไปตลอด พวกเขาต่างมีสิทธิที่จะก้าวข้ามและบทขยี้รุ่นพี่ของตัวเองกันทั้งนั้น มิโซยังจําคําที่เธอบอกรุ่นน้องของเธอได้
[ถ้ามีความสามารถแล้วก็ต้องมีศักดิ์ศรีด้วย แบบนั้นแหละมันจะได้ทําให้รุ่นพี่กลัวว่าตัวเองจะโดยเขี่ยทิ้ง และจะได้มีแรงพัฒนาตัวเอง ฉะนั้น พวกแกควรจะพัฒนาตัวเองและเขียฉันออกไปจากโรงละครนี้เสีย นั่นคือของขวัญที่ดีที่สุด ที่รุ่นน้องจะมอบให้รุ่นพี่ได้]
ตอนนี้เธอไม่มีที่ยืนในโรงละครนี้แล้ว ผู้ชมของบลูสกายไม่มีใครมาเพื่อดูเธออีก แต่มาเพื่อดูรุ่นน้องของเธอ
“จะว่าไปพี่ ได้ยินว่าใกล้ขึ้นคานแล้วนี่?”
“อยากตายไหม?”