แม้หงอวี้และมั่วฉินจะยังคงนึกฉงน แต่เมื่อเห็นชิงเกอดื่มกินอย่างมิใส่ใจ พวกนางจึงทำได้เพียงสะกดกลั้นความกระวนกระวายในใจเอาไว้
ถึงอย่างไรตอนนี้พวกนางก็อับจนหนทาง สู้เก็บเรี่ยวแรงและเตรียมตัวอย่างที่ชิงเกอบอกจะดีกว่า
หลังจากกินเสร็จ หลินเมิ้งหยาเทชาลงถ้วยของตนเอง ก่อนจะเหยียดขาเอนกายนั่งลงบนเก้า มุมปากหยักยิ้มน้อยๆ สายตาจับจ้องประตู
อย่างน้อยนางก็มิจำเป็นต้องสงวนท่าทีเมื่ออยู่ที่นี่ แม้ตอนอยู่จวนอวี้นางจะสามารถทำอะไรตามใจอยากได้ก็ตาม
หลังจากกินข้าวเสร็จไปได้ไม่นาน ด้านนอกพลันมีเสียงการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
หลินเมิ้งหยาไม่ขยับเขยื้อน แสร้งทำท่าทางไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด แต่กลับถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เฮ้อ พวกเจ้าคิดว่านายท่านจะอนุญาตใต้เท้าจูเหยียนหรือไม่?”
หงอวี้และมั่วฉินรอคำสั่งต่อไปของนางอยู่นานแล้ว เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกนางจึงให้ความร่วมมือกับหลินเมิ้งหยาอย่างเต็มที่
“ข้าว่าไม่ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสินค้าชั้นดีจากเมืองเลี่ยหยุน ทำกำไรได้มากทีเดียวเชียว แม้นางจะทำให้ใต้เท้าจูเหยียนต้องขุ่นเคือง แต่ข้าว่าคงไม่ถึงกับทำให้นายท่านมีโทสะได้”
หงอวี้จงใจเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางเสียดาย ทั้งสามแสร้งพูดคุยเล่นแลกเปลี่ยนความคิดกัน
หากไม่จัดการนางเด็กคนนั้น เช่นนั้นจูเหยียนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่จูเหยียนกลับไม่มีอำนาจมากพอที่จะจัดการนาง
“เพล้ง” เสียงดังบาดหูราวกับกล่องข้าวที่ด้านนอกถูกเตะกระจายอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานใบหน้านิ่วคิ้วขมวดของจูเหยียนพลันปรากฏต่อหน้าพวกนางทั้งสามด้านหน้าประตูห้อง
“ไอหยา ที่แท้ก็ใต้เท้าจูเหยียนนี่เอง ใต้เท้าได้โปรดอภัยด้วย พวกเราไม่รู้ว่าท่านอยู่ด้านนอก”
หลินเมิ้งหยารีบแสดงท่าทางหวาดกลัวแต่กลับจริงใจ แม้จริงๆ แล้วจะแอบหัวเราะในใจก็ตาม
เพียงได้เห็นสีน้าจูเหยียนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเพิ่งถูกนายท่านต่อว่า แม้จะหลุบตาต่ำ แต่เกรงว่าความเกลียดชังที่มีต่ออาซิ่วจะต้องทวีคูณมากขึ้นอย่างแน่นอน
ดี ดูเหมือนทุกอย่างจะอยู่ในกำมือนางแล้ว
“พวกเจ้าทั้งสามจงไปกับข้า วันนี้ข้าจะสั่งสอนนางเด็กคนนั้นให้ได้”
ส่งเสียงอำมหิต ดวงตาสีดำมีหยาดน้ำสีใสเอ่อคลอ ราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ
แต่ในขณะเดียวกันดวงตาคู่นั้นฉายแววอาฆาต แม้แต่หลินเมิ้งหยาเองก็ยังรู้สึกตกใจ
เด็กคนนี้มีจิตใจคับแคบยิ่งนัก แม้พวกนางทั้งสามจะมีส่วนผิดในการยุยงส่งเสริมเขา แต่คาดว่าในอนาคตจะต้องเติบโตเป็นบุคคลอันตรายอย่างแน่นอน!
“คือ….พวกเราเป็นเพียงนางโลมต่ำต้อย เช่นนั้นจะกล้าขัดคำสั่งนายท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”
มั่วฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจ ทว่าจูเหยียนกลับจ้องพวกนางเขม็งก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว
“หากพวกเจ้าไม่ไป ข้าจะปลิดชีวิตพวกเจ้าเพื่อระบายโทสะ!”
เมื่อได้ยินคำนี้ พวกนางก็มิกล้าเอ่ยอันใดอีก ดังนั้นจึงเดินตามหลังจูเหยียนไปยังชั้นหนึ่ง
พวกนางคาดเดาเอาไว้อย่างถูกต้องแล้ว สถานที่คุมขังเด็กสาวเหล่านั้นอยู่ในห้องท้ายสุดบนชั้นสอง
แต่เพราะที่นั่นมีคนคอยคุ้มกัน อีกทั้งยังต้องเดินอ้อมอีกสองโค้ง ฉะนั้นพวกนางทั้งสามจึงมองไม่เห็นประตูที่ผ่านไปยังลานด้านหลัง
แม้จะบอกว่าเป็นสถานที่คุมขัง แต่อันที่จริงก็เป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ลงกลอนไว้ไม่ปล่อยให้พวกนางออกมาได้เท่านั้น
ความสงสัยผุดขึ้นในใจอยู่หลายส่วน นายท่านผู้นี้เป็นคนประหลาดยิ่งนัก ในเมื่อจับตัวเด็กสาวมาได้ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่รีบขายออกไปกันเล่า?
เหตุใดจึงต้องขังพวกนางเอาไว้ในลานด้านหลัง หรือเขาจับพวกนางมาด้วยจุดประสงค์อื่น?
“นางอยู่ในห้องตรงกลาง พวกเจ้าทั้งสามจงรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปไล่คนอื่นออกไปก่อน”
ระหว่างทาง พวกคนเฝ้าประตูต่างมิกล้าเอ่ยถามสิ่งใดเพราะมีจูเหยียนเดินนำทางมา ดูเหมือนตำแหน่งของจูเหยียนจะสูงกว่าที่นางคาดเอาไว้
แปลก ทั้งที่เป็นเพียงเด็กเจ้าอารมณ์คนหนึ่งเท่านั้น
หลินเมิ้งหยา หงอวี้และมั่วฉินต่างยืนอยู่กับที่ สายตาสอดส่องบริเวณรอบๆ
เบื้องหน้าของพวกนางคือเรือนเล็กรูปทรงเดียวกับเรือนสี่ประสาน ทั้งทิศเหนือใต้ออกตกล้วนมีห้องสองห้อง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทางออกเพียงแห่งเดียวคือด้านบนชั้นสอง พวกคนคุ้มกันเรือนอยู่แต่เพียงภายนอก ไม่เข้าไปภายใน
หลินเมิ้งหยาเริ่มมองหาความเป็นไปได้ที่จะพาอาซิ่วและน้องสาวของหงอวี้ออกมา แต่ทว่าความเป็นไปได้มีไม่ถึงสิบส่วน
ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของนางที่ไม่เตรียมตัวมาให้ดี ตอนนี้แม้แต่แผนสำรองก็ไม่มี
ตอนแรกคิดว่าจะรีบหนีออกไปทันที จากนั้นรอหลงเทียนอวี้ฟื้นคืนสติสักเล็กน้อยจึงพาอาซิ่วออกจากหอนางโลม
คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางจะถูกขังเอาไว้ที่นี่
“นางเด็กสารเลว! อีกเดี๋ยวจะได้รู้กันว่าปากของเจ้าจะยังแข็งอีกหรือไม่!”
ขณะกำลังครุ่นคิด เสียงตะคอกของจูเหยียนดังออกมาจากภายในห้อง จากนั้นเขาก็ลากตัวเด็กสาวคนหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มือทั้งสองข้างของเด็กสาวถูกเชือกมัดเอาไว้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ท่าทางน่าสงสารจับใจ
“นั่นมัน…ซู่เหมย!”
หงอวี้ตื่นตระหนกเล็กน้อย มั่วฉินและหลินเมิ้งหยาพยายามรั้งตัวนางเอาไว้
โชคดีที่ความสนใจของจูเหยียนมิได้อยู่ที่พวกนาง มิเช่นนั้นเขาคงจับสังเกตได้
“ยังไม่ถึงเวลา”
หลินเมิ้งหยากระซิบปลอบหงอวี้ หงอวี้ทำได้เพียงพยักหน้าลง ขณะเดียวกันก็พยายามระงับท่าทีตื่นตระหนกของตนเอง
เด็กที่ชื่อว่าซู่เหมยถูกจูเหยียนนำตัวไปขังไว้อีกห้องหนึ่ง ส่งสายตามาทางพวกหลินเมิ้งหยา จูเหยียนพยายามขยับปากเพื่อส่งสัญญาณให้ลงมือ
“ได้ ท่านโปรดรออยู่ที่นี่”
หลินเมิ้งหยาที่ใจเย็นลงแล้วเอ่ยบอกให้จูเหยียนรอพวกนางที่ด้านนอก
โบกมืออย่างหมดความอดทน แม้จะไม่อยาก แต่สุดท้ายจูเหยียนก็ยอมรอพวกนางอยู่ด้านนอก
ห้องนี้ไม่ใหญ่ การตกแต่งธรรมดา ทว่าเด็กสาวหน้าตางดงามซึ่งถูกมัดตัวเอาไว้กับเสาเตียงเริ่มดิ้นทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว
“ไอ้เด็กตุ้งติ้ง จะหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง ข้าจะบอกเจ้าให้ รอข้ากลับมามีอิสระดังเดิมก่อนเถิด คนแรกที่ข้าจะจัดการก็คือเจ้า!บังอาจทำให้สตรีเมืองเลี่ยหยุนขุ่นเคือง มีตาหามีแววไม่!”
โอ้โห ดูท่าจะโกรธจนอดรนทนไม่ไหวแล้ว ทว่าหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกอยากหัวเราะ
รีบแก้มัดเชือก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของอาซิ่ว
“ด่าต่อไป ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า”
อาซิ่วมองนางด้วยสายตาฉงน แต่หลังจากที่พยายามตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงจำได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าคือพี่ชายที่เคยช่วยนางในตอนนั้น
อาซิ่วเป็นเด็กสาวหัวไว ดังนั้นจึงเข้าใจความหมายของนางทันที ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่เผยความรู้สึกยินดี ทว่าฝีปากกลับพ่นวาจาเลวร้ายระคายหู
“ยังจะปากแข็งอีก น้องสาว พวกเราหุยชุนฟางมิอาจปล่อยให้เจ้ากำเริบเสิบสานอีกต่อไปได้”
มั่วฉินและอาซิ่วพยายามส่งเสียงตะโกนแข่งกัน เพียงได้เห็นท่าทางของพวกนาง อาซิ่วจึงเข้าใจได้ในทันที
พยักหน้าลง อาซิ่วสงบเสงี่ยมมากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นนางจึงเริ่มส่งเสียงทรมานและตะคอกอย่างรุนแรง
“เหตุใดจึงเอะอะเช่นนี้ พวกเจ้าทำให้นางสงบปากลงมิได้หรือ!”
จูเหยียนที่ยืนอยู่ด้านนอกเอ่ยอย่างพึงพอใจ เขาครุ่นคิด ตอนนี้นางเด็กคนนั้นคงถูกจัดการไปแล้ว
สุดท้ายเขาติดกับดักของพวกหลินเมิ้งหยา หลินเมิ้งหยาและมั่วฉินเริ่มแลกเปลี่ยนข่าวคราวกับอาซิ่ว ส่วนหงอวี้ออกไปรับลมหน้าประตู
“พี่ชาย…ไม่สิ พี่สาว พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
อาซิ่วโผตัวเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา ตลอดหลายวันมานี้นางตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้มีคนมาช่วยนางแล้ว ดังนั้นนางจึงรู้สึกทั้งดีใจและประหลาดใจ
“เรื่องนี้ค่อนข้างยาว จริงสิ ท่านลุงของเจ้าเล่า? เหตุใดเจ้าจึงถูกจับมาที่นี่ได้?”
หลินเมิ้งหยาเองก็มีคำถามไม่น้อย อันที่จริงขณะที่อาซิ่วยังอยู่ในกำมือของพวกป๋ายหลงและเฮยฮู่ ย่อมเป็นโอกาสอันดีในการลงมือชิงตัวนาง
เมื่อพูดถึงลุงของตนเอง ใบหน้าของอาซิ่วฉายแววรู้สึกผิด
“วันนั้นท่านลุงตามหาข้าพบแล้ว แต่ข้าอยากให้เขาไปช่วยลูกชายของท่านยายตาบอดก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกพวกเขาพบเข้า ต่อมาข้าก็ไม่รู้อีกว่าเกิดอะไรขึ้นและเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่”
พยักหน้าลง ตอนนี้ยังมิใช่เวลาจะมามัวสนทนากัน หลินเมิ้งหยาเอ่ยกำชับอาซิ่วสองสามคำ ก่อนจะให้มั่วฉินวิเคราะห์ทางหนีทีไล่
“หากเจ้าและหงอวี้ต้องการพาพวกนางไปล่ะก็ เช่นนั้นอาซิ่วและน้องสาวของหงอวี้ต้องแสร้งว่านอนสอนง่าย ขอเพียงพวกนางสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เช่นนั้นย่อมมีโอกาสในการหลบหนี ปกติแล้วนายท่านจะไม่อยู่ที่นี่นานนัก หากนายท่านกลับไปแล้ว ข้าจะหาโอกาสปล่อยตัวพวกเจ้าออกไป”
มั่วฉินไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นจึงเสนอแผนนี้ออกมา แต่หลินเมิ้งหยากลับมิอาจยอมรับได้ เหตุเพราะไม่มีใครรู้ว่านายท่านจะไปเมื่อไหร่ แม้อาซิ่วและน้องสาวของหงอวี้จะแสร้งทำทีว่านอนสอนง่าย แต่ที่นี่คือที่ใดกับเล่า? พวกนางอาจกลายเป็นสินค้าใหม่ได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมิอาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก
“เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาเถิดว่ามีแผนการเช่นไร? ข้าไม่มีแผนการอย่างอื่นแล้ว จริงสิอาซิ่ว ในบรรดาเด็กสาวที่ถูกจับมามีใครนามว่าเสี่ยวอู่หรือไม่? ปีนี้นางน่าจะอายุราวสิบห้าปี หางตาด้านขวามีไฝหนึ่งเม็ด”
เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของมั่วฉิน อาซิ่วพยายามครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้า
“ที่นี่นอกจากข้าและซู่เหมยแล้วยังมีเด็กสาวอีกสองคน แต่ไม่มีใครมีลักษณะท่าทางอย่างที่ท่านว่า”
มั่วฉินชะงักไปครู่หนึ่ง มุมปากหยักยิ้มขมขื่นพลางพยักหน้าลง
หลินเมิ้งหยานึกขึ้นได้ อันที่จริงมั่วฉินเองก็ต้องการตามหาญาติของนาง ดังนั้นจึงเข้าร่วมแผนการกับพวกนางด้วย
แต่เพราะนางหาญาติของตนเองไม่เจอ ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไม่อยากให้นางเข้ามามีส่วนร่วมในแผนการอีก อย่างน้อยก็เพื่อปกป้องตำแหน่งของนางในหุยชุนฟาง เท่านี้มั่วฉินก็จะยังสามารถตามหาญาติของนางต่อไปได้
“เอาล่ะ พวกเจ้ารีบออกมาได้แล้ว แค่สั่งสอนนางนิดหน่อยก็พอ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต หากนายท่านโกรธขึ้นมา ข้าคงไม่ออกหน้าแทนพวกเจ้า”
บางทีอาจเพราะการแก้แค้นสำเร็จแล้ว จูเหยียนจึงใจเย็นขึ้นมาก ดังนั้นเขาจึงกลัวว่านายท่านจะพบพวกหลินเมิ้งหยา