ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 23 ตอนที่ 2
มารุมองดูโทรศัพท์สั่นด้วยเสียงเรียกเข้า มารุจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู และปิดมันลง สายเข้า? เช้าขนาดนี้? เขาพยายามจะกลับไปนอนหลังสายนั้นตัดลง แต่เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีก เขาจึงจําใจต้องรับสาย
“สวัส…”
– ตื่นได้แล้ว ฮาน มารุ
เสียงนั้นดังมากจนทําให้เขาแสบแก้วหู มารุยื่นโทรศัพท์ออกไปไกลตัว หลังจากชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ใครกันโทรมาแบบนี้? นี่มัน 8 โมง 43 นาที องวันอาทิตย์นะ เรียกง่ายๆว่าเช้า ใครจะบ้าพอโทรมา
อ่า ยูนจัง เข้าใจล่ะ
“ตื่นแล้วครับรุ่นพี่”
เขารวมแรงลุกขึ้นจากเตียง แต่ยังไม่มีแรงพอจะพูดให้ชัดเจน เสียงของเขาราวกับผู้ป่วยที่เพิ่งรู้สึกตัว
– มาโรงเรียน
“อะไรนะครับ?”
– มาโรงเรียน
อะไร? มารุหันไปมองวันที่อีกที แน่นอน วันนี้วันอาทิตย์ ไม่ใช่วันที่นักเรียนควรไปโรงเรียนแน่
“แต่มันวันอาทิตย์นะครับ?”
– ใช่
“ใช่?”
-รู้ มาโรงเรียนได้แล้ว เข้าใจไหม? มาได้ใช่ไหม? ไม่ได้ไปโบสถ์ใช่ไหม? ดูหน้าไม่เหมือนพวกเคร่งศาสนาเท่าไหร่ใช่ไหม? ได้ใช่ไหม? มาใช่ไหม?
มารุอยากจะบอกเหลือเกินว่าให้เธอพักหายใจสักหน่อย แต่เขากลับเลือกคําตอบอีกอย่าง
“ผมไปโบสถ์ครับ”
แน่นอนว่าบ้านฮานนั้นไม่เคยนับถือในศาสนา แต่วันนี้มารุกลับรู้สึกอยากได้พรจากเยซูเหลือเกิน
– จริงเหรอ?
“ใช่”
– เลิกเมื่อไหร่?
“เออ…”
ภรรยาของเขาปกติกลับมาจากโบสถ์ตอนกี่โมงนะ?
“หลังจากช่วงบ่ายทั้งหมดก็น่าจะ บ่าย 2 หรือ 3 นี่แหละ
ครับ”
– ช้าจัง
“ครับ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรนะ แต่ขอโทษด้วย”
มารุยิ้มด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ เขาไม่มีความคิดที่จะไป โรงเรียนในวันอาทิตย์ และไม่โง่พอจะใช้วันหยุดไปกับกิจกรรมที่โรงเรียนเด็ดขาด ในตอนที่เขากําลังจะวางสายนั้นเอง… น้องสาวของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมตะโกนอย่างสุดเสียง
“ออกไปหาเพื่อนก่อนนะ แม่กับพ่อก็ออกไปไหนไม่รู้ละ เขาทิ้งตั้งไว้ให้สองหมื่นวอน ฉันเอาไปครึ่งหนึ่งนะ”
ประตูปิดลงด้วยเสียงปัง มารุเอาโทรศัพท์ที่สายยังไม่ตัดขึ้นมาคุยอีกครั้ง
– มีอะไรกับโบสถ์นะ?
มารุได้แค่ถอนหายใจ
“ชั้น 5 หอประชุม?”
…
มารุมาถึงโรงเรียน โดยยังงัวเงียไม่หายดี โรงเรียน? วันอาทิตย์? บ้าบอ
“อือ”
โรงเรียนนั้นเงียบสงบ ไม่มีทางที่เด็กอาชีวะทั้งหลายจะมาโรงเรียนกันในวันหยุด
อ่ะ มีแล้วหนึ่ง มีแล้วสอง จริงๆก็มีเยอะนะเนี่ย
“เอ๋?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งผ่านเขาไปพร้อมสะพายประเป๋ากีต้าร์ เด็กสาวใส่กางเกงวอร์มหลวมๆ วิ่งไปหาเพื่อนที่สนามเองก็มีคนอยู่เหมือนกัน
“หืม”
นักเรียน ในวันอาทิตย์ ดูเหมือนพวกเขาจะมาเพื่อทํากิจกรรมชมรม เขาเห็นชมรมดนตรี ชมรมเต้น และพวกชมรมกีฬากําลังคุยกับที่ปรึกษาอยู่ น่าสนใจดี เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนจริงจังกับกิจกรรมชมรมมากขนาดนี้
“โรงเรียนในวันอาทิตย์” เขาได้ยินเสียงคนจากด้านหลัง
มันคือโดจิน มารุหันไปยิ้มอ่อนๆให้เด็กหนุ่ม
“น่า ก็พวกนั้นบอกให้เรามานี่?”
“เฮ้อ ถ้ารู้ว่าจะเป็นขนาดนี้ไม่มีทางเข้ามาแน่ล่ะ”
“ยังออกได้นะ ออกไหมล่ะ?”
“เปล่าโว้ย แค่บ่นเฉยๆ ยังไม่ทันได้ทํากิจกรรมจริงๆจังๆเลย ที่สําคัญ ผู้หญิงน่ะ… เข้าใจปะ?”
โดจินเดินนําเข้าไปด้วยรอยยิ้ม มารุได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินตามเพื่อนเข้าไป ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไปสู่ห้องประชุม แต่พอมาถึงหน้าห้อง พวกเขากลับต้องยืนตัวแข็งที่อ เพราะเสียงตะโกนแปลกๆจากข้างใน
“ย้าาาาาาา”
“อ้าาาาาา”
มารุไม่กล้าจะเปิดประตูออกดู โดจินเองก็เห็นด้วย
“เสียงอะไรนะ?”
“ไม่รู้ดิ”
“กลับละไหม?”
“ถ้าแกเข้าฉันก็ตาม”
ทั้งสองคนเปิดประตูด้วยความระมัดระวัง
“อ่า มาจนได้”
มิโซหันมาทักทาย เธออยู่ในชุดกีฬาสีดํา
***
“อ้าาาาาา”
“ดังอีก”
“อ้าาาาาา”
“อย่ากด ใช้กะบังลมช่วย”
สมาชิกชมรมต่างพากันตะโกนออกมาในห้องประชุมอย่างสุดเสียง ถึงเสียงมันอาจจะดูเหมือนเสียงกรีดร้องก็ตาม สมาชิกทั้ง 12 คนอยู่พร้อมหน้า
“เริ่มจากจุงฮยุก และเราจะค่อยๆไล่ไปทีละคน ฉันจะไปอยู่อีกฟาก พยายามอ้าปากกว้างๆ อย่าให้มีอะไรมาขวางหลอดลม ใส่แรงไปที่กะบังลม พยายามอย่ารีดเสียง ให้ใช้ลมจากช่องท้องให้มากที่สุด” มิโซบอกพร้อมกับเดินออกห่างไป “ถ้าทําเสียงแปลกๆออกมาจะโดนลงโทษ ตั้งใจเข้า”
มิโซยืนรออยู่ที่อีกฟากของห้องประชุม เธอตะโกน เริ่มได้ ออกมา จุงฮยุกเริ่มออกเสียง “อ้าาาาาา” นี่เป็นเสียงที่มารุได้ยินจากข้างนอก แต่ตอนนี้ มารุกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความบ้าคลั่งนี้แล้ว
“คุณได้รับภารกิจสนองความต้องการของจอมมาร มิโซ”
ตะโกน? เวลานี้? มารุพยายามอ้าปากให้กว้าง เขาพอรู้วิธีมาอย่างสองอย่างจากตอนเป็นผู้จัดการ เขาจึงคิดจะใช้มันตรงนี้
“ต่อไป”
เสียงของมิโซที่อยู่อีกฟากของห้อง กลับดังมากจนราวกับเธออยู่ข้างๆ มินซองเป็นคนต่อไป แต่พอเขาเริ่มออกเสียง
“ดังอีก” มิโซบอก
เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะไล่ไปจนคนสุดท้าย อิเซ
“ดี” มิโซตะโกน
แค่นี้เหรอ? แต่ตอนนั้นเอง
“ทุกคน เดินท่าเป็ดมาหาฉันเดี๋ยวนี้” เธอกล่าวพร้อม รอยยิ้ม
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 23 ตอนที่ 1
“สิ่งที่ฉันคิดจะทํามันผิดเหรอ?” เดมยังถาม
มารุตอบกลับหลังนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“ฉันเข้าใจว่าแกติดใจเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่ารูปร่างหน้าตามันไม่สําคัญ เพราะความจริงแล้วมันก็สําคัญ การมีรูปร่างหน้าตาดีก็จะทําให้ใช้ชีวิตง่ายกว่าแหละ” มาหยุดหายใจก่อนจะพูดต่อ “ฉันเห็นด้วยนะ เรื่องที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองน่ะ แต่อย่ามุ่งเน้นไปที่รูปร่างหน้าตาอย่างเดียว แกบอกว่าเกมคือวิธีการที่แกใช้หนีความเป็นจริงใช่ไหม? ก็อาจใช่ แต่นั่นเอง มันก็เป็นส่วนหนึ่งของแก สิ่งที่แกให้เวลากับมันไปมากมายมหาศาล มันไม่ผิดหรอกนะถ้าคิดจะหันมาสนใจกีฬามากกว่า แต่การตัดสินใจอะไรไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ มันไม่เคยส่งผลดี ถ้าสุดท้ายแกถูกคนล้อว่าเป็นไอ้แห้งไม้เสียบผีอีกล่ะ? ถ้าโดนว่าแบบนั้นก็จะกลับมากินให้อ้วนเหมือนเดิมเหรอ? ยังไงเสีย มันก็ไม่มีจุดจบที่สวยงามหรอก”
มารุหยุดพูดไปชั่วครู เรื่องนี้มันเป็นอะไรที่พูดออกมาได้ยาก เพราะมันไม่มีคําตอบที่ถูกต้องตายตัว จะให้เดมยังใช้ชีวิตโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างก็คงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องปฏิบัติตัว ตามที่คนรอบข้างบอกไปเสียทุกอย่าง เดมยังต้องหาจุดสมดุลและรักษามัน นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายออกมาเป็นคําพูดได้ง่ายๆ มันเป็นสิ่งที่คนเราต้องได้ประสบเจอเข้ากับตัวเท่านั้น
“เดมยัง”
“ว่าไง?”
“แค่ทําตามสามสิ่งนี้ก็พอ อย่างแรกอย่าดูถูกตัวเอง ถ้ามีใครมาพูดล้ออะไร แค่บอกให้มันหยุดเสีย อย่างที่สอง ชื่นชมตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย แม้จะเป็นเรื่องอะไรเล็กๆก็ตาม อย่างสุดท้ายนี้ เป็นสิ่งที่ครูฝึกมิโซเองก็เคยพูด ดูแลเสียงของตัวเองให้ดี เวลาพูด จงพูดให้ดัง ดังพอที่ตัวเองจะได้ยินมันอย่างชัดเจน”
“…อืม ได้ จะทําตาม”
“มันเป็นแค่สิ่งที่ฉันคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เพราะงั้นไม่ต้องทําตามให้ตรงเป๊ะก็ได้นะ”
มารุหันหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า เขาพูดคําแนะนําเหล่านี้ออกมาจากประสบการณ์ชีวิตของเขา แต่เขาไม่แน่ใจหรอกว่าคําพูดเหล่านี้จะเป็นคําแนะนําที่ดีได้ไหม อย่างน้อยๆ เดมยังก็ดูท่าทางโล่งขึ้นมาบ้างแล้ว
“ฉันจะทําได้ไหม? นายว่าฉันจะกลายเป็นคนแบบนั้นได้ ไหม?”
“บอกแล้วไง ว่าคนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆหรอก สิ่งที่เองได้ไหมกันทีหลัง”
มารุตบแผ่นหลังของเดมยังเบาๆ เขานั้นชอบให้คําปรึกษา เขาทํามันมามากมายหลายครั้งในชีวิตครั้งก่อน ประสบการณ์เหล่านั้นเองก็มีประโยชน์กับชีวิตนี้เช่นกัน
“ไปกันเถอะ หนาวมากแล้ว”
“ได้”
“เฮ้ย โดจิน กลับเถอะ”
“เออ”
แม้อากาศจะหนาวเย็น แต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นในจิตใจ
***
เดมยังเดินกลับบ้านของตัวเอง ห้องครัวยังมีแสงไฟลอดออกมา คนที่อยู่ด้านในคือแม่ของเขา
“กลับมาแล้วเหรอ?”
“อ่า”
“ดึกแล้ว ไปนอนไป”
“อืม”
แม่หันกลับเดินกลับเข้าห้องตัวเอง แต่เดมยังก็เรียกเธอจากด้านหลัง
“ผมจะเปลี่ยน”
นั่นคือความมุ่งมั่นของเขา ถึงมันจะน่าอาย แต่เขาก็อยากจะบอกกับแม่ไว้ เพราะเขายังจําใบหน้าของแม่ที่ร้องไห้หลังรู้ เรื่องเขาโดนแกล้งได้ดี เธอถึงขนาดที่ว่ายอมให้เขาย้ายมาโรงเรียนนี้ ที่ดูแย่กว่าโรงเรียนเดิมที่เขาตั้งเป้าไว้มาก
“แม่เองก็คงลําบากไม่แพ้กัน
เขาเห็นมันได้แล้ว ว่าแม่ของเขาห่วงใยเขามากเพียงใด
“อ-อ่า”
แม่ของเขาเดินกลับเข้าห้องไปด้วยสีหน้างุนงง มารุบอกมาว่าการเปลี่ยนตัวเองมันยาก
ถึงจะเป็นแบบนั้น
12 นาฬิกา เที่ยงคืน ปกติแล้วเขาคงยังนั่งเล่นเกมต่อ แต่วันนี้ เขาตัดสินใจที่จะเข้านอน เขาไม่ได้คิดจะเลิกเล่นเกมหรืออะไร เขาแค่ต้องการจะปรับสมดุลชีวิตให้ดี เพราะสมดุลคือสิ่งสําคัญ
“พยายามเข้า ตัวฉัน”
“อยากไปขอโทษว่ะ” โดจินบ่น
ทั้งสองคนอยู่คุยกันต่ออีกหน่อยหลังจากเดมยังกลับไปแล้ว โดจินรู้สึกผิดต่อเพื่อนของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาออกมาจากบ้าน เขาเป็นคนแกล้ง ส่วนเดมยังนั้นถูกแกล้ง แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่มันก็ไม่ช่วยให้เขาหายรู้สึกผิด
“งั้นก็ไปขอโทษ”
“ น่าอายฉิบหาย”
“การลังเลน่ะยิ่งน่าอายกว่า ที่สําคัญ ยังไงแกก็จะทําอยู่แล้วนี่?”
“ควรทํา”
“งั้นก็ไปขอโทษแล้วให้กําลังใจมันเถอะ”
“ให้ตายสิ ดันไปชี้จุดอ่อนของมันเพราะอารมณ์โกรธนิดๆหน่อยๆ ไอ้ปากหมาเอ้ย”
โดจินกลับบ้านไปด้วยความหงุดหงิด มารุดึงฮู้ดของตัวเองขึ้นและถีบจักรยานกลับบ้าน ตอนนี้ดึกมากแล้ว กว่าเขาจะมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบตี 1 เขาล้างมือและเดินกลับเข้าห้อง
แต่ก่อนหัวเขาจะถึงหมอน เขาก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู
“มารุ”
มันคือเสียงของพ่อเขา มารุลุกขึ้นและจะเดินไปเปิดประตู
“ถ้าอยากดื่ม ให้มาหัดกับพ่อ”
แค่นั้น พ่อของเขาก็เดินจากไป มารุจึงกลับไปนั่งที่เตียงด้วยรอยยิ้ม
“เหมือนเราไม่มีผิด”
เขาได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาดังที่ข้างเตียง มารุหลับตาลง วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรสําคัญเกิดขึ้น อย่างน้อยๆเขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตในวันนี้ไปอย่างไร้ค่า