ข้ามเวลาล่าฝันบทที่ 12 2

บทที่ 12 ตอนที่ 2

ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 12 ตอนที่ 2

 

* * *

 

“มาแล้วสินะ”

 

วันนี้ชมรมไม่ได้ประชุมกันที่ห้องชมรมที่ชั้น 4 แต่พวกเขาขึ้นมาอยู่ที่ห้องประชุมบนชั้น 5 และในนี้ก็มีชุดและอุปกรณ์กระจัดกระจายเต็มไปหมด

 

‘ห้องชมรมคงดูเล็กลงถนัดตาถ้าเอาของพวกนี้เข้าไปยัดไว้ในนั้นทั้งหมด’ มารุคิด เพราะห้องเองก็ไม่ได้ใหญ่มากมายอะไร ถ้านำของพวกนี้กลับเข้าไป มันอาจจะไม่มีที่พอให้คน 12 คนอยู่เสียด้วยซ้ำ

 

“พอรู้แล้วใช่ไหมว่าเราเรียกมาทำไมกัน? แต่นแต๊น”

 

ยูนจังชี้ไปที่กองชุดด้วยหน้าตาสดใส ทำให้เกนซุคต้องเอ่ยปากถามออกมา

 

“เราจะย้ายมันกลับเข้าห้องเหรอครับ?”

 

“ใช่ แต่เราต้องแยกมันก่อนนะ มันกองกันเป็นภูเขาแบบนี้เพราะเราไม่เคยเอาอะไรทิ้งไปเลย พวกมันล้ำค่ามาก แต่วันนี้เราต้องเอาของที่ไม่จำเป็นทิ้งไปบ้าง” ยูนจังพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย คงเพราะเธออยากจะเก็บพวกมันทั้งหมดไว้

 

“แล้วเราจะเลือกยังไงดีล่ะ?” มารุถาม

 

“อืม ก็ ถ้าอันไหนอยากเก็บก็ให้เอาไปไว้ทางซ้าย อันไหนอยากทิ้งก็เอาไปไว้ทางขวา”

 

“…”

 

“…”

 

หลังจบคำพูด ทั้งห้องก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบงันในชั่วพริบตา ยูนจังไม่ได้อยากจะทำมันจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย? คงโดนใครสักคนบังคับให้มาทำ และคนที่บังคับนั้นก็…

 

“แค่จัดตามสภาพความเสียหายก็พอ ถ้าชุดไหนมีรอยขาดมาก ๆ ก็เอาไปไว้ทางขวา ฉากก็เหมือนกัน ถ้ามันใช้การไม่ได้แล้วจริง ๆ ก็เอาไปวางไว้ทางขวามือ เข้าใจนะ?” จุงฮยุกบอก

 

ว่าแล้วว่าต้องเป็นเขา

 

“แน่นอนว่าของเก่า ๆ พวกนี้มันคงจะเสียหายอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นความทรงจำอันล้ำค่าของพวกเรานะ จะให้โยนมันทิ้ง…” ยูนจังพยายามจะเข้าเข้ามาพูดแทรก แต่ก็โดนจุงฮยุกเมินใส่

 

เขาดูต่างจากตอนที่มาแนะนำชมรมใหม่ ๆ มาก นี่คงเป็นตัวตนจริง ๆ ของเขา

 

“นี่ ๆ อย่าทิ้งเลยนะ ขอล่ะ?”

 

แต่บางคนหน้ามาเป็นยังไง หลังก็เป็นแบบนั้น ยิ่งกับยูนจังผู้ถือชุดพื้นบ้านอยู่ในมือคนนี้ด้วยแล้ว

 

จุงฮยุกนั้นไร้ปรานีเสียจริง ๆ เพราะเขาจับชุดโยนไปทางขวามืออย่างไร้เยื่อไย แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะชุดนั้นแทบจะกลายเป็นเศษผ้าขี้ริ้วอยู่แล้ว

 

“โห” ยูนจังโห่ไล่หลังเขา

 

จุงฮยุกถอยหายใจด้วยความอับอายก่อนจะหันหน้ามาหาปีหนึ่ง

 

“ไม่ต้องไปสนใจประธานหรอก ถ้าไม่แน่ใจให้เอามากองไว้ตรงกลาง เราจะจัดการมันต่อเอง”

 

เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นนักเรียนประเภทที่ครูชอบ

 

“เอาล่ะ รีบ ๆ จัดการให้เสร็จแล้วกลับบ้านกัน”

 

เหล่าปีหนึ่งต่างพากันลงมือทำงาน มารุและพ้องเพื่อนช่วยกันดูอุปกรณ์ประกอบฉากต่าง ๆ มีทั้งกรรไกร ช้อน และก็แท่งเหล็กปริศนาที่ดูไม่อออกว่ามีไว้ใช้ทำอะไร กองเศษเหล็กจำนวนมหาศาล ที่ถ้าเอาไปขายให้ร้านขายของเก่าคงได้เงินมาใช้ไม่น้อย

 

“โอ้ให้ตาย เยอะฉิบหาย” โดจินกล่าว

 

เดมยังเองก็ดึงเอาไม้เขี่ยเตาไฟออกมาและพูดว่า ‘อันนี้ที่บ้านยายฉันมี’ พวกเขาแสดงละครแบบไหนกันนะ? ถึงได้มีทั้งโทรศัพท์กับปลอกแขนด้วย มันเก่าแค่ไหนแล้วเนี่ย? มารุเริ่มเข้าใจความรู้สึกไม่อยากทิ้งของยูนจังขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะแม้แต่ตัวเขาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องมาก่อน ยังรู้สึกถึงความทรงจำในของแต่ละชิ้นได้เลย

 

มารุหันไปดู เขาพบกับจุงฮยุกที่นั่งจ้องกองตรงกลางอย่างลังเลใจ เขาเองก็ดูไม่อยากทิ้งมันนัก เขานั่งมองที่รูปภาพหนึ่งก่อนจะโยนมันไปทางซ้ายมือ

 

“อ่า เย้” ยูนจังกระโดดขึ้นด้วยความดีใจ

 

น่าเอ็นดู ดูใสซื่อบริสุทธิ์จริง ๆ

 

‘…อะ มารุ แกเองก็เป็นนักเรียนมัธยมปลายนะ ไม่เอาน่า’

 

มุมมองของเขามักสลับไปมาระหว่างตัวของเขาในช่วงวัยรุ่น กับตัวของเขาที่เป็นคุณลุงวัย 45 แบบนี้ไม่ได้การ เขาไม่ควรมองเรื่องรอบตัวจากมุมมองของผู้ใหญ่ เขาควรมองด้วยสายตาของวัยรุ่นอย่างที่เขาเป็น

 

“เหนื่อยหน่อยนะ”

 

“นี่ มากินข้าวกันหน่อยมา”

 

มินซองและเดนมิเดินเข้ามาในห้องพร้อมช็อกโก้พายและเครื่องดื่ม ครูที่ปรึกษาชมรมเองก็เดินเข้ามาเช่นกัน

 

“พยายามเข้าล่ะ แต่อย่าอยู่ค่ำนักนะ เข้าใจไหม? ถ้ามันค่ำจริง ๆ โทรบอกครู เดี๋ยวครูไปบอกยามให้”

 

จากนั้นครูก็เดินหายลับไป ดูเหมือนว่าคนที่ซื้อขนมมาให้ก็จะเป็นเขาเช่นกัน จะว่าไป มารุมีคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจจึงหันไปถามเดนมิ

 

“ผมได้ยินมาว่าครูเขาเป็นคนตั้งชมรมขึ้นเหรอ?”

 

“อ่า ใช่ เขาเป็นคนรวบรวมสมาชิกและตั้งชมรมขึ้นน่ะ คนที่คิดชื่อบลูสกายเองก็คือเขานะ ถ้าจะให้พูด เขาเป็นยิ่งกว่ารุ่นพี่เสียอีก เป็นสุดยอดรุ่นปู่ของเราเลย”

 

“เหรอ”

 

“คนดีเนอะ”

 

เดนมิเอาน้ำอัดลมให้ มารุรับไว้พร้อมโค้งขอบคุณ หลังจากพักกินข้าวกินน้ำ ชมรมก็กลับเข้าสู่โหมดทำงานอีกครั้ง

 

“คือ… พี่คะ”

 

คนที่กำลังแยกชุดอยู่ยกมือขึ้น เธอคือเด็กสาวร่างอวบ เธอดูมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก คิม โซยอน ใช่ไหมนะ? ยูริม เด็กสาวผมสีน้ำตาลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โซยอนเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน มารุลุกขึ้นดูเหตุการณ์ เขาเห็นว่าพวกรุ่นพี่เองก็กำลังเดินไปดูพร้อมสีหน้าที่ไม่ต่างกัน

 

“ใครทำแบบนี้เนี่ย?” ยูนจังตะโกนออกมา

 

มารุเห็นเส้นเลือดผุดขึ้นที่กลางหน้าผากของเธอได้ทันที เขาและปีหนึ่งคนอื่น ๆ ต่างพากันไปมุงดู

 

มันมีกองเสื้อผ้าเรียงรายอยู่ที่พื้น ดูสะอาดตา แต่ว่าทุก ๆ ชุดกลับมีจุดดำ ๆ อยู่ มารุก้มหน้าเพื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ

 

“รอยบุหรี่” โดจินกล่าว สมาชิกคนอื่นต่างหันกลับมามองที่เขาด้วยท่าทีตกใจ

 

“นี่ นี่ และตรงนี้ โดจินคงพูดถูก ฉันว่าน่าจะมีใครเอาบุหรี่มาจี้มัน”

 

จุงฮยุกเอาชุดหนึ่งออกมาดมดู

 

“ยังได้กลิ่นอยู่จาง ๆ”

 

พวกปีสองต่างพากันทำหน้าไม่พอใจ มารุลองคิดถึงช่วงเวลาดู… วันจันทร์ เขาได้ยินว่าพวกรุ่นพี่เอาของย้ายมาตอนวันศุกร์

 

“ตอนวันศุกร์ชุดเป็นแบบนี้อยู่แล้วรึเปล่าครับ?” เขาถาม

 

“ไม่มีทาง พวกมันยังสภาพดีอยู่ สองชุดนี้น่ะสภาพดีที่สุดเลย เพราะมันแพงมาก”

 

“หมายความว่ามันเกิดขึ้นระหว่างวันเสาร์จนถึงตอนนี้”

 

“ไม่มีทางน่า” จุงฮยุกส่ายหัว “ตอนวันเสาร์เราล็อกห้องประชุมไว้แล้ว ฉันเพิ่งปลดล็อกมันก่อนจะเข้ามากันนี่เอง”

 

“หมายความว่าต้องเป็นตอนวันศุกร์ถึงเสาร์”

 

“ใช่”

 

“และไม่มีทางที่ครูจะเข้ามาสูบบุหรี่ในนี้แน่”

 

“หมายความว่าต้องเป็นนักเรียน คงพวกปีสาม”

 

ตอนนั้นเองที่มารุย้อนนึกขึ้นมาได้ ว่าเขาเห็นพวกโดวุคกับเพื่อน ๆ ออกไปพร้อมบุหรี่ในมือ ได้ยินว่าจะมาที่หอประชุมรึเปล่านะ? จุงฮยุกเหมือนจะสังเกตเห็นสีหน้าของมารุได้

 

“รู้เรื่องอะไรเหรอ?”

 

มารุส่ายหน้า เพราะเขายังไม่อยากปรักปรำใคร

 

“เปล่าครับ แค่กำลังนึกอยู่ว่าใครมันจะมือบอนมาทำอะไรแบบนี้”

 

“เฮ้อ อย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ ชื่อเสียงชมรมการแสดงเรายิ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วด้วย ถ้าเรื่องนี้รั่วออกไป แทนที่จะช่วยหาคนร้าย มันมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงเราแย่ลงยิ่งกว่าเดิม เพราะงั้น… เงียบไว้ก่อนนะ”

 

จุงฮยุกจัดการสถานการณ์ได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทำไมหมอนี่ถึงไม่ได้เป็นประธานนะ?

 

“เราจะเอาชุดที่โดนจี้ไปไว้ทางนี้นะ มันยังพอซ่อมได้ เอาล่ะ กลับไปทำงานกันต่อ รีบ ๆ จัดการให้มันเสร็จเถอะ”

 

“ครับ/ค่ะ”

 

ห้องประชุมกลับมาเต็มไปด้วยเสียงขนย้ายข้าวของอีกครั้ง

 

ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 12 ตอนที่ 1

 

ละครเวทีเรื่องแรกที่มารุได้ดูนั้น เป็นเรื่องราวตลกขบขันของครอบครัวที่มีปัญหาครอบครัวหนึ่ง เขาซื้อตั๋วเข้าชมเมื่อตอนครั้งอยู่มหาวิทยาลัย และเข้าไปนั่งดูกับเพื่อน ๆ ในโรงละครเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

 

ตอนแรกที่เขาดู เนื้อเรื่องมันค่อนข้างจะซับซ้อนทีเดียว แต่พอลองมาคิดตามหลังจบ มันกลับช่างเรียบง่าย เรื่องราวของพ่อติดเหล้า ที่จริง ๆ แล้วไม่ได้ติด แม่ที่ชอบตะโกนเสียงดัง แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนขี้ขลาด ลูกชายพี่พูดจาสบถแทบตลอดเวลา กลับกลายเป็นคนจิตใจงาม และลูกสาวที่บอกว่าเกลียดชังครอบครัวของตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วรักครอบครัวมาก ละครเรื่องนั้นจบลงด้วยการที่ทุกคนในครอบครัวเข้าใจซึ่งกันและกันได้

 

การได้เห็นสีหน้า ท่าทาง จังหวะการหายใจ และเหงื่อที่ไหลลงมาบนหน้าของนักแสดง ทำให้มารุรู้สึกประทับใจมาก หลังจากวันนั้น มารุก็เริ่มดูละครเวทีบ่อยมาขึ้น เหตุผลที่เขาเลือกจะไปเป็นผู้จัดการทั่วไปหลังเรียนจบเอง ก็เพราะเขาชอบละครนี่ด้วย

 

“ละครเหรอ?” เขากล่าว พร้อมก้มลงมองโต๊ะตัวเอง

 

ครั้งหนึ่งเขาเคยอยากจะเป็นนักแสดงเสียเองด้วยซ้ำ ในช่วงหนึ่งมารุรู้สึกชื่นชมในตัวนักแสดงเอามาก ๆ เพราะพวกเขาช่างดูมีชีวิตชีวา สำหรับมารุที่ในหัวมีแต่เรื่องคิดหางานแล้ว พวกนั้นช่างดูสว่างไสว

 

แต่พอเขาได้รู้จักชีวิตนอกจอของเหล่านักแสดง ก็ทำให้เขายอมแพ้ในเรื่องนั้นไปทันที

 

“นี่” โดจินเรียก

 

ตอนนี้เป็นเวลาก่อนจะเริ่มคาบ 4 คาบเรียนก่อนจะพักเที่ยง

 

“วันนี้แกดูเหมือนเหม่อ ๆ นะ”

 

“ไม่ได้ดูเหมือนเหม่อ แต่เหม่ออยู่ ง่วงว่ะ”

 

“เอาล่ะ ๆ สารภาพมาดีกว่า แก…”

 

[ชักว่าวทั้งคืนเหรอ?]

 

กล่องคำพูดลอยขึ้นมาบนหัวโดจิน ทำให้มารุต้องอมยิ้มด้วยความประหลาดใจ

 

“หัวเราะอะไร?”

 

“ก็ชักไง จะถามเพื่อ?”

 

“ว่าไงนะ?”

 

โดจินทำหน้าย่นด้วยความสงสัย

 

“เออ จะว่าไป ได้ข้อความปะ?” มารุเปลี่ยนเรื่องอย่างทันควัน โชคดีที่โดจินเองก็ไม่ใช่พวกชอบตื๊ออะไร

 

“ที่เขาเรียกไปหลังเลิกเรียนเหรอ?”

 

“ใช่”

 

“ได้สิ แต่จะเรียกไปทำอะไรนะ?”

 

“ใครจะไปรู้”

 

มารุคิดเรื่องนี้ต่ออีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่สามารถนึกหาคำตอบได้ ไม่นาน คาบ 4 ก็จบลง เสียงประชาสัมพันธ์ประกาศให้ปีหนึ่งไปที่โรงอาหารได้ ทำให้เหล่าปีหนึ่งรีบวิ่งลงไปราวกับกำลังหนีภัยธรรมชาติสักอย่าง

 

“แม่ง ดูพวกวิ่งกันสิ” โดจินพูดขณะมองเพื่อน ๆ วิ่งกรูกันออกห้องไป เหลือเพียงเขากับมารุไว้ในห้อง

 

การค่อย ๆ กินกลายเป็นนิสัยของพวกเขาไปแล้ว จริง ๆ ก็ยังมีอีกคนที่เหลือยู่ในห้อง เดมยังค่อย ๆ เดินเข้ามาสบทบกับเพื่อนทั้งสองคน

 

“อ่า กลัวจริง” จู่ ๆ เดมยังก็พูดขึ้นมาลอย ๆ

 

“กลัวอะไร?” โดจินถาม

 

“เรื่องที่พวกรุ่นพี่เรียกเราไปไง”

 

“จะขี้กังวลเกินไปแล้วแกน่ะ”

 

“แต่นายก็เห็นนี่ ท่อนั่น”

 

“อ่า อันนั้นน่ากลัวจริง”

 

“คิดว่าเขาจะใช้ตีเราจริง ๆ ไหม?”

 

“ไม่มีทางหรอกน่า”

 

แต่มารุกลับพูดขัดขึ้น

 

“ถ้าเป็นจุงฮยุกก็ไม่แน่หรอกนะ”

 

“ถ้าเป็นหมอนั่นล่ะก็ อืม คงไม่แปลกเท่าไหร่”

 

โดจินและเดมยังพยักหน้ารับแทบจะพร้อมกัน

 

“เออ แล้วฉันก็ไปไล่ถามพวกปีสามเรื่องชมรมการแสดงมาแล้วนะ” โดจินบอก เรียกให้อีกสองคนเข้ามาฟังใกล้ ๆ “ดูเหมือนว่า จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นช่วงฤดูหนาวปีก่อน เพราะแบบนั้นทั้งปีสามและก็ปีสองคนอื่น ถึงได้ออกไปกันหมด”

 

“จริงเหรอ? แล้วมันมีเรื่องแบบไหนกัน?”

 

“เรื่องนี้ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะพวกรุ่นพี่เองก็ไม่ค่อยรู้กันเท่าไหร่”

 

“มีเรื่อง เหรอ”

 

มารุคิดขึ้นมาหลายความเป็นไปได้ อย่างแรก อาจจะเป็นปัญหาที่เกิดจากนักเรียนสองคนที่กำลังคบกัน แต่โรงเรียนนี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวนัก ขนาดครูเองยังบอกเลยว่ามีเด็กคบกันอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นการคบกันจึงไม่น่าใช่ปัญหา ตราบเท่าที่ไม่ทำให้การเรียนตก แม้แต่ยูนจังเองก็ไม่มีปัญหากับเรื่องนั้น ถ้าทั้งคู่ไม่ก่อเรื่องให้กับชมรมล่ะก็ งั้น… ทะเลาะกันเหรอ? หรืออาจจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น

 

“ไปถามดูไหม?”

 

“ถ้าถึงเวลาน่ะนะ”

 

“ไม่ถามจะดีกว่ามั้ง…”

 

ทั้งสามคนพูดพร้อมหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง

 

ข้ามเวลาล่าฝัน

ข้ามเวลาล่าฝัน

Score 10

Options

not work with dark mode
Reset