หากฟังเพียงเสียง จูเหยียนเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง
มั่วฉินยื่นมือไปเปิดประตู นางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แก่หลินเมิ้งหยาแล้วดันร่างนางไว้ด้านหลัง
เจ้าของหอนางโลมตัวจริงอยู่ข้างใน! หลินเมิ้งหยาหวาดหวั่นยิ่งนัก เหตุเพราะคนผู้นี้จะต้องมิใช่คนที่สามารถรับมือด้วยได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน
เพียงเปิดประตูออก ความเย็นชื้นซึ่งปะปนอยู่ในอากาศทำให้สมองของหลินเมิ้งหยาปลอดโปร่ง
กลิ่นหอมฉุนและสารพิษด้านนอกทำให้ไอน้ำในอากาศไร้ซึ่งประสิทธิภาพ แม้จะไม่รู้เจ้าของหอนางโลมผู้นี้ทำได้อย่างไร แต่ก็อดจะชื่นชมในความฉลาดของเขาไม่ได้
ห้องไม่ใหญ่มากแต่กลับหรูหรางดงาม อันที่จริงเจ้าของหุยชุนฟางมิต่างอันใดจากคุณชายนักปราชญ์เลยแม้แต่น้อย
ทั้งสามเดินเข้าไปในส่วนลึกสุดของห้อง สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกนางคือชั้นวางหนังสือที่วางหนังสือแทบจะทุกประเภทเอาไว้
ด้านหลังชั้นวางหนังสือคือชายในชุดสีขาวบริสุทธิ์ แต่เพราะกองหนังสือบดบัง ดังนั้นจึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย
“นี่มันผู้หญิงโง่ที่ใดกันเล่า? เหตุใดจึงไม่รู้จักกฎระเบียบ เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิมองหน้าคุณชายของข้าอย่างนั้นหรือ!”
เสียงดูแคลนดังขึ้นที่ด้านข้าง ไม่ต้องมองหลินเมิ้งหยาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือเด็กนิสัยเสียจูเหยียนคนนั้น
ที่แท้ก็ยังเป็นแค่เด็ก ใบหน้าเอิบอิ่มนวลเนียน ดวงตากลมโต สวมชุดสีเทาหม่น กอปรกับผมทรงซาลาเปาสองลูกบนศีรษะทำให้เขาดูน่ารักยิ่งนัก
น่าเสียดาย ทัศนคติและท่าทางราวกับคนที่ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอน
หากอยู่ข้างนอก นางไม่เกรงใจเลยที่จะสั่งสอนเขาว่ามนุษย์ที่ดีควรเป็นเช่นไร
ทว่าตอนนี้ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
“ใต้เท้าจูเหยียนได้โปรดอภัยด้วย ข้าผิดเองเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยารีบแสร้งแสดงท่าทางหวาดกลัว หงอวี้และมั่วฉินต่างเหงื่อตก เหตุเพราะกลัวว่านางจะลุกขึ้นไปจัดการจูเหยียน
แต่เมื่อเห็นท่าทางเคารพนบนอบของนาง ทั้งสองจึงวางใจ
“ฮึ รู้เอาไว้ก็ดี เหตุเพราะพวกเจ้ามีทัศนคติที่ดี เช่นนั้นข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า นายท่านคิดเห็นเช่นไรขอรับ?”
จูเหยียนเอียงหน้าแล้วเข้าไปยืนข้างกายชายคนนั้นด้วยท่าทางว่านอนสอนง่าย
“เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว”
เสียงอ่อนนุ่มระคนเอ็นดูดังขึ้น แม้หลินเมิ้งหยาจะแปลกใจในท่าทีของเจ้าของหอนางโลมผู้นี้ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เงยหน้าขึ้นไปมอง
เขาเอ่ยถามมั่วฉินสองสามประโยค ราวกับเชื่อใจนางเป็นอย่างยิ่ง แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางง่ายดายขนาดนั้น
“เงยหน้า”
เสียงเปลี่ยนทิศมาตกที่นาง หัวใจหลินเมิ้งหยาหดตัว ก่อนที่ศีรษะจะค่อยๆ เงยขึ้น
กองหนังสือถูกวางไว้อีกฝั่งของโต๊ะแล้ว ใบหน้าอ่อนโยนหล่อเหลาพลันปรากฏต่อสายตาของหลินเมิ้งหยา
นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หากไม่ได้พบกันที่นี่ นางคงคิดไม่ถึงว่าชายผู้มีใบหน้าอ่อนโยนเช่นนี้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหุยชุนฟาง
ดูท่าจะตัดสินคนจากหน้าตาไม่ได้จริงๆ
เพียงได้เห็นใบหน้าของนาง ดวงตาของชายคนนั้นสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าสีหน้ายังคงเดิม เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เจ้าเป็นคนคนหยุนโจวอย่างนั้นหรือ?”
โชคดีที่หลินเมิ้งหยาเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงตอบคำถามเขาโดยไร้ซึ่งท่าทางลนลาน
“อันที่จริงข้ามิใช่คนหยุนโจวเจ้าค่ะ ได้ยินแม่เล้าเล่าว่าบ้านของข้าอยู่ที่เมืองหลวง แต่เพราะครอบครัวตกต่ำ ดังนั้นจึงถูกนำตัวมาขาย”
แม้นางจะปลอมแปลงตัวตนเป็นคนหยุนโจว แต่นางพูดภาษาถิ่นของหยุนโจวไม่ได้ ที่นี่มีพ่อค้ามาจากหลากหลายพื้นที่ นางจึงหวั่นเกรงว่าตัวตนของนางจะถูกเปิดเผย ฉะนั้นนางจึงต้องให้คำตอบคลุมเครือเช่นนี้
“โอ้? ทั้งที่เติบโตในหยุนโจว แต่เพราะเหตุใดจึงพูดภาษากลางได้ชัดนัก? พวกนางโลมที่มาจากหยุนโจวของข้าหน้าตาไม่เหมือนเจ้าเลยสักเสี้ยวเดียว”
คำพูดเปี่ยมไปด้วยข้อสงสัย ทว่ามิได้เอ่ยถามออกมาโดยตรง
หลินเมิ้งหยามองไม่ออกว่าชายคนนี้มีอุปนิสัยเช่นไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงระมัดระวังเท่านั้น
“หอนางโลมแห่งนี้หาได้ต้อนรับเพียงคนในพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมีพ่อค้าต่างถิ่นแวะเวียนเข้าออกมิต่างไปจากหอนางโลมที่ข้าเคยอยู่ หากขนาดภาษาทางการยังพูดไม่ได้ เช่นนั้นจะทำการค้าขายได้เช่นไรเล่าเจ้าคะ?”
หลินเมิ้งหยาตอบกลั้วหัวเราะ นางเชี่ยวชาญในการโกหกตาใสยิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังพูดมีเหตุและผล ไม่ว่าใครก็ต้องเชื่อ
“โอ้? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ชายคนนั้นไม่พูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เขาทำเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยถามต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่าเจ้าต้องมีความสามารถโดดเด่น นางโลมของข้าล้วนดีดสีตีเป่า ร้องรำทำเพลงได้อย่างน้อยหนึ่งถึงสองอย่าง เจ้าเป็นคนที่ได้รับการเลือกสรรจากหงอวี้และมั่วฉิน แสดงว่าฝีมือย่อมไม่ธรรมดา เช่นนั้นแสดงความสามารถของเจ้าออกมาให้ข้าดูสักหน่อยเถิด”
ที่แท้ก็ต้องการทดสอบนาง
หลินเมิ้งหยาหาใช่คนโง่ เจ้าของหุยชุนฟางเองก็เช่นเดียวกัน
ข้อแก้ตัวของนางเมื่อครู่มิได้เผยพิรุธอันใด แต่นางโลมดั่งเช่นหงอวี้และมั่วฉินล้วนได้รับการสั่งสอนมาเป็นพิเศษ
สมองของหลินเมิ้งหยารีบประมวลผลหาความสามารถพิเศษของตนเอง ก่อนจะพบว่านอกจากทักษะทางการแทพย์แล้ว นางหาได้มีความสามารถพิเศษอื่นใด
โอ้…ดูเหมือนนางจะไม่มีคุณสมบัติในการเป็นนางโลมแล้ว
แต่โชคดีที่นางเป็นคนมีไหวพริบ มุมปากหยักยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
“หอนางโลมเก่าของข้าเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ หาได้มีการเชิญอาจารย์มาฝึกสอน เมื่อเทียบกับพวกพี่สาวทั้งสองแล้ว ดูเหมือนความพิเศษที่สุดของข้าคงเป็นการรู้วิธีเอาชนะใจชาย ยิ่งไปกว่านั้นหอนางโลมเปิดเพื่อทำการค้า หาใช่การแข่งขันทักษะของสตรีไม่ หากต้องมีความสามารถมากมายขนาดนั้นจะไม่เหนื่อยหรือเจ้าคะ?”
พูดจบ มือทั้งสองข้างตั้งใจเท้าลงบนโต๊ะ กระพริบตาปริบๆ สีหน้าเย้ายวน
กอปรกับชุดเร่าร้อนที่ตนเองสวมใส่ ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามเป็นชาย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นอย่างแน่นอน
ทว่าเจ้าของหุยชุนฟางเห็นสาวงามมานักต่อนัก ฉะนั้นเขาจึงมองนางด้วยสายตาไม่ใยดี หัวคิ้วขมวดมุ่น
“เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน จูเหยียน เจ้าจงนำทางพวกนางไป”
หากหลินเมิ้งหยามองไม่ผิดแล้วล่ะก็ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนปฏิเสธท่าทางเย้ายวนของนาง
หา? อย่างน้อยนางก็เป็นหญิงงามมิใช่หรือ แม้จะไม่ถึงขั้นหญิงงามล่มเมือง แต่อย่างน้อยก็มีเสน่ห์เย้ายวนมิใช่หรือไร?
ซ้ำยังใส่ชุดเกาะอกต่ำเผยเนินอกสีขาวนวลเนียนดุจหิมะต่อหน้าเขา อีกฝ่ายควรจะรีบฉุดตัวนางเข้าในวงแขนจึงจะถูก จากนั้นขอเพียงนางชี้นิ้วสั่ง เขาก็พร้อมจะยอมทำตาม
แต่สายตาของเขาในเวลานี้กลับมีเพียงความรังเกียจ!
สวรรค์โปรด นี่มิต่างอันใดจากการปรามาสความเป็นสตรีของนาง
ขณะที่นางคิดจะล้มตัวลงไปนอนตะแคงบนโต๊ะเพื่อยั่วยวนเขาอีกหน หงอวี้และมั่วฉินรีบเข้ามาคว้าตัวนางเอาไว้
ยอบตัวคารวะแล้วลากตัวเด็กสาวไร้ยางอายคนนี้ออกจากห้อง
“พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ วันนี้ข้าจะเอาชนะเขาให้ได้!”
จูเหยียนเดินนำหน้าด้วยท่าทางภาคภูมิใจ หลังจากได้ยินเสียงร้องตะโกนของหลินเมิ้งหยา มุมปากยิ่งหยักยกมากขึ้น
มั่วฉินและหงอวี้คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะอาจหาญชาญชัยถึงเพียงนี้
เหตุเพราะกลัวจูเหยียนจะได้ยิน ดังนั้นจึงทำได้เพียงกระซิบที่ข้างหูนาง
“เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรไร้สมองเช่นนั้นอีก ข้าอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ไหนแต่ไรมามิเคยเห็นนายท่านหลงใหลในตัวนางโลมคนใดมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าอย่าได้คิดว่าเขาจะเป็นคนคุยด้วยได้ง่ายเพียงเพราะเขาไม่บันดาลโทสะออกมา หุยชุนฟางแห่งนี้มีนางโลมมากมายต้องการเอาชนะใจนายท่านเพื่อหลุดออกจากความทุกข์ทรมาน แต่สุดท้ายแล้วหากไม่ตาย พวกนางก็กลายเป็นบ้า”
ตาย? เป็นบ้า? หลินเมิ้งหยาสงบสติอารมณ์ลง
นายท่านคนนี้ไม่เหมือนพวกโหดเหี้ยมอำมหิตเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อลองตรึกตรองดูอีกหน หุยชุนฟางมิต่างจากนรกบนดินเสียด้วยซ้ำ
หรือเขาจะเป็นคนสองบุคลิก?
ขณะที่คิดจะเอ่ยถามต่อ นางพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจูเหยียนกำลังเดินนำหน้าตนเอง
หากเขาได้ยิน พวกนางคงถึงคราวอับโชคแล้ว
ไม่รู้ว่าเขากับนายท่านคนนั้นมีความสัมพันธ์เช่นไร เด็กคนนี้มีท่าทางเย่อหยิ่งยิ่งนัก ไม่ว่าใครได้เห็นคงมิชอบใจเป็นแน่
หรือจูเหยียนจะเป็นลูกชายของเขา?
หลินเมิ้งหยาไม่คิดอยากยุ่งเรื่องนี้ ทั้งสามเดินตามหลังจูเหยียนลงบันได ก่อนจะมาถึงห้องที่ถูกสร้างเรียงกันเป็นแถว
ผลักประตูเปิดออก ก่อนจะออกคำสั่ง
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจงอยู่ที่นี่ จำเอาไว้ให้ดี แม้พวกเจ้าจะเป็นนางโลมแห่งหุยชุนฟาง แต่ห้ามมิให้ออกไปเดินเตร็ดเตร่ด้านนอกเป็นอันขาด หากทำให้แขกรำคาญ พวกเจ้าทั้งสามจะต้องชดใช้”
มั่วฉินและหงอวี้รับคำ แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่มีท่าทางเคารพนบนอบเหมือนพวกนาง แต่เมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วย่อมต้องหลิ่วตาตาม
ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็อยู่ในอวนของผู้อื่น ฉะนั้นย่อมมิอาจทำอะไรตามใจอยากได้
จูเหยียนกลับออกไปด้วยความพึงพอใจ มั่วฉินรีบปิดประตูลง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี
“โชคดียิ่งนักที่วันนี้อารมณ์ของนายท่านค่อนข้างดี มิเช่นนั้นคงไม่พูดง่ายถึงเพียงนี้”
ทันทีที่จูเหยียนจากไป บรรยากาศภายในห้องพลันอึดอัด
เหตุเพราะหงอวี้และมั่วฉินล้วนเคยหลอกลวงหลินเมิ้งหยา เมื่อครู่ร่วมมือกันรับมือกับฝ่ายตรงข้ามจึงไม่คิดอะไร แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพัง พวกนางจึงไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไร
“ข้าอยากออกไปดูข้างนอก พวกเจ้าคนไหนอยากไปกับข้า?”
ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจทำลายบรรยากาศชวนอึดอัด
แม้นางจะยังคงมีโทสะเพราะถูกหลอก แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ย่อมต้องโทษนางที่ไม่ระมัดระวังให้ดี
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว การถามหาเอาความหาได้มีประโยชน์แต่อย่างใด หงอวี้และมั่วฉินยอมรับผิดแล้วอย่างไรเล่า? คนที่ออกความเห็นว่าจะมาช่วยอาซิ่วก็คือตัวนางเอง
“ข้าไป!”
มั่วฉินและหงอี้ส่งเสียงพร้อมกัน ทั้งสองมองหน้ากันและกันก่อนจะยอมโอนอ่อนให้อีกฝ่าย
ดูเหมือนพวกนางล้วนรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการร้องขอการให้อภัยจากหลินเมิ้งหยา
“พวกเจ้าไปด้วยกันกับข้าเถิด”