“เช่นนั้นพาพวกนางไปด้วยเถิด รอถึงเมืองหลินเทียนแล้วค่อยหาสถานที่ปลอดภัยให้แก่พวกนาง ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
คำกล่าวของนางทำให้สีหน้าเย็นชาของหลงเทียนอวี้อ่อนโยนลงมาก
ตรึกตรองสักครู่ก่อนจะผงกศีรษะ เขาไม่แม้แต่จะเหลือบตามองหญิงสาวซึ่งกำลังส่งเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เบื้องหน้า
“เอาล่ะ ในเมื่อพี่ใหญ่เห็นด้วยแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าสามารถติดตามพวกข้าไปได้ชั่วคราว หงอวี้ เจ้ากับน้องสาวนั่งบนรถม้าของข้าก็แล้วกัน”
หงอวี้มองหยวนหลินอย่างซาบซึ้งใจ หากมิใช่เพราะนาง คุณชายหยวนเหมยอาจบั่นคอซู่เหมยไปแล้ว
แม้ซู่เหมยจะยกยิ้มมุมปากน้อยๆ แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ลืมที่จะเอื้อนเอ่ยขอบคุณคุณชายทั้งสอง แต่สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือความคิดของเด็กสาวคนนี้ต่างหาก
เฮ้อ หวังว่าน้องสาวของนางจะคิดได้
รถม้ามีขนาดไม่ใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อต้องนั่งเพิ่มอีกสามคน นอกจากอาซิ่วที่ตัวค่อนข้างเล็กที่สุดแล้ว หงอวี้และซู่เหมยต่างต้องขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง
หลินเมิ้งหยาไม่ชอบท่าทางอ่อนแอของซู่เหมย แต่เพราะเห็นแก่หน้าของหงอวี้ ฉะนั้นนางจึงไม่ว่ากระไร
เมื่ออกจากตำบลซื่อฟางแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงออกจากรถม้าแล้วหาม้ามาตัวหนึ่งเพื่อขี่
“เลิกทำตัวน่าสงสารได้แล้ว แม้พี่เสี่ยวหยวนจะหลงกล แต่คนอื่นหาได้หลงกลเช่นเขาไม่ ท่านคือพี่หงอวี้ใช่หรือไม่ ได้โปรดดูแลน้องสาวของท่านให้ดี มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเลย”
ขณะพูด อาซิ่วหยักยิ้มน้อยๆ
“แม่นางอาซิ่ว อันที่จริง…ข้าแค่…แค่ตกใจมากไปหน่อยเท่านั้น”
ซู่เหมยยิ้มฝืดๆ อย่างลำบากใจ หยดน้ำสีใสเอ่อคลอบนดวงตาเปล่งประกายราวหยดน้ำคู่นั้น
ท่าทางน่าสงสารจับใจ นางพยายามหดตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ราวกับกำลังโดนอาซิ่วรังแก
“ตกใจ? หากตกใจแล้วทำไมจึงไม่ไปกอดขาคนอื่นเล่า? เหตุใดจึงต้องเจาะจงกอดขาพี่ต้าหยวนด้วย อีกไม่ไกลก็จะถึงเมืองหลินเทียนแล้ว เจ้ากับพี่สาวของเจ้าจะได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างสงบที่นั่น รับรองว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องราวในอดีตของพี่สาวเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่า?”
อาซิ่วฉีกยิ้มหัวเราะคิกคัก ทว่าดวงตากลับคมกริบ
“ไม่! ในเมื่อคุณชายหยวนรับข้าเอาไว้แล้ว เช่นนั้นข้าก็เป็นคนของเขา ยิ่งไปกว่านั้นนางหาใช่พี่สาวของข้าไม่ นางเป็นเพียงผู้หญิงโสโครกเท่านั้น! หากข้าไปใช้ชีวิตด้วยกันกับนางแล้วต้องกลายเป็นผู้หญิงหยำ….”
“เพียะ” เสียงดังขึ้น อาซิ่วตบหน้าซู่เหมยโดยไร้ซึ่งความปราณี
รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไป ดวงตาคมกริบประหนึ่งใบมีด
“อย่าลืมว่าเจ้าทำเรื่องอะไรลงไปบ้างตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกัน! เจ้าบอกว่านางเป็นผู้หญิงหยำฉ่า แต่หากไม่มีนางแล้วล่ะก็ ป่านนี้ไม่รู้ว่าเจ้าจะถูกขายไปอยู่ที่หอนางโลมแห่งไหนแล้ว!”
ซู่เหมยผงะจ้องอาซิ่วนิ่ง กลีบปากสั่นเทิ้ม แต่นางกลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา
อาซิ่วปรายสายตาดูแคลนไปที่ผู้หญิงสองหน้าคนนั้นเล็กน้อย บางอย่างนางก็ไม่อยากพูดออกมาให้ชัดเจน เหตุเพราะกลัวว่าคนกลางอย่างหงอวี้จะลำบากใจ
“หากไม่อยากให้ข้าพูดเรื่องนั้นออกมา เจ้าจงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเสียเถิด”
พูดจบ อาซิ่วก็หันหน้าออกนอกหน้าต่าง
แม้ป๋ายซ่าวและหงอวี้จะไม่รู้ว่าพวกนางกำลังพูดเรื่องอะไร แต่พวกนางรู้สึกได้ว่าซู่เหมยคนนี้จะต้องมิได้ใสซื่ออย่างที่แสดงออกมา
หลินเมิ้งหยาขี่ม้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย หลงเทียนอวี้และชิวอวี้ขี่ม้าขนาบซ้ายและขวา
ทั้งสามตกอยู่ในบรรยากาศเงียบขรึมชวนอึดอัด ไม่มีใครยอมเริ่มบทสนทนาก่อน
ทว่าสายตาของชิวอวี้และหลงเทียนอวี้ต่างแอบมองหลินเมิ้งหยาอยู่หลายหน บางครั้งเมื่อหันหน้ามาเจอสายตาของอีกฝ่าย พวกเขาต่างถลึงตาให้กันอย่างอดไม่ได้
“ข้ามีเรื่องอยากบอกพวกเจ้า”
หลังจากสติสัมปชัญญะของตนเองกลับมาครบถ้วน หลินเมิ้งหยาตัดสินใจที่จะเตือนชิวอวี้และหลงเทียนอวี้
“เรื่องอะไร?”
ทั้งสองเอ่ยถามพร้อมกัน ก่อนจะเงียบลงอีกหนหนึ่ง
“มีคนจับตามองข้าอยู่ เมื่อคืนข้าได้เจอกับเจ้าของของหอหุยชุนฟาง ตอนแรกคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องของข้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะรู้จักตัวตนของข้าตั้งแต่แรกแล้ว”
สีหน้าท่าทางของชิวอวี้และหลงเทียนอวี้พลันเคร่งขรึมลง พวกเขาทั้งสองล้วนติดอยู่ในวังวนแห่งการแก่งแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ดังนั้นย่อมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากล
“คนของไท่จื่อหรือ?”
หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ชิวอวี้จึงกระซิบถาม
“ไม่น่าใช่ ไท่จื่อหาใช่คนมีความอดทน เมิ้งหยา เจ้าพบเห็นสิ่งใดอีกหรือไม่?”
เมื่อพูดเรื่องสำคัญ หลงเทียนอวี้และชิวอวี้ต่างมีท่าทางจริงจัง
แม้ไท่จื่จะชอบสร้างความวุ่นวาย แต่หลงเทียนอวี้รู้จักแผนการของสองแม่ลูกคู่นั้นดี หากไท่จื่อมือยื่นมือยาวได้ถึงขนาดนี้ เช่นนั้นพวกเขาสองแม่ลูกคงไม่อาศัยจังหวะที่ฮ่องเต้กำลังประชวรไปทำการลับหลังหรอก
“บางทีอาจเกี่ยวข้องกับพวกป๋ายหลงเฮยฮู่ ข้าคิดว่าพวกเขาหาใช่เพียงกลุ่มพ่อค้ามนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน ลานลับในหุยชุนฟางมีภาพวาดประติมากรรมและตัวเรือนแกะสลักอย่างวิจิตรตระการตา สิ่งเหล่านี้ย่อมมิใช่ของที่คนธรรมดาพึงมี แม้แต่ในเมืองหลวงเองยังพบเห็นได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังได้ยินมาว่าพวกเขามิได้ครอบครองที่นั่นเพียงแห่งเดียว”
สายลมอ่อนๆ พัดกระทบใบหน้าข้างแก้มของหลินเมิ้งหยา ความร้อนอบอ้าวในร่างกายจึงลดลงไปบ้าง
ชิวอวี้และหลงเทียนอวี้ต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองเหมือนกันกับหลินเมิ้งหยา พวกเขาล้วนมีข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกันออกไป
หลังจากตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจตามติดหลินเมิ้งหยาทุกย่างก้าวเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง
“เอาล่ะ พวกเราอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย อย่างน้อยพวกเขายังไม่อยากปลิดชีวิตข้าในตอนนี้ ข้าระวังตัวมากหน่อยก็พอ ยิ่งไปกว่านั้นข้าคิดว่าพวกเขาต้องพิจารณาบางอย่างก่อนวางแผนลงมือกับข้า มิเช่นนั้นป่านนี้คงฆ่าข้าไปแล้ว”
หลินเมิ้งหยายังคงเป็นหลินเมิ้งหยา แม้อีกฝ่ายจะประสงค์ร้ายต่อนาง แต่อย่างน้อยตอนนี้นางก็หาจุดได้เปรียบพบแล้ว
หลงเทียนอวี้ผงกศีรษะลง อันที่จริงเขาเองก็คิดเหมือนกันกับนาง
ใกล้จะถึงเมืองหลินเทียนเต็มทีแล้ว หากยังอยู่ในต้าจิ้น อำนาจของเขาและสกุลหลินยังคงแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่บ้านเมืองอื่น เกรงว่าฐานะของเขาและสกุลหลินจะกลายเป็นภัยเสียมากกว่า
“ขอเพียงข้ามแม่น้ำสายนั้นไป พวกเราก็ไม่มีอันตรายอันใดแล้ว”
ชิวอวี้ที่ระแวดระวังมาตลอดทางกลับมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในคำพูดของตน
เอียงหน้ามองเขา ดวงตาหลินเมิ้งหยาฉายแววฉงน
แปลก ตอนอยู่ในสำนักหมอหลวง ชายคนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะสร้างความขุ่นเคืองให้เจ้าสำนักหมอหลวง แต่เพราะเหตุใดเมื่อถึงเมืองหลินเทียนแล้ว เขากลับมีท่าทางปลอดโปร่งโล่งใจเช่นนี้?
“อย่าถามเลย เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง”
ชิ ตัดบทเอาเสียดื้อๆ
หลินเมิ้งหยาคร้านจะเค้นถามเขาเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรชิวอวี้และหลงเทียนอวี้ล้วนเป็นคนมีคุณธรรม หากพวกเขาไม่อยากพูด ต่อให้เอามีดจ่อคอพวกเขาก็ไม่มีทางปริปาก
ทั้งสามจึงเปลี่ยนมาคุยเล่นกันแทน ขบวนการค้าเดินทางมาค่อนวันแล้ว
เมืองหลินเทียนอยู่ทางตอนใต้และมีทะเลสาบล้อมรอบทั้งสามทิศ บรรยากาศจึงค่อนข้างชื้นกว่าต้าจิ้น
ฉะนั้นระหว่างเดินทางหลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกเหมือนเดินผ่านช่วงเวลาเริ่มต้นจวบจนสิ้นฤดูวสันต์
แม้ทั้งสองแคว้นจะมิได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น แต่ถึงกระนั้นแถบชายแดนก็หาได้สร้างกำแพงกั้น หากต้องการเดินทางเข้าออกระหว่างพรมแดน เช่นนั้นจำต้องแจ้งต่อทางการทั้งสองฝ่าย
ที่นี่มีคนหลากหลายพื้นที่รวมตัวกัน ฉะนั้นจึงไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด
“หากบนโลกนี้ไร้ซึ่งสงครามและทุกแว่นแคว้นได้อยู่กันอย่างสงบเช่นนี้จะดีมากเพียงใดกัน”
หลินเมิ้งหยาเปรยออกมาพลางถอนหายใจ
แม้คุณหนูสายเลือดนักรบเช่นนางจะไม่เคยออกรบมาก่อน แต่ทว่านางได้ยินเรื่องเล่าจากบิดาและสหายร่วมรบของเขามากมายเกี่ยวกับการสูญเสียในสงคราม
แม้คำพูดไม่อาจสะท้อนความรู้สึกของเหตุการณ์ในเวลานั้นออกมาได้ แต่ท่านลุงท่านตาที่เคยมาเยือนบ้านสกุลหลินมากมายล้วนล้มหายตายจากเพราะสงคราม
ท่านพ่อเคยพานางไปยังงานศพของรองแม่ทัพคนหนึ่ง
คนทั้งตระกูลต่างร่ำไห้ปานจะขาดใจ แต่เพราะตอนนั้นนางยังสติฟั่นเฟือน ดังนั้นนางจึงมิยอมไปร่วมงานศพกับท่านพ่ออีก
หากทุกแคว้นไม่ก่อสงครามแล้วล่ะก็ บางทีพวกท่านลุงเหล่านั้นอาจยังมีชีวิตอยู่กับภรรยาและลูกหลานของตนเอง
น่าเสียดาย ตราบใดที่ยังมีความทะเยอทะยาน เช่นนั้นสงครามอันน่าสังเวชก็ยังคงไม่จบไม่สิ้น
“สักวันหนึ่งอาจเป็นเช่นนั้น แต่ความสงบสุขเช่นนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
ชิวอวี้ถอนหายใจอย่างเสียดาย เขาหลับตาลงช้าๆ
หลินเมิ้งหยาที่ไม่ค่อยเข้าใจงานในราชสำนักจึงหันไปมองเขาด้วยความสงสัย
ทว่าอีกฝ่ายกลับหัวเราะแต่ไม่ยอมอธิบาย
ถลึงตาใส่เขาอย่างอดไม่ได้ คนประเภทนี้น่ารังเกียจที่สุด เกริ่นนำเพียงครึ่ง แล้วอมพะนำอีกครึ่งไว้ไม่ยอมเปิดเผย
ท่านกัวเป็นนักเดินทางเก่าแก่ เมื่อมีเขาอยู่ กอปรกับสิ่งของล้ำค่าที่นำไปมอบให้ทางการ ไม่นานขบวนพ่อค้าก็เดินทางเข้าสู่เมืองหลินเทียน
หันหน้ากลับไป ต้าจิ้นยังอยู่ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่เมืองหลินเทียนที่อยู่ห่างไปราวสิบลี้กลับมีสีเขียวชะอุ่มของต้นไม้ใบหญ้า
“เดินทางอีกไม่ไกลจะไปถึงทิวต้นซิ่ง หากมองจากตรงนี้จะรู้สึกราวได้เห็นแนวหิมะอย่างไรอย่างนั้น งดงามยิ่งนัก”
ใบหน้าชิวอวี้เผยรอยยิ้มเริงร่าอารมณ์ดี
สายตาท่าทางไม่เหมือนแขกผู้มาเยือน แต่เหมือนคนที่ได้เดินทางกลับบ้านเสียมากกว่า
ราวกับหลินเมิ้งหยาเดาอะไรบางอย่างออกแล้ว นางกระตุกยิ้มพลางส่ายหน้า
“แต่หลังจากผ่านทิวต้นซิ่งไปแล้ว พวกเราจะไปถึงสถานที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่ง พวกเจ้าจะต้องระมัดระวังให้มาก”