ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 29 ตอนที่ 2
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 29 ตอนที่ 2
ช่วงพักเป็นช่วงเวลาเดียวที่มารุจะเข้าไปคุยกับคนอื่นๆได้ และมันก็จะเป็นเวลาที่มารุได้รู้ว่าตอนนี้ชมรมกําลังเรียนและฝึกอะไรกันอยู่ เหล่าสมาชิกต่างพากันบ่นเรื่องความโหดของมิโซปนไปกับคําชมในความสามารถของเธอ เพราะแม้แต่มารุที่อยู่วงนอก ก็เห็นได้ว่ามิโซสอนได้เก่งกาจแค่ไหน
“มาฝึกอ่านบทกัน” มิโซตะโกนมาจากอีกฟากของห้อง
ทําให้เหล่าสมาชิกต่างพากันหยิบบทของตัวเองและวิ่งไปหาเธอ มารุมองไปที่พวกเขาเล็กน้อย ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นอีกครั้ง
“อย่าเหงาให้มากล่ะ ฮ่าฮ่า” โดจินบอกเขาก่อนจะเดินจากไป
ความเหงาเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับคนที่เคยได้อยู่ในกลุ่ม แม้มารุจะรู้สึกเหมือนถูกกีดกันอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยเหงาเลย เพราะยังไงเขาก็ไม่เคยรู้สึกถึงความเร่าร้อนที่สมาชิกชมรมคนอื่นมี เขาไม่ทางไปอยู่ระดับเดียวกับพวกนั้นได้อยู่แล้ว
เขาได้ยินเสียงของสมาชิกแต่ละคนเริ่มอ่านบท ขณะที่เขาเริ่มอ่านหนังสือของตัวเอง การแสดงที่พวกเขากําลังจะเล่นมีชื่อว่า โต๊ะอันอบอุ่น” เป็นการแสดงที่มิโซเลือกขึ้นมา มันเป็นการแสดงเกี่ยวกับวัยรุ่นและปัญหาที่พวกเขาได้เจอ มีฉากอยู่ทั้งหมดสองฉาก คือในบ้านและนอกบ้าน มารุยังจําตอนทําฉากประกอบพวกนั้นได้ดี
อ่า เขาเสียสมาธิอีกแล้ว ต้องกลับไปอ่านต่อ เสียงของสมาชิกคนอื่นๆเริ่มจากหายไป หลังเขาเริ่มตั้งสมาธิได้ เขาพึ่งจะรู้ตัวไม่นานมานี้ว่าการตั้งสมาธิจดจ่อของเขานั้นดีขึ้นมาก
แต่มันส่งผลเฉพาะกับหนังสือปกติธรรมดาเท่านั้น เขาลองทํามันกับหนังสือคณิตศาสตร์หรือหนังสือภาษาอังกฤษดูแล้ว แต่เมื่อได้เห็นตัวเลขและตัวอักษรูประหลาดพวกนั้น สมาธิมันก็ไม่เกิดขึ้นมาเลย
“แต่เราน่าจะยังได้คะแนนเต็มวิชาภาษาเกาหลีอยู่”
เขาเปิดหนังสือไปพร้อมกับรอยยิ้ม หนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติของนักแสดงเขียนบอกว่าชีวิตของนักแสดงจะต้องไปเจออะไรบ้าง ได้แสดงบทบาทไหนมาบ้าง มันเขียนออกมาได้ดี พอที่เขาจะอ่านมันไปอย่างสนุกสนานได้
จนถึงจุดหนึ่ง เขาอ่านมาจนถึงประโยคที่สะกิดใจเขาเข้า
– ผมไม่รู้เลยว่าชีวิตมันจะกลายเป็นแบบนี้ ก่อนจะได้รับบทบาทแรกมา ผมคิดว่าจะไปเป็นนายหน้าขายรถ ใครจะไปคิดล่ะว่าคนแบบนั้นจะกลายมาเป็นนักแสดง ชีวิตมันช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวสุดมหัศจรรย์จริงๆ
คนเขียนพูดได้ไม่ผิดเลย ชีวิตมันคือสิ่งมหัศจรรย์ เราไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง แม้เราจะไม่รู้ แต่คนเราก็ยังพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถต่อไป เพื่อให้ได้วันพรุ่งนี้สบายกว่าเดิม เขาอ่านมันต่อไปอีกหลายหน้าก่อนจะมีคนเรียกเขาขึ้น
“ฮาน มารุ”
เจ้าของเสียงคือมิโซ มารุวางหนังสือลงและเดินเข้าไปหาเธอ
“ครับ?”
“ลองอ่านนี่หน่อย” เธอโยนบทมาให้เขา มันเป็นบทของตัวเอก ตอนที่ตัวเอกกําลังบรรยายความรู้สึกหลังได้ทะเลาะกับเพื่อน มารุเริ่มอ่านมัน
“ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่ฉันทํามันผิด แต่สิ่งที่เขาทําก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาไม่ควรจะมาโกรธกับเรื่องอะไรแบบนี้เลย”
เขาอ่านมันช้าๆ มิโซมักจะเรียกเขามาอ่านบทแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาไม่รู้เหตุผลที่เธอทําแบบนี้ บางทีเธอคงอยากจะแสดงให้คนอื่นดูถึงตัวอย่างแย่ๆล่ะมั้ง
“ดีมาก เอาคืนมาได้”
“ครับ”
มารุยื่นบทกลับไปให้มิโซหลังอ่านจบ พอเขาทําอะไรเสร็จ เขาก็หันไปมองนาฬิกา มันเกือบจะถึงเวลา 5 โมงเย็นแล้ว อีกสิบนาที เขาก็จะขอตัวกลับได้ เขาเริ่มเก็บของเก็บขวดน้ําและหนังสือกลับเข้ากระเป๋า ส่วนสมาชิกคนอื่นๆยังคงมุ่งมั่นฝึกซ้อมกันต่อไป
“มองไปด้านหน้า ไม่ใช่มองพื้น จะให้ผู้ชมดูกบาลตัวเองเหรอ? หรือยังไง?”
มิโซยังคงตะโกนอย่างต่อเนื่อง โซยอนเงยหน้าขึ้นทันทีหลังได้ยิน แต่เหมือนจะมากไปนิด จนทําให้มิโซต้องเดาะลิ้นออกมา มารุอดที่จะชื่นชมความสามารถในการสอนของมิโซไม่ได้ คําพูดเกี่ยวกับเรื่องการแสดงของเธอนั้นไม่มีผิด มีแต่คนที่รักการแสดงมากๆเท่านั้น ถึงจะแสดงออกมาได้ดี
“การรักอะไรมากๆ ไม่ใช่แค่ว่าสนุกไปกับมันได้ แต่ต้องมีสมาธิจดจ่อไปกับมันได้ด้วย. สินะ?
มารุมองไปที่สมาชิกชมรมจากที่นั่งตัวเอง คิดว่าในอนาคตพวกเขาจะต้องไปเจอชีวิตแบบไหนกัน ความรักในการแสดงมันจะช่วยอะไรในชีวิตได้บ้าง? มารุได้แต่คิดคํานวณในหัว ไม่ว่าเขาจะลองเปลี่ยนเหตุการณ์อะไรยังไง เขาก็พบเจอแต่ความล้มเหลว
“ปล่อยไว้แบบนี้สงสัยได้กลายเป็นคนมองโลกแง่ร้ายแน่”
เขารู้ตัวดีว่าเขากลายเป็นคนที่ใจดําและเจ้าคิดวางแผนมากแค่ไหน มันช่างน่าอาย ยิ่งเมื่อได้มองสมาชิกชมรมอันเร่าร้อนที่อยู่ตรงหน้า แม้แต่ตอนนี้สมองของเขาก็ยังย้ําเตือนให้ใช้เวลานไปกับ การตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ เรียนคณิตศาสตร์ ใช้เวลา
เพียะ
มารุตบใบหน้าของตัวเอง เพราะไม่งั้นเขาคงออกมาจากบ่วงความคิดของตัวเองไม่ได้ แต่
“ม-มารุเว้ย”
“เป็นไรไป?”
เขาตบแรงไปหน่อย จนทําให้ทุกคนหันมามองทางเขา รวมไปถึงมิโซด้วย เขาได้แต่ยิ้มตอบเงื่อนๆ
“ตบยุงน่ะ”
ยุงในเดือนเมษายน… มันเป็นข้ออ้างโง่ๆ แต่อย่างน้อยก็ยังพอรอดตัวได้
“อ่อ อะไรของแกวะ”
“ให้ตายสิ ตกอกตกใจหมด”
“ตบแรงไปนิดนะ คิดว่างั้นไหม?”
เหล่าสมาชิกชมรมต่างตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม มารุเองก็พยายามยิ้มกลบเกลื่อน ตอนนี้นาฬิกาชี้เลข 5 แล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากที่ราวกับว่าเป็นระบบอัตโนมัติ หยิบกระเป๋าและหันไปหามิโซ เขากําลังรอคําพูดประจําจากปากของเธอ
“ได้เวลาอาหารแล้ว ปีหนึ่ง ออกไปซื้อของกินมาหน่อย”
มิโซเอาเงินออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เด็กๆ เหล่าปีหนึ่งต่างพากันกรูออกจากหอประชุมไปด้วยกัน ส่วนพวกปีสองก็พากันพูดคุยเรื่องบท ทุกคนต่างพยายามหาทางพักผ่อนของตัวเอง
แม้แต่ตัวมิโซเองก็นอนแผ่อยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด หลังมารุรอได้สักพัก ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“ไปก่อนนะครับ”
มิโซไม่ตอบกลับมา มีอะไรรึเปล่านะ? มารุคิดว่าเธออาจจะแค่เหนื่อยจนไม่มีแรงพูด และตัดสินใจเดินจากไป ขณะที่เขากําลังจะเปิดประตูออกนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“กลับแล้วเหรอ?” มิโซถามขึ้น เธอมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หญิงสาวเดินนําเขาออกจากห้องไป มารุก้มหัวและเดินออกไปทางบันได
แต่… มิโซกลับเดินตามเขามา จนเกือบจะถึงชั้นล่าง มารุจึงหันกลับไปหาหญิงสาว
“มีอะไรจะคุยด้วยรึเปล่าครับ?”
ชิ”
มิโซหันหน้าหนีพร้อมเสียงเดาะลิ้น เธอทําหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ปิดปากตัวเองลงในที่สุด มีเรื่องอะไรนะ? มารุก้มหัวทําความเคารพอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร คงไม่ใช่เรื่องสําคัญ
แต่หลังจากเขาเดินไปได้แค่สามก้าว
“นี่” มิโซเรียก “มาคุยกันหน่อยสิ”
ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 29 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 29 ตอนที่ 1
สิ่งที่เขาต้องเผชิญหลังเข้ามา คือความร้อน สายตาทั้ง 11 หันมามองที่เขา มารุได้แต่ยักไหล่ตอบก่อนจะหันไปทักทายมิโซ
“สวัสดีครับ”
“อ่า”
คําตอบนั้นแสนสั้น แต่มารุชินกับมันแล้ว มารุเดินเข้าไปนั่งที่ที่นั่งผู้ชม ตรงนั้นมีเหล่าเครื่องดื่มเตรียมไว้พร้อมสําหรับนักแสดง เขานั่งลงพร้อมหนังสือในมือ จากที่นั่งตรงนี้เขาสามารถเห็นเหล่านักแสดงได้อย่างชัดเจน
กอบฉากการแสดง
มารุหันไปดูทางซ้ายมือที่ใช้เก็บอุปกรณ์ประกอบฉากการแสดง ทั้งโซฟา โต๊ะ ผ้าปู ไม้แผ่น และอื่นๆ…
“อ่า อ่า อ่า เบาเสียงที่ออกมาหน่อย ใส่แรงลงไปในช่องท้องอีก ใช้กะบังลมให้มาก ลองนึกภาพว่าได้มองเข้าไปในตัวเอง พอเปิดปากร้องอ้าขึ้นมา เราจะเห็นกล่องเสียงเปิดออกปล่อยให้ลมจากช่องท้องผ่านออกมาจนถึงปาก แต่อย่าปล่อยให้ลมออกมาเปล่าๆ ให้เอาออกมาแค่เสียง บีบเสียงจากช่องท้องให้ได้มากที่สุด” มิโซ กล่าวพร้อมจับที่หน้าท้องของเด็กคนหนึ่ง
เธอใช้มือหนึ่งจับที่หน้าท้องส่วนอีกมือจับจุดที่เขาทําพลาด ทุกครั้งที่เธอเข้าไปสอนแบบนั้น เหล่าสมาชิกชมรมก็จะลองปรับท่าทางตัวเองแล้วลองใหม่อีกครั้ง มารุเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เริ่มฝึกกัน
ความเปลี่ยนแปลงแรก คือสมาชิกชมรมดูใจเย็นลงมาก เสียงของพวกเขาไม่มีอาการสั่นเครือเลย มันช่างฟังดูนุ่มลึก ต้องขอบคุณการฝึกที่ผ่านๆมา
“ดีมาก คราวนี้เดินเร็ว”
เหล่าสมาชิกต่างเดินมารวมกันเป็นวงกลมหลังได้ยินคําพูดนี้จากปากของมิโซ พวกเขาเริ่มเดินกันราวกับว่าจะไล่จับคนที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาค่อนข้างจะขยับตัวได้เร็วเลย
“พยายามจําการเคลื่อนไหวตอนนี้ไว้นะ จําไว้ว่าตัวเองใช้กล้ามเนื้อส่วนไหน จําวิธีการหายใจให้ดี ลองนึกว่ามีกล้องกําลังจับภาพตัวเองอยู่ทุกส่วน เหมือนเป็นมุมมองบุคคลที่สาม”
หลังการทําแบบนี้อยู่ 5 นาที มิโซก็ปรบมือและบอกว่า “ช้าๆ” เหล่าสมาชิกชมรมก็ขยับตัวช้าลงตามคําบอก ราวกับว่าพวกเขากําลังถ่ายภาพสโลโมชั่น การทําแบบนี้ไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับมารุ
เขาเห็นการทําแบบนี้มานักต่อนักสมัยยังเป็นผู้จัดการ มันค่อนข้างจะปกติเลยที่เหล่านักแสดงจะทําอะไรแบบนี้ เพราะสุดท้าย ภาษากายนั้นคือสิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับพวกเขา เขายังจําภาพของนักแสดงมือใหม่ที่ทําพลาดจนต้องโดนต่อว่าได้ดี
มารุเองก็เคยลองทําอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน เขาแค่เข้าไปร่วมฝึกกับพวกนักแสดงเพราะความอยากรู้อยากเห็น เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรมาก แน่นอน ยิ่งเขาไม่ได้รู้จักครูฝึกคนนั้นมากนักแล้วด้วย ตอนที่มารุเริ่มเข้าทํางานในบริษัทเขาก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับครูฝึกคนนี้อีกครั้ง กลายเป็นว่าครูฝึกคนนี้เองก็เริ่มทํางานเป็นพนักงานกินเงินเดือนเช่นเดียวกับเขา
“อย่าขยับนิ้วมือหรือนิ้วเท้าเชียว ใช้การเคลื่อนไหวทุกส่วนให้เกิดประโยชน์ สิ่งสําคัญเวลาแสดงคือห้ามขยับตัวโดยเปล่าประโยชน์ เข้าใจไหม?”
“ครับ/ค่ะ”
สมาชิกชมรมยังคงขยับตัวอย่างเชื่องช้า แม้จะตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาคงจะทําแบบนี้กันอีกประมาณสิบนาที ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่การเคลื่อนไหวช้าๆนั้น กินแรงเอามากๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเวลาทหารยืนแถวจะเหนื่อยกันไม่น้อยเลย
คนแล้วคนเล่า เหล่านักเรียนต่างพากันทําหน้านิ่วคิ้วขมวด บางครั้งพวกเขาเสียหลักและล้มลงไปก็มี และถ้ามีใครทําอะไรแบบนั้น ก็จะถูกมิโซตะโกนใส่อย่างดุดัน
“ตั้งใจ”
เธอเป็นพญาสิงห์ตัวจริงเลย มารุหันกลับมาเปิดหนังสือและอ่านต่อ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกดึงเข้าไปร่วมเข้าไปในการฝึกประจําวันสุดโหดนี้ หลังผ่านไปได้หลายนาที ทุกคนก็กลับมายืนแถวตรงกันอีกครั้ง มิโซปล่อยพวกเขามาพัก 15 นาที
มารุบิดหนังสือลงและมองไปด้านหน้า เขาเห็นสีหน้าอันหิวกระหายของเหล่าสมาชิกได้อย่างชัดเจน เขาจึงโยนขวดน้ําไปทางโดจินขวดหนึ่ง
“อ่า ให้ตาย เหนื่อยฉิบ”
“อย่างน้อยก็ยังไม่ตายล่ะนะ”
“แฮ่ก แฮก”
แม้แต่เกนซุคเองก็หอบหายใจถี่จากการฝึกรอบเช้านี้ ยูริมกลับเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองแม้แต่ตอนพัก ตอนนี้เขาเห็นมือถือแทบจะเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเธอไปแล้ว
“ปวดขา” โซยอนร้องออกมาพร้อมๆกับก้มลงนวดน่องของตัวเอง เธอดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะยังอวบๆอยู่หน่อย แต่ก็ดูเพรียวขึ้นมากแล้ว
อิเซและแทจูนยังดูดีไม่เปลี่ยนแปลง แต่หน้าตาอันเหน็ดเหนื่อยของแทจูนกลับทําให้เขาดูไม่ค่อยจะหล่อสักเท่าไหร่แล้วตอนนี้ เด็กหนุ่มมีแรงน้อยกว่าที่เห็นภายนอกมาก อาจจะแย่กว่าเดมยังเสียด้วยซ้ําไป และนั่นบอกถึงอะไรบางอย่าง
“นี่มันค่ายลดน้ําหนักเหรอ?”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่การฝึกนี้มันช่วยลดน้ําหนักได้ดีจริง
“นึกว่าขาซ้ายจะเป็นตะคริวแล้วเสียอีก”
“ปล่อยมันเถอะ”
“อ่า ไหนว่าปีสองเป็นแค่ผู้กํากับเวทีไง?” มินซองบ่นออกมาให้จุงฮยุกฟัง พวกเขาอาสาที่จะเป็นผู้จัดการเวที แต่พวกเขาเองก็ยินดีร่วมการฝึกของมิโซอย่างไม่บ่นอะไร พวกเขาทั้งสองคนได้บทที่ค่อนข้างเด่นเสียด้วยซ้ําไป บทพ่อพระเอกและบทลุง
“อ่า เดนมิ นวดขาให้หน่อยได้ไหม? ปวดอะ”
“เหอะ ฉันก็เหนื่อยนะ”
“เพื่อนรัก ใจจืดใจดําจัง”
ยูนจังและเดนมเองก็กําลังคุยกันอยู่เช่นกัน พวกเขาต่างแผ่รังสีความร้อนออกมาจากร่างกาย มารุเดินผ่านหน้าทั้งคู่พร้อมยื่นน้ําเย็นๆ และขนมให้
“ขอบคุณนะ คุณผู้จัดการ” ยูนจังพูดขึ้น
จู่ๆ นั่นก็กลายเป็นฉายาของมารุไปแล้ว เขาจําไม่ได้ด้วยซ้ําว่าใครเป็นคนเริ่มเรียกเขา ที่แรกก็แค่หยอกกันเล่นๆ แต่สุดท้ายทุกคนต่างเรียกเขาแบบนี้ไป
ผู้จัดการ เขาไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าจะถูกเรียกแบบนี้อีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดจริงๆ
“พยายามเข้าล่ะ”
“อ่า เหลือเวลาไม่มากแล้วนี่นา”