โชคดีที่หาสถานที่คุมขังพวกอาซิ่วเจอแล้ว หลินเมิ้งหยาไม่อยากทำอะไรบุ่มบ่ามจนจูเหยียนนึกสงสัย
กำชับอาซิ่วอีกสองสามคำ ห้ามมิให้นางเปิดเผยกับผู้อื่นว่าพวกนางรู้จักกันมาก่อน
ท่ามกลางคนทั้งสาม มั่วฉินคือคนที่ผิดหวังที่สุด แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่เผยความรู้สึกออกมา คาดว่านางคงเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว
ทันทีที่เดินออกจากประตู หลินเมิ้งหยาชะงักอยู่กับที่
บุรุษร่างสูงท่าทางสุขุมอ่อนโยนปรากฏต่อหน้าพวกนาง
แผ่นหลังของหงอวี้และมั่วฉินแข็งทื่อ พวกนางคิดไม่ถึงเลยว่านายท่านจะมาปรากฏตัวที่นี่
“นางคือคนที่เจ้ากำลังตามหาหรือ?”
เสียงของเขาเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ทว่าดวงตาสุขุมคมกริบคู่นั้นเสมือนมองทุกสิ่งทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
หลินเมิ้งหยาครั่นคร้ามในใจ นายท่านไม่มีโทสะเลยแม้แต่น้อย แต่นางรู้ดีว่าตัวตนของนางถูกเปิดเผยแล้ว
ฉะนั้นจึงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
“ใช่ นางเป็นเพื่อนของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยนาง ข้ารู้ดีว่าคำขอร้องนี้ออกจะเกินไปสักหน่อย แต่ข้าอยากขอให้นายท่านปล่อยเพื่อนข้าไป”
แม้หงอวี้จะรู้สึกหวาดหวั่น แต่ถึงกระนั้นนางก็ยอมรับผิดเช่นเดียวกับหลินเมิ้งหยา
“นายท่าน ข้าเป็นผู้พาน้องชิงเกอมาเอง ข้าทำเพื่อช่วยน้องสาวของข้า ข้าหวังว่าท่านจะไม่ลงโทษนาง”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าหงอวี้จะยอมรับผิด
มั่วฉินลังเล แต่หลินเมิ้งหยาและหงอวี้ต่างส่ายหน้าให้นาง
เรื่องนี้มีพวกนางเป็นผู้รับผิดชอบก็เพียงพอแล้ว มั่วฉินมิจำเป็นต้องกระโจนเข้ากองเพลิงด้วย
แม้จะไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นมั่วฉินก็ยังนิ่งอยู่ด้านหลังพวกนาง
“พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเพื่อนและน้องสาวออกไป?”
แม้จะถูกคนของตนเองทรยศหักหลัง ทว่านายท่านกลับไม่มีท่าทางเดือดดาล ซ้ำน้ำเสียงยังอ่อนโยนเหมือนกำลังถามเรื่องทั่วไปแต่เพียงเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาและหงอวี้มิอาจลำพองใจ ดังนั้นพวกนางจึงพยักหน้าลง
“ดี เช่นนั้นพวกเจ้าก็พาพวกนางกลับไปเถิด”
อะไรนะ?
หลินเมิ้งหยาและหงอวี้ต่างอึ้งงัน
เมื่อครู่นายท่านว่าอะไรนะ? เขายอมให้พวกนางพาคนออกไป?
นี่…เรื่องจริงหรือ?
“จูเหยียน เจ้าจงไปปล่อยพวกนางออกมา จากนั้นพาพวกนางไปส่งเถิด มั่วฉินจงอยู่ที่นี่ก่อน”
ใบหน้าซีดเผือด จูเหยียนที่คิดว่าถูกจับได้แล้วแสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย
ทว่าเมื่อหันไปมองทางหลินเมิ้งหยาและหงอวี้อีกหน สีหน้าแตกต่างออกไปเล็กน้อย
แต่ก่อนมิเคยเจอใครรอดชีวิตออกไปได้หลังจากหักหลังนายท่าน
“ขอรับ” จูเหยียนรับคำ
ร่างกายมั่วฉินสั่นเทิ้ม แต่สุดท้ายก็ทำอย่างที่ชิงเกอเคยกล่าวเอาไว้ นางจำต้องอยู่ที่นี่เพื่อหาญาติของนางต่อไป ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นางจะต้องทำให้นายท่านเชื่อใจนางอีกครั้งให้ได้
ดังนั้นสายตาที่หันกลับมามองชิงเกอและหงอวี้เป็นหนที่สองจึงเย็นชาดุจน้ำแข็ง
หวังว่านายท่านจะเชื่อใจนาง
อาซิ่วและซู่เหมยถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว เมื่อเทียบกับซู่เหมยซึ่งกำลังตกอยู่ในอาการหวาดกลัว อาซิ่วส่งสายตาอาฆาตไปยังนายท่านและจูเหยียน
แม้นางจะไม่ถูกนำตัวไปขาย แต่ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาทำให้นางรู้สึกหม่นหมองไม่น้อย
หากหลินเมิ้งหยาไม่รั้งนางเอาไว้ เกรงว่าอาซิ่วคงพุ่งเข้าไปกัดเขาอย่างแน่นอน
“ขอบคุณนายท่านที่ทำให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริง เช่นนั้นพวกข้าขอตัวลา”
หลินเมิ้งหยาดึงอาซิ่ว หงอวี้ร้องไห้คร่ำครวญขณะโอบกอดซู่เหมย ทั้งสี่หมุนตัวเตรียมจากไป
“ช้าก่อน คุณหนูหลิน ข้ามีเรื่องอยากเตือนเจ้า”
หลินเมิ้งหยาอึ้งงัน เหตุใดเจ้าของหุยชุนฟางจึงรู้จักตัวตนที่แท้จริงของนาง?
“เชิญนายท่านพูด”
หรี่ตามองด้วยท่าทางหวาดระแวง เสียงเตือนในใจของหลินเมิ้งหยาร้องดังลั่น บางทีนางอาจประเมินหอนางโลมแห่งนี้ต่ำไปตั้งแต่แรก
“เหตุที่ข้าปล่อยเจ้าไปก็เพราะข้าติดหนี้ใครบางคน แต่คราวหน้าเจ้าอย่าได้ตกอยู่ในกำมือข้าอีกเป็นอันขาด มิใช่ว่าทุกคนจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขาแล้วยอมปล่อยเจ้าไป ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาเขาเอาไว้ให้ดี”
น้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความอำมหิตอยู่หลายส่วน
อยู่ๆ สายตาของนายท่านวาวโรจน์ไปด้วยความเคียดแค้น
หลินเมิ้งหยาขยับเท้าถอยหลังอย่างอดไม่ได้ นางมิเคยรู้จักเขามาก่อน แต่ฟังจากคำพูดของเขา เขาคงต้องการจะบอกว่ามีคนใช้หนี้บุญคุณแลกกับความปลอดภัยของนาง
คนผู้นั้นคือใครกัน?
“เขาเป็นเพื่อนของข้า ขอเพียงเขาจริงใจกับข้า ข้าจะไม่มีวันทำร้ายเขาเด็ดขาด นายท่านโปรดวางใจ”
นางเหยียดกายตรง แม้จะตกอยู่ในกำมือผู้อื่น แต่นางหาใช่ลูกพลับอ่อนที่ถูกบีบได้ง่ายๆ
“เช่นนั้นก็ดี จูเหยียน จงพาพวกนางออกไป”
ครู่ต่อมา ท่าทีของนายท่านกลับมาสงบนิ่งดั่งสายน้ำอีกครั้ง ราวกับเขามิได้แยแสเรื่องนี้แต่อย่างใด
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองเขาอีกหน ก่อนจะเดินตามจูเหยียนออกไป
แปลก มีเพื่อนของนางคนไหนรู้จักกับคนเช่นนี้ด้วยหรือ?
จูเหยียนเพียงนำทางพวกนางมาส่งที่ประตูลับ จากนั้นพวกนางจึงกลับไปยังห้องของตนเอง
ขณะนี้ท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว หลงเทียนอวี้ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง หลินเมิ้งหยารีบแต่งกายเป็นชายอีกครั้ง ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมาให้อาซิ่วฟัง
“พี่สาว ชายคนนี้หล่อเหลายิ่งนัก เขาเป็นฟู่จวินของท่านหรือ?”
อาซิ่วแปลกใจยิ่งนัก นางเอ่ยถามขณะสายตาจับจ้องชายที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง
หลินเมิ้งหยาลังเล ก่อนจะพยักหน้า มือเล็กยื่นไปหยิบยาแก้เมาป้อนใส่ปากหลงเทียนอวี้
“ท่านโชคดียิ่งนักที่มีพี่เขยหล่อเหลาถึงเพียงนี้ จริงสิ ท่านพี่ได้เจอพวกท่านลุงของข้าบ้างหรือไม่?”
แม้จะยังประหลาดใจ แต่เมื่อรู้ว่าบุรุษบนเตียงคือฟู่จวินของผู้มีบุณคุณ อาซิ่วจึงไม่กล้าหันไปมองเขาอีก แต่กลับกอดแขนหลินเมิ้งหยาพลางกระซิบถาม
“ไม่เลย ข้าเองก็เพิ่งมาถึงเมื่อวาน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องราววุ่นวายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าพาเจ้ากลับไปยังขบวนพ่อค้าก่อนดีกว่า จากนั้นให้ท่านกัวส่งข่าวไปยังขบวนการค้าของเจ้าแล้วค่อยให้ลุงของเจ้าส่งคนมารับดีหรือไม่?”
นางและหลงเทียนอวี้มิได้กลับไปหนึ่งคืนเต็มแล้ว คนอื่นยังไม่กระไร แต่คาดว่าป๋ายซ่าวจะต้องร้อนใจจนแทบสิ้นสติแล้วอย่างแน่นอน แม้อาซิ่วจะฉลาดเฉลียว แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นเพียงเด็กสาวไร้เดียงสา
หากทิ้งอาซิ่วเอาไว้ที่ตำบลซื่อฟางคนเดียว บางทีอาจถูกจับตัวไปอีก
อาซิ่วชื่นชอบหลินเมิ้งหยายิ่งนัก นางหยักยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้า ไม่ว่านางจัดการอย่างไร ตนเองก็พร้อมจะทำตาม
“เด็กคนนี้นี่ เมื่อครู่เกือบเอาชีวิตไม่รอดแท้ๆ เจ้าไม่กลัวหรือ?”
หัวใจของหลินเมิ้งหยาอ่อนยวบเมื่อได้เห็นรอยยิ้มหวานหยดย้อยของอีกฝ่าย
เด็กคนนี้แปลกยิ่งนัก ทั้งที่ตนเองถูกจับตัวไปขาย แต่กลับยังเป็นห่วงลูกชายของท่านยายตาบอดคนนั้น
กว่าจะหนีออกจากภยันอันตรายได้มิง่ายเลย แม้นางจะไม่ร้องไห้หวาดผวา แต่อย่างน้อยก็มิควรมีรอยยิ้มกว้างเช่นนี้มิใช่หรือ?
“ในเมื่อหนีออกมาได้แล้ว เหตุใดข้าต้องร้องห่มร้องไห้ด้วยเล่า? อีกอย่างตอนที่ถูกจับไป ข้าร้องไห้คร่ำครวญก็มิช่วยอะไร สู้เก็บแรงเอาไว้เพื่อหาโอกาสหนีไม่ดีกว่าหรือ?”
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะมีความคิดเช่นนี้
อาซิ่วแตกต่างจากเด็กคนอื่นจริงๆ
“อืม…”
หลงเทียนอวี้ที่อยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อย
หลินเมิ้งหยารีบหมุนตัว ในที่สุดคุณชายที่หลับสนิททั้งคืนก็ฟื้นแล้ว
มือหนายื่นไปนวดขมับที่กำลังปวดตุบๆ รสขมยังคงตลบอบอวลอยู่ในโพรงปาก ดวงตาหนักอึ้งค่อยๆ ลืมขึ้น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
เขา…อยู่ที่ไหน?
“ฟื้นแล้วหรือ? ดื่มน้ำก่อนเถิด”
หลังจากได้เห็นท่าทางของเขาเมื่อคืน หลินเมิ้งหยามิอาจไม่ดูดำดูดีเขาได้
ยามปกติเขาไม่เคยเอ่ยวาจาอ่อนหวาน แต่เมื่อร่ำสุราจนเมามายกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แม้หลินเมิ้งหยาจะมิใช่พวกออดอ้อนออเซาะ แต่นางรู้ว่าหลงเทียนอวี้ตอนมีสติย่อมไม่พูดคำเหล่านั้นออกมาอย่างแน่นอน
รับถ้วยในมือของหลินเมิ้งหยาไปโดยมิอิดออด หลงเทียนอวี้มองหน้านางนิ่ง
เมื่อคืนเขาดื่มมากเกินไป ดังนั้นจึงนึกไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
เขากวาดสายตามอง ที่นี่มิใช่โรงเตี๊ยม?
“ที่นี่คือ….”
“หอนางโลม เมื่อวานเจ้าดื่มจนเมาแล้วมาหาความสำราญที่นี่”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าหลงเทียนอวี้กลับรู้สึกตื่นตระหนก
เป็นไปได้อย่างไร? เขารีบก้มลงมองร่างกายท่อนล่างของตน แต่เมื่อเห็นว่ายังคงสวมใส่ชุดเมื่อวาน เขาจึงกระ
“เอาล่ะ เมื่อวานเจ้าเพียงแค่มานอนหลับอยู่ที่นี่เท่านั้น อย่าได้เสียเวลาพูดจาไร้สาระอยู่ที่นี่อีกเลย พวกเรารีบออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด หากสายกว่านี้อาจออกไปไม่ได้แล้ว”
หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่หลงเทียนอวี้ ท่าทางล้อเลียนเช่นนี้เปรียบเสมือนการลงโทษเขา
แม้เขาจะปฏิเสธหญิงอื่น แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นฝ่ายเดินทางมาที่นี่ก่อน หากมิใช่เพราะความจริงใจที่ได้แสดงออกมาเมื่อคืน ป่านนี้นางคงจัดการเขาไปแล้ว
ผงกศีรษะลง หลงเทียนอวี้ยังคงเป็นหลงเทียนอวี้ ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาเขาก็กลับไปมีท่าทีดั่งเดิม
หลังจากสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เขาเพิ่งสังเกตเห็นเด็กสาวอีกคนในห้อง
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาเปล่งประกายก้มๆ เงยๆ มองเขาอย่างสำรวจ
“สวัสดี ข้าชื่อว่าตงฟางซิ่ว ท่านเรียกข้าว่าอาซิ่วก็ได้ พี่เขย ร่างกายของท่านแข็งแรงยิ่งนัก พี่สาวมีวาสนาเหลือเกิน”
หลินเมิ้งหยาซึ่งกำลังดื่มน้ำเกือบสำลักน้ำตาย
เด็กคนนี้…พูดอะไรของนางกันเนี่ย!
ยามเช้าในหุยชุนฟางไม่มีความครึกครื้นอีกต่อไป อาหารและกับแกล้มที่เหลือในห้องโถงยังไม่ถูกเก็บกวาด
ราวกับได้รับคำสั่งจากนายท่าน ดังนั้นตั้งแต่ทางเดินบนชั้นสองจวบจนหน้าประตูจึงไร้ผู้คน
เดินออกจากประตู หงอวี้และหลินเมิ้งหยาหันกลับไปมองหุยชุนฟางอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลากหลาย
บางทีพวกนางอาจไม่ได้เจอมั่วฉินอีกต่อไปแล้ว
“แม่นางหงอวี้ คงถึงเวลาที่ต้องบอกลากันแล้ว”
การร่วมมือสิ้นสุดลงแล้ว ฉะนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องติดต่อกับหงอวี้อีก