ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 33 2

บทที่ 33 ตอนที่ 2

ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 33 ตอนที่ 2 “ให้ตาย มันต้องมีไอ้สัตว์ที่ไหนมาขว้างให้ได้ล่ะ” ชายหนุ่มยืนตรงหน้ามารุ “มาขายตั๋วเหมือนกันเหรอ?” “เปล่า” “งั้นแกมายังทำไม? จะมาขวางฉันขายตั๋วเพื่อ? มาจากโรงละครอื่นเหรอ? ไม่ ไม่มีทาง ดูยังไงก็แค่เด็กมัธยมปลาย” “ระวังคำพูดด้วยครับ แล้วก็ การบังคับขายตั๋วน่ะไม่ใช่เรื่องดีเลย” “บังคับ? เฮอะ การเสนอขายแสนดีแบบนั้นเรียกบังคับ? หา? หา?” ชายหนุ่มผลักไหล่ของมารุหลายครั้งจนมีกล่องคำพูดลอยขึ้นมาเมื่อทั้งสองสบตากัน
[เด็กเวร] แต่จริง ๆ ไม่ต้องเห็นก็รู้ “ขอโทษทีแล้วกันที่เป็นเด็กเวร ยังไงก็ตาม ขอโทษนะที่ดันไปขัดขวางการทำงาน” มารุกัมหัวลงเล็กน้อย ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรถึงขั้นนี้หรอก เขาแค่คิดจะเดินหนีหลังจากช่วยเด็กสาวพวกนั้นไปได้แล้ว แต่ยิ่งเขาได้พูดกัน มารุก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ ทำไมเขาถึงได้หงุดหงิดกับอะไรแบบนี้นักนะ? เรื่องพรรค์นี้มันไม่ควรจะทำให้เขาหงุดหงิดได้มากขนาดนี้แท้ ๆ “เออ ไปไกล ๆ ไป รำคาญ” “ทีหลังก็อย่าบังคับขายอีกล่ะ ถ้าพวกนั้นเกิดเข็ดหลาบไม่อยากมาดูละครอีกแล้วจะทำยังไง?” “ไปได้แล้วไอ้สัตว์…” ชายหนุ่มง้างหมัดขึ้น มารุเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร สิ่งแรกที่มารุนึกได้คือ “ถ้าโดนต่อยก็แค่แจ้งความ วิธีป้องกันตัวง่ายๆ จากคนที่แก่กว่า มารุก้าวไปด้านหน้าทำท่าล่อให้ถูกต่อย เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มกลับทำตัวไม่ถูก จนต้องทำท่าหงุดหงิดและเดินหนีไป หาที่ขายตั๋วแหล่งใหม่ “กวนไม่เบาเลยนะเรา รู้ตัวไหม?” มิโซถาม มารุเห็นด้วยอย่างเต็มตัว เขาไม่นึกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนั้นลงไป ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาตอนแก่หรือตอนหนุ่มก็ไม่มีนิสัยแบบนั้น แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นมันคืออะไร? ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดกับเด็กทำงานพิเศษนัก? เขานึกเหตุผลนั้นไม่ออก และนั่นยิ่งทำให้เขาปวดหัวหนักกว่าเดิม “มันมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตเหรอ?” ความทรงจำของเขายิ่งเลือนรางลงทุกที่ การรู้ตัวว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ จมหายไปแบบนี้ บางครั้งก็ทำให้เขากลัวอยู่เหมือนกัน อย่างน้อย ๆ เวลาสำคัญขึ้นมาก็ยังจำได้ “ไปกันเถอะ” “..อ่า” ที่ ๆ มิโซพามารุมาคือโรงละครเล็กๆ ที่ชั้นสอง เป็นโรงละครชื่อว่าบลูสกาย “บลูสกาย?” “คุ้นใช่ไหมล่ะ?” มิโซยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอเดินเข้าไปด้านในก่อน ให้มารุเดินตาม เขาพบกับแถวของคนต่อกันยาวที่ทางเข้า และเสียงคนคุยกันจากด้านใน “เราขอรับคนที่จองที่ได้เข้าไปก่อนนะคะ ขอโทษด้วยถ้าทำให้ต้องรอ” หญิงสาวนำทางแถวคนที่มารอด้วยรอยยิ้ม เธอดูจะอายุราวยี่สิบกลาง ๆ “รอก่อนเถอะ ไม่อยากไปกวนคนดูเขา” “ได้” มิโซนั้นมีนิสัยที่ค่อนข้างหุนหัน แต่เมื่อถึงเวลางาน เธอก็จริงจังยิ่งกว่าใครๆ ไม่นานนักพวกเขาก็เดินเข้าไปต่อแถว “รุ่นพี่” “ว่าไง” “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” “นาน? สองอาทิตย์เองนะ” “แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้อยู่นี่นา แล้วมาหาใครรึเปล่าคะ?” “เปล่า แค่พาเจ้าเด็กนี่มาดูละครน่ะ” สายตาของหญิงสาวมอ ก้มหัวลงทักทายหญิงสาวเล็กน้อย “ดูดีนะ ใครเหรอ?” “ไม่รู้สิ” ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความ งุนงง “มีที่ว่างไหม? ถ้าไม่มีเราจะยืนดูจากด้านหลังเอา” มิโซพูดต่อ “น่าจะพอมีว่างอยู่นะคะ” “งั้นฉันจะรอ อยากเห็นเหมือนกันว่าจะมีคนมาดูเพิ่มอีกไหม” “ได้ค่ะ” มารุเดินเข้าไปในโรงละครพร้อมมิโซด้านในค่อนข้างจะมืด มีแสงสลัว ๆ บ้างที่นั่งอัดกันอยู่ทั้งหมด 70 ที่ มันไม่ใช่ที่นั่งที่กว้างขวางนั่งสบายอะไร แต่นั่นเองก็เป็นเสน่ห์ของละครเวที “ถ้าการแสดงเริ่มแล้วช่วยหยุดทานอาหารกันด้วยนะคะ แล้วเราจะมีเวลาถ่ายรูปให้ หลังการแสดงจบลง เพราะฉะนั้นขอห้ามถ่ายภาพระหว่างเล่นนะคะ นี่เป็นกฎที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ชมได้ชมการแสดงอย่างถึงอรรถรส โปรดเข้าใจเราด้วย” หญิงสาวที่ดูแลแถวตอนนี้ขึ้นไปพูดบนเวที ทำให้เหล่าผู้ชมต่างเก็บของกินลงทันที “เราไม่มีที่ว่างแล้ว” “ยืนดูก็ได้” “งั้นเอาตามนั้น แบบนั้นเองก็สนุกไม่เลว” มิโซดูจะตื่นเต้นแปลก ๆ ผิดจากเธอตอนปกติเวลามาที่สถานีฮเยวาเหมือนว่า… จะตื่นเต้นกว่าปกติ? เหมือนเวลาเด็ก ๆ ตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างแสงในโรงละครค่อย ๆ จางลง เป็นสัญญาณเริ่มการแสดง ตอนนั้นเองที่มีใครบางคนเดินขึ้นมาคุยกับทั้งสองคน “มาด้วยเหรอ” “อืม มารุหันไปมองชายหนุ่มที่เดินมาคุยกับมิโซ มารุไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้มากนัก เพราะความมืดของโรงละคร “งั้นไว้เจอกัน” “จะไปไหนเหรอ?” “ผู้กำกับเขาอยากเจอฉัน” “แหม ดังใหญ่แล้วนะเรา?” “เหอะ แค่นี้เอง แล้วเด็กนี่ใครน่ะ?” “ไม่รู้สิ อนาคตเพื่อนร่วมงานมั้ง?” “หึม เหรอ?” มารุเพิ่งสายตา ตาของเขาเริ่มชินกับความมืดแล้ว แต่ก่อนเขาจะมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มได้ ชายหนุ่มกลับเดินหนีออกไป “น่าสงสารจริง ๆ ต้องมาทำงานกับมิโซ ยัยนี่มันไม่ธรรมดา” เขากล่าวก่อนจะเดินจากไป มารุได้แต่หัวเราะ ทำให้มิโซอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องเงียบไป เพราะการแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว “เริ่มแล้ว” “ดูไปเงียบ ๆ” ดังแสงของไฟฉายสปอตไลต์สว่างขึ้นพร้อมเสียงกระดิ่ง

ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 33 ตอนที่ 2

“ให้ตาย มันต้องมีไอ้สัตว์ที่ไหนมาขว้างให้ได้ล่ะ”

ชายหนุ่มยืนตรงหน้ามารุ

“มาขายตั๋วเหมือนกันเหรอ?”

“เปล่า”

“งั้นแกมายังทำไม? จะมาขวางฉันขายตั๋วเพื่อ? มาจากโรงละครอื่นเหรอ? ไม่ ไม่มีทาง ดูยังไงก็แค่เด็กมัธยมปลาย”

“ระวังคำพูดด้วยครับ แล้วก็ การบังคับขายตั๋วน่ะไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“บังคับ? เฮอะ การเสนอขายแสนดีแบบนั้นเรียกบังคับ? หา? หา?”

ชายหนุ่มผลักไหล่ของมารุหลายครั้งจนมีกล่องคำพูดลอยขึ้นมาเมื่อทั้งสองสบตากัน
[เด็กเวร]

แต่จริง ๆ ไม่ต้องเห็นก็รู้

“ขอโทษทีแล้วกันที่เป็นเด็กเวร ยังไงก็ตาม ขอโทษนะที่ดันไปขัดขวางการทำงาน”

มารุกัมหัวลงเล็กน้อย ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรถึงขั้นนี้หรอก เขาแค่คิดจะเดินหนีหลังจากช่วยเด็กสาวพวกนั้นไปได้แล้ว แต่ยิ่งเขาได้พูดกัน มารุก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ ทำไมเขาถึงได้หงุดหงิดกับอะไรแบบนี้นักนะ? เรื่องพรรค์นี้มันไม่ควรจะทำให้เขาหงุดหงิดได้มากขนาดนี้แท้ ๆ

“เออ ไปไกล ๆ ไป รำคาญ”

“ทีหลังก็อย่าบังคับขายอีกล่ะ ถ้าพวกนั้นเกิดเข็ดหลาบไม่อยากมาดูละครอีกแล้วจะทำยังไง?”

“ไปได้แล้วไอ้สัตว์…”

ชายหนุ่มง้างหมัดขึ้น มารุเองก็ไม่ได้ตกใจอะไร สิ่งแรกที่มารุนึกได้คือ “ถ้าโดนต่อยก็แค่แจ้งความ วิธีป้องกันตัวง่ายๆ จากคนที่แก่กว่า มารุก้าวไปด้านหน้าทำท่าล่อให้ถูกต่อย เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มกลับทำตัวไม่ถูก จนต้องทำท่าหงุดหงิดและเดินหนีไป หาที่ขายตั๋วแหล่งใหม่

“กวนไม่เบาเลยนะเรา รู้ตัวไหม?” มิโซถาม

มารุเห็นด้วยอย่างเต็มตัว เขาไม่นึกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนั้นลงไป ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาตอนแก่หรือตอนหนุ่มก็ไม่มีนิสัยแบบนั้น แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นมันคืออะไร? ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหงุดหงิดกับเด็กทำงานพิเศษนัก? เขานึกเหตุผลนั้นไม่ออก และนั่นยิ่งทำให้เขาปวดหัวหนักกว่าเดิม

“มันมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตเหรอ?”

ความทรงจำของเขายิ่งเลือนรางลงทุกที่ การรู้ตัวว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ จมหายไปแบบนี้ บางครั้งก็ทำให้เขากลัวอยู่เหมือนกัน

อย่างน้อย ๆ เวลาสำคัญขึ้นมาก็ยังจำได้

“ไปกันเถอะ”

“..อ่า”

ที่ ๆ มิโซพามารุมาคือโรงละครเล็กๆ ที่ชั้นสอง เป็นโรงละครชื่อว่าบลูสกาย

“บลูสกาย?”

“คุ้นใช่ไหมล่ะ?”

มิโซยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอเดินเข้าไปด้านในก่อน ให้มารุเดินตาม เขาพบกับแถวของคนต่อกันยาวที่ทางเข้า และเสียงคนคุยกันจากด้านใน

“เราขอรับคนที่จองที่ได้เข้าไปก่อนนะคะ ขอโทษด้วยถ้าทำให้ต้องรอ”

หญิงสาวนำทางแถวคนที่มารอด้วยรอยยิ้ม เธอดูจะอายุราวยี่สิบกลาง ๆ

“รอก่อนเถอะ ไม่อยากไปกวนคนดูเขา”

“ได้”

มิโซนั้นมีนิสัยที่ค่อนข้างหุนหัน แต่เมื่อถึงเวลางาน เธอก็จริงจังยิ่งกว่าใครๆ ไม่นานนักพวกเขาก็เดินเข้าไปต่อแถว

“รุ่นพี่”

“ว่าไง”

“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”

“นาน? สองอาทิตย์เองนะ”

“แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้อยู่นี่นา แล้วมาหาใครรึเปล่าคะ?”

“เปล่า แค่พาเจ้าเด็กนี่มาดูละครน่ะ”

สายตาของหญิงสาวมอ ก้มหัวลงทักทายหญิงสาวเล็กน้อย

“ดูดีนะ ใครเหรอ?”

“ไม่รู้สิ”

ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความ งุนงง

“มีที่ว่างไหม? ถ้าไม่มีเราจะยืนดูจากด้านหลังเอา” มิโซพูดต่อ

“น่าจะพอมีว่างอยู่นะคะ”

“งั้นฉันจะรอ อยากเห็นเหมือนกันว่าจะมีคนมาดูเพิ่มอีกไหม”

“ได้ค่ะ”

มารุเดินเข้าไปในโรงละครพร้อมมิโซด้านในค่อนข้างจะมืด มีแสงสลัว ๆ บ้างที่นั่งอัดกันอยู่ทั้งหมด 70 ที่ มันไม่ใช่ที่นั่งที่กว้างขวางนั่งสบายอะไร แต่นั่นเองก็เป็นเสน่ห์ของละครเวที

“ถ้าการแสดงเริ่มแล้วช่วยหยุดทานอาหารกันด้วยนะคะ แล้วเราจะมีเวลาถ่ายรูปให้ หลังการแสดงจบลง เพราะฉะนั้นขอห้ามถ่ายภาพระหว่างเล่นนะคะ นี่เป็นกฎที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ชมได้ชมการแสดงอย่างถึงอรรถรส โปรดเข้าใจเราด้วย”

หญิงสาวที่ดูแลแถวตอนนี้ขึ้นไปพูดบนเวที ทำให้เหล่าผู้ชมต่างเก็บของกินลงทันที

“เราไม่มีที่ว่างแล้ว”

“ยืนดูก็ได้”

“งั้นเอาตามนั้น แบบนั้นเองก็สนุกไม่เลว”

มิโซดูจะตื่นเต้นแปลก ๆ ผิดจากเธอตอนปกติเวลามาที่สถานีฮเยวาเหมือนว่า… จะตื่นเต้นกว่าปกติ? เหมือนเวลาเด็ก ๆ ตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างแสงในโรงละครค่อย ๆ จางลง เป็นสัญญาณเริ่มการแสดง ตอนนั้นเองที่มีใครบางคนเดินขึ้นมาคุยกับทั้งสองคน

“มาด้วยเหรอ”

“อืม

มารุหันไปมองชายหนุ่มที่เดินมาคุยกับมิโซ มารุไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้มากนัก เพราะความมืดของโรงละคร

“งั้นไว้เจอกัน”

“จะไปไหนเหรอ?”

“ผู้กำกับเขาอยากเจอฉัน”

“แหม ดังใหญ่แล้วนะเรา?”

“เหอะ แค่นี้เอง แล้วเด็กนี่ใครน่ะ?”

“ไม่รู้สิ อนาคตเพื่อนร่วมงานมั้ง?”

“หึม เหรอ?”

มารุเพิ่งสายตา ตาของเขาเริ่มชินกับความมืดแล้ว แต่ก่อนเขาจะมองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มได้ ชายหนุ่มกลับเดินหนีออกไป

“น่าสงสารจริง ๆ ต้องมาทำงานกับมิโซ ยัยนี่มันไม่ธรรมดา” เขากล่าวก่อนจะเดินจากไป

มารุได้แต่หัวเราะ ทำให้มิโซอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องเงียบไป เพราะการแสดงได้เริ่มขึ้นแล้ว

“เริ่มแล้ว”

“ดูไปเงียบ ๆ”

ดังแสงของไฟฉายสปอตไลต์สว่างขึ้นพร้อมเสียงกระดิ่ง

นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน!บทที่ 33 ตอนที่ 1 ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 33 ตอนที่ 1 สถานีฮเยวา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ถนนถูกพัดด้วยลมอุ่น ๆ ของ กมาเดินกันด้วยเสื้อผ้าบาง ๆ พวกเขาเป็นนักแสดงหรือผู้ชมกันนะ? มารุเองก็ ไม่แน่ใจเขาหันไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาพร้อมสะพายกีต้าร์บนหลัง เขานั่งลงข้าง ๆ ร้านกาแฟก่อนจะเริ่มเล่นราว กับว่าที่ตรงนั่นคือเวทีของตัวเอง เสียงของกีต้าร์ไม่ได้ดังมาก ยิ่งพอ ไม่มีลําโพงด้วยแล้วแต่ถึงจะเป็นแบ บนั้น ก็ยังมีคนมุงดูเขาอยู่มากมายเสียงอันไพเราะของชายหนุ่มฟังดูทรงพลัง ทั้งนักเรียนคู่รักและคนธรรมดาต่างรุมล้อมมุงดูเขา “อยากไปฟังไหม?” มิโซถาม และมารุก็พยักหน้ารับ เพราะดนตรีของชายหนุ่มมันมีค่าพอ จะเข้าไปฟังไม่นานนักก็มีคนมามุงดูเขา จํานวนมาก หลังจากเขาเล่นเพลงแรกจบเขาก็ก้มหัวขอบคุณผู้ชม ดูท่าแล้วนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาเล่น เมื่อเห็น ชายหนุ่มเปิดกล่องกีต้าร์ออกเหล่าคนดูก็ต่างพากันหยิบกระเป๋าเงินออกมา มารุ หยิบเงินออกมาหนึ่งพันวอนส่วนเด็กคนหนึ่งยื่นขนมปังที่ยังไม่ได้แกะห่อให้เขา “ขอบคุณนะ” นักดนตรีหนุ่มกดขนมปังที่ได้รับมาและหันไปพยักหน้าให้กับเด็กน้อยคนนั้นทําให้มีคนยื่นน้ําให้เขาตามไปด้วย “ว้าว วันนี้โชคดีจริง” ชายหนุ่มหัวเราะ หลังจากกินอาหารเสร็จเขาก็เริ่มเล่นเพลงต่อไป เขาเล่นแต่ละเพลงด้วยนิ้วและเสียงเป ล่า ๆ ของเขาไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ช่วย ห ลังจากเล่นไปได้อีก 4 เพลง ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน “การแสดงครั้งต่อไปจัดที่สวนมารอนนิเยนะครับ” และเขาก็เดินจากไป ทําให้เหล่าเกาหลีมุงต่างตามไปติด ๆ ราวกับต้องมนตร์ “ไปกันแล้วไหม?” มิโซถาม “ไปไหน?”
“มานี่ก็ต้องมาดูการแสดงอยู่แล้วสิไปหาเรื่องสั้น ๆ ดูกัน”
มิโซพยายามดึงแขนมารุอีกครั้งแต่มารุก็ค่อยๆสะบัดแขนตัวเองออกก่อนจะก้าวเดินไปด้วยตัวเอง “นิสัยดีไม่เบานี่เรา?” “ผมแค่ไม่ชอบโดนลากไปไหนมาไหนน่ะ” “ทั้ง ๆ ที่โดนลากมาถึงนี่แล้วเนี่ยนะ?” “งั้นกลับไหม?” “…ชิ ปากเก่งจริงนะ” มิโซเดินนําหน้าไป ด้านหน้าของทั้งสองมีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ เพราะวันนี้ เป็นวันเสาร์ที่อากาศดีแน่นอนล่ะว่าคนจะออกจากบ้านมาเดินเล่นกันทั้งสองคนเดินเข้าไปในโรงละครที่เล็กกว่าโรงอื่น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง “มาดูละครเหรอ?” มีเสียงจากชายหนุ่มรูปหล่อดังขึ้นที่ด้านหลังคงเป็นเด็กมหาวิทยาลัย เขา ถือตั๋วและแผ่นพับมาเต็มมือ “เด็กทํางานพิเศษเหรอ” มารรู้ทันที นี่คือสิ่งที่เราจะเห็นได้เมื่อมาที่สถานั้นฮเยวาบางครั้งก็จะเป็นพวกสมาชิกห น้าใหม่ของคณะละคร แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกพนักงานพาร์ทไทม์มากกว่ามารุรู้เรื่องพวกนี้ดีเพราะพวกเขาจะได้ เงินจากยอดขายตัวโดยตรงทําให้หลาย ๆ ครั้งพวกเขาจะเกาะติดเราเป็นปลิงเลย “นี่เป็นการแสดงที่เรากําลังจะ…” ตอนที่ชายหนุ่มกําลังพูดอยู่ มิโซก็จับไหล่ชายหนุ่มและผลักเขาออกไป “เราสายงานเดียวกัน ขอผ่านได้ไหม?” ชายหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้วหลังได้ยินเขาทําหน้าเหมือนเดินมาเหยียบขี้ก็ไม่ปานเขาปัดไหล่ของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินห่างออกไป “โชคร้ายฉิบหาย “หา? โชคร้าย?” มิโซพูดขึ้น
“ไปเถอะ อย่ามากวนคนกําลังทํางาน ฮีย” การจากไปของชายหนุ่มทําให้มิโซตาขวางขึ้นทันทีมิโซกําลังอ้าปากขึ้นด้วยความโกรธแต่ก็ต้องหุบลงหลังหันไปเห็นมารุ “เฮอะ หลัง ๆ มานี้มีแต่พวกนักเลง” เธอกล่าว “ไม่ต้องคิดมากหรอก เขาแค่พยายามทํางานแค่นั้น” “ใช่ พยายามทํางาน เพราะแบบนั้นไงฉันถึงได้พยายามจะเข้าใจอยู่ แต่มันก็… เดี๋ยวนะเคยมาเหรอ?” “ก็มาบ้าง” มารุตอบไปอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะหันไปมองที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ตอนนี้เขากํา ลังเดินเข้าไปหากลุ่มเด็กสาวด้วยรอยยิ้มเขาพยายามอธิบายอะไรต่าง ๆ ให้พวกนั้นฟังพร้อมแสดงท่าทางทําให้กลุ่มเด็ กนักเรียนต้องหยุดฟัง “ได้จนได้ ไอ้บ้านั่น” มิโซกล่าว มารหันไปมองที่ชายหนุ่มและกลุ่มเด็กนักเรียนเขาพยายามใช้คําพูดกดดัน มากขึ้นเรื่อย ๆ ทําให้เหล่าเด็ก ๆ ต้องมีท่าที่ลําบากใจ ชายหนุ่มโบกตัวให้พวกนั้นดูท่าทางกัดไม่ยอมปล่อยแน่ๆหาก พวกนั้นไม่ซื้อตั๋วสุดท้ายเหล่าเด็กนักเรียนก็กระซิบกันและกําลังหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา มารุเดินเข้าไปหาเด็กกลุ่มนั้น มันไม่ แย่หรอกถ้าจะได้เริ่มดูการแสดงเพราะอะไรแบบนี้แต่… เขาแค่ไม่ชอบวิธีการของชายหนุ่ม เพราะการข่มขู่น่ะใช้ไม่ได้เด็ดขาด “ไปซื้อตั๋วคู่รักตรงนูนสิ” “อะไรนะ?” เด็กนักเรียนหันมาถามเขาว มารรู้สึกได้ถึงสายตาจ้องมองมาจากด้านหลัง “นักเรียนน่ะได้รับส่วนลดลองไปดูตรงนั้นสิ” “อ่า ขอบคุณ” เด็กสาวเก็บกระเป๋าของตัวเองลงทันทีและเดินไปทางที่มารุชี้บอก พวกนั้นไม่หยุดลงแม้จะได้ยินเสียงเรียก “เดี่ยวๆกลับมาก่อนเรามีส่วนลดที่ดีกว่านะ

นิยาย ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน!บทที่ 33 ตอนที่ 1

ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 33 ตอนที่ 1

สถานีฮเยวา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ถนนถูกพัดด้วยลมอุ่น ๆ ของ

กมาเดินกันด้วยเสื้อผ้าบาง ๆ พวกเขาเป็นนักแสดงหรือผู้ชมกันนะ? มารุเองก็ ไม่แน่ใจเขาหันไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาพร้อมสะพายกีต้าร์บนหลัง เขานั่งลงข้าง ๆ ร้านกาแฟก่อนจะเริ่มเล่นราว กับว่าที่ตรงนั่นคือเวทีของตัวเอง

เสียงของกีต้าร์ไม่ได้ดังมาก ยิ่งพอ ไม่มีลําโพงด้วยแล้วแต่ถึงจะเป็นแบ บนั้น ก็ยังมีคนมุงดูเขาอยู่มากมายเสียงอันไพเราะของชายหนุ่มฟังดูทรงพลัง ทั้งนักเรียนคู่รักและคนธรรมดาต่างรุมล้อมมุงดูเขา

“อยากไปฟังไหม?” มิโซถาม และมารุก็พยักหน้ารับ

เพราะดนตรีของชายหนุ่มมันมีค่าพอ จะเข้าไปฟังไม่นานนักก็มีคนมามุงดูเขา จํานวนมาก หลังจากเขาเล่นเพลงแรกจบเขาก็ก้มหัวขอบคุณผู้ชม ดูท่าแล้วนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาเล่น เมื่อเห็น ชายหนุ่มเปิดกล่องกีต้าร์ออกเหล่าคนดูก็ต่างพากันหยิบกระเป๋าเงินออกมา มารุ หยิบเงินออกมาหนึ่งพันวอนส่วนเด็กคนหนึ่งยื่นขนมปังที่ยังไม่ได้แกะห่อให้เขา

“ขอบคุณนะ”

นักดนตรีหนุ่มกดขนมปังที่ได้รับมาและหันไปพยักหน้าให้กับเด็กน้อยคนนั้นทําให้มีคนยื่นน้ําให้เขาตามไปด้วย

“ว้าว วันนี้โชคดีจริง” ชายหนุ่มหัวเราะ หลังจากกินอาหารเสร็จเขาก็เริ่มเล่นเพลงต่อไป

เขาเล่นแต่ละเพลงด้วยนิ้วและเสียงเป ล่า ๆ ของเขาไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ช่วย ห ลังจากเล่นไปได้อีก 4 เพลง ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน

“การแสดงครั้งต่อไปจัดที่สวนมารอนนิเยนะครับ”

และเขาก็เดินจากไป ทําให้เหล่าเกาหลีมุงต่างตามไปติด ๆ ราวกับต้องมนตร์

“ไปกันแล้วไหม?” มิโซถาม

“ไปไหน?”
“มานี่ก็ต้องมาดูการแสดงอยู่แล้วสิไปหาเรื่องสั้น ๆ ดูกัน”
มิโซพยายามดึงแขนมารุอีกครั้งแต่มารุก็ค่อยๆสะบัดแขนตัวเองออกก่อนจะก้าวเดินไปด้วยตัวเอง

“นิสัยดีไม่เบานี่เรา?”

“ผมแค่ไม่ชอบโดนลากไปไหนมาไหนน่ะ”

“ทั้ง ๆ ที่โดนลากมาถึงนี่แล้วเนี่ยนะ?”

“งั้นกลับไหม?”

“…ชิ ปากเก่งจริงนะ”

มิโซเดินนําหน้าไป ด้านหน้าของทั้งสองมีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ เพราะวันนี้ เป็นวันเสาร์ที่อากาศดีแน่นอนล่ะว่าคนจะออกจากบ้านมาเดินเล่นกันทั้งสองคนเดินเข้าไปในโรงละครที่เล็กกว่าโรงอื่น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“มาดูละครเหรอ?”

มีเสียงจากชายหนุ่มรูปหล่อดังขึ้นที่ด้านหลังคงเป็นเด็กมหาวิทยาลัย เขา ถือตั๋วและแผ่นพับมาเต็มมือ

“เด็กทํางานพิเศษเหรอ” มารรู้ทันที

นี่คือสิ่งที่เราจะเห็นได้เมื่อมาที่สถานั้นฮเยวาบางครั้งก็จะเป็นพวกสมาชิกห น้าใหม่ของคณะละคร แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกพนักงานพาร์ทไทม์มากกว่ามารุรู้เรื่องพวกนี้ดีเพราะพวกเขาจะได้ เงินจากยอดขายตัวโดยตรงทําให้หลาย ๆ ครั้งพวกเขาจะเกาะติดเราเป็นปลิงเลย

“นี่เป็นการแสดงที่เรากําลังจะ…”

ตอนที่ชายหนุ่มกําลังพูดอยู่ มิโซก็จับไหล่ชายหนุ่มและผลักเขาออกไป

“เราสายงานเดียวกัน ขอผ่านได้ไหม?”

ชายหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้วหลังได้ยินเขาทําหน้าเหมือนเดินมาเหยียบขี้ก็ไม่ปานเขาปัดไหล่ของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินห่างออกไป “โชคร้ายฉิบหาย

“หา? โชคร้าย?” มิโซพูดขึ้น
“ไปเถอะ อย่ามากวนคนกําลังทํางาน ฮีย”

การจากไปของชายหนุ่มทําให้มิโซตาขวางขึ้นทันทีมิโซกําลังอ้าปากขึ้นด้วยความโกรธแต่ก็ต้องหุบลงหลังหันไปเห็นมารุ

“เฮอะ หลัง ๆ มานี้มีแต่พวกนักเลง” เธอกล่าว

“ไม่ต้องคิดมากหรอก เขาแค่พยายามทํางานแค่นั้น”

“ใช่ พยายามทํางาน เพราะแบบนั้นไงฉันถึงได้พยายามจะเข้าใจอยู่ แต่มันก็… เดี๋ยวนะเคยมาเหรอ?”

“ก็มาบ้าง”

มารุตอบไปอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะหันไปมองที่ชายหนุ่มอีกครั้ง ตอนนี้เขากํา ลังเดินเข้าไปหากลุ่มเด็กสาวด้วยรอยยิ้มเขาพยายามอธิบายอะไรต่าง ๆ ให้พวกนั้นฟังพร้อมแสดงท่าทางทําให้กลุ่มเด็ กนักเรียนต้องหยุดฟัง

“ได้จนได้ ไอ้บ้านั่น” มิโซกล่าว

มารหันไปมองที่ชายหนุ่มและกลุ่มเด็กนักเรียนเขาพยายามใช้คําพูดกดดัน มากขึ้นเรื่อย ๆ ทําให้เหล่าเด็ก ๆ ต้องมีท่าที่ลําบากใจ ชายหนุ่มโบกตัวให้พวกนั้นดูท่าทางกัดไม่ยอมปล่อยแน่ๆหาก พวกนั้นไม่ซื้อตั๋วสุดท้ายเหล่าเด็กนักเรียนก็กระซิบกันและกําลังหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา

มารุเดินเข้าไปหาเด็กกลุ่มนั้น มันไม่ แย่หรอกถ้าจะได้เริ่มดูการแสดงเพราะอะไรแบบนี้แต่… เขาแค่ไม่ชอบวิธีการของชายหนุ่ม เพราะการข่มขู่น่ะใช้ไม่ได้เด็ดขาด

“ไปซื้อตั๋วคู่รักตรงนูนสิ”

“อะไรนะ?” เด็กนักเรียนหันมาถามเขาว

มารรู้สึกได้ถึงสายตาจ้องมองมาจากด้านหลัง

“นักเรียนน่ะได้รับส่วนลดลองไปดูตรงนั้นสิ”

“อ่า ขอบคุณ”

เด็กสาวเก็บกระเป๋าของตัวเองลงทันทีและเดินไปทางที่มารุชี้บอก พวกนั้นไม่หยุดลงแม้จะได้ยินเสียงเรียก “เดี่ยวๆกลับมาก่อนเรามีส่วนลดที่ดีกว่านะ

ข้ามเวลาล่าฝัน

ข้ามเวลาล่าฝัน

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset