“ดื่มให้ตายไปเสียได้ก็ดีหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหารไปเลยก็ได้ โตป่านนี้แล้วแท้ๆ แต่กลับฟังคนอื่นพูดเพียงครึ่งคำ ซ้ำยังหนีออกมาร่ำสุราจนเมามาย ไม่รู้ว่าผีสางที่ใดเข้าสิง”
หลินเมิ้งหยาเดินออกมายืนข้างหน้าต่าง แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่มือกลับหยิบยาแก้เมามาหนึ่งเม็ด
ป๋ายซ่าวแอบหัวเราะ คนนอกเช่นนางย่อมมองออกว่าห้องหัวใจของท่านอ๋องมีเพียงพระชายา พระชายาเองก็มีเพียงท่านอ๋องเช่นเดียวกัน
แต่ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ทั้งสองจึงเข้าใจผิดกันเช่นนี้
ทั้งที่เป็นคนฉลาดเฉลียวกันทั้งคู่ แต่กลับดูโง่เขลากว่านางที่คนรับใช้มากนัก
“นายหญิงรีบมาดูนี่สิเจ้าคะ ไม่รู้ว่าจ้าวเฟยคนนั้นจะพาท่านอ๋องไปที่ใด”
หลินเมิ้งหยาเดินกลับไปมองลอดหน้าต่างอีกครั้ง ผลปรากฏว่าชายร่างกำยำทั้งสองกำลังกอดคอกันเดินไปยังทิศทางหนึ่ง
“เขาจะไปไหนก็เรื่องของเขา หาได้เกี่ยวข้องกับข้าไม่”
หลินเมิ้งหยายังคงมีโทสะอยู่เล็กน้อย ดื่มเหล้ายังไม่กระไร ไม่กลับมาพักผ่อนก็ไม่ว่า แต่นี่ยังจะออกไปเตร็ดเตร่อีกหรือ? หากพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วปวดหัวจะทำเช่นไร!
“นายหญิงอย่าหาว่าหนู่ปี้ปากมากเลยนะเจ้าคะ เหตุเพราะท่านอยู่แต่ในจวน ดังนั้นจึงอาจไม่รู้อะไรบางอย่าง แต่ก่อนพวกอันธพาลในหมู่บ้านของข้าหากได้เข้าเมืองแล้วล่ะก็ พวกเขามักจะไปดื่มเหล้าและไป…สถานที่อย่างว่า”
ใบหน้าป๋ายซ่าวแดงระเรื่อ ท่าทางกระดากอาย
หลินเมิ้งหยายังคงคิดตามไม่ทัน ดังนั้นจึงหันไปมองนางพลางเอ่ยถาม
“ที่ใด?”
ป๋ายซ่าวเริ่มกระวนกระวาย กระทืบเท้าไปมา ก่อนจะวิ่งไปกระซิบข้างหูของหลินเมิ้งหยา
“ไอหยา ก็….หอนางโลมอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
หา? หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะรู้ตัวว่าป๋ายซ่าวกำลังพูดถึงหอนางโลม
“หลงเทียนอวี้ไม่มีทางไปที่แบบนั้นหรอก”
หากเป็นที่อื่นอาจจะเป็นไปได้ แต่ไหนแต่ไรมาหลงเทียนอวี้หาใช่คนมักมากในกาม ซ้ำยังไม่เคยแม้แต่จะชายตามองดอกไม้ริมทาง
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาพลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อก่อนเถ้าแก่เหมยแห่งร้านเป่ยโหลวเองก็เคยเดินทางมาที่จวน นี่หรือนางจะมองหลงเทียนอวี้ผิดไป? อันที่จริงชายคนนี้อาจเป็นพวกเจ้าชู้ประตูดินก็ได้
สีหน้าพลันไม่หน้ามอง
แต่ไหนแต่ไรมานางรังเกียจผู้ชายมักมากเป็นที่สุด หากหลงเทียนอวี้กล้าไปหอนางโลมจริงๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นนางไม่เกรงใจเลยที่จะถีบเขาออกนอกประตูบ้าน
“ไป พวกเราไปดูกัน”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดแล้วเก็บยาแก้เมาใส่ไว้ในแขนเสื้อ
คนที่กินอาหารเย็นในโรงเตี๊ยมล้วนแยกย้ายกลับไปหมดแล้ว ฉะนั้นการหายตัวไปของหลินเมิ้งหยาจึงไม่ถูกจับตามอง
ผิดกับชิวอวี้ที่เพิ่งเดินออกจากห้องพักของตนเอง เขามองเห็นท่าทางรีบร้อนของหญิงสาวทั้งสอง หัวคิ้วขมวดเขาหากัน
บัดนี้ท้องฟ้ามืดมิดแล้ว หากพวกนางประสบอันตรายจะทำเช่นไร
ดังนั้นเขาจึงแอบตามพวกนางไปอย่างเงียบๆ เพื่อคอยปกป้องดูแล
วิ่งออกมาได้ไม่ไกลพวกหลินเมิ้งหยาก็ได้เห็นชายทั้งสองที่เดินโซซัดโซเซอยู่บนถนน
จับตามองพวกเขาตลอดทาง เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงที่หมาย โทสะของหลินเมิ้งหยาเกือบจะพวยพุ่งออกมาทันทีที่เห็นร้านเสียงดังครึกครื้นหน้าร้านประดับไว้ด้วยโคมไฟสีแดง
สุดท้ายก็เป็นหอนางโลมจริงๆ เพราะเหตุนี้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยทางการแพทย์จึงเคยกล่าวไว้ว่าชายสิบคนเจ้าชู้ไปแล้วเก้า!
หลงเทียนอวี้ตัวดี บังอาจมาหาเศษหาเลยอย่างนั้นหรือ!
ฮึ คอยดูเถิด กลับไปแล้วนางจะไม่เพียงเขียนหนังสือหย่าร้าง แต่จะหย่าขาดองค์ชายไม่รู้จักพอคนนี้ด้วย!
“ระงับโทสะก่อนเถิดเจ้าค่ะ เท่าที่ข้ามอง ท่านอ๋องเหมือนถูกจ้าวเฟยลากตัวมา มิสู้พวกเราเข้าไปลองสังเกตดูเผื่อว่าพวกเราจะเข้าใจท่านอ๋องผิดไป”
ป๋ายซ่าวสัมผัสได้ถึงบรรยากาศคุกรุ่น ดังนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง
เพียงได้เห็นท่าทางโกรธเกี้ยวของนายหญิง นางอดที่จะเสียใจไม่ได้ที่พานายหญิงมาที่นี่
หากเป็นเช่นนี้นายหญิงจะต้องโกรธจนกระทบกับร่างกายหรือไม่ก็ต้องเกิดช่องว่างระหว่างพวกเขาเป็นแน่ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของนาง
“เข้าใจผิด? ขาอยู่บนร่างกายของเขา หากเขาไม่อยากมาที่นี่ ใครจะบังคับเขาได้ พวกเราไปกันได้แล้ว ข้าไม่อยากเห็นคนหลายใจ!”
หลินเมิ้งหยาหมุนตัวกลับด้วยความโมโห ป๋ายซ่าวทำอะไรไม่ถูกจึงรีบวิ่งตามนายหญิงไป
ยิ่งคิดยิ่งโมโห สาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว หัวใจฟุ้งซ่าน
“ไอ้คนเลว! ไอ้คนเจ้าชู้! ข้ากลับไปเมื่อไหร่เราได้หย่าขาดกันแน่!”
หลินเมิ้งหยายกเท้าขึ้นถีบกำแพงระบายโทสะ คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เจ็บปวดจะเป็นตนเอง น้ำตาเกือบจะไหลออกมา
“นายหญิงของข้า ท่านโกรธได้ แต่อย่าทำร้ายตัวเองสิเจ้าคะ”
ป๋ายซ่าวเข้าไปประคองร่างหลินเมิ้งหยาอย่างเจ็บปวดใจ ก่อนจะหาก้อนหินให้นางนั่งพัก
น้ำตาเอ่อคลอ มือเล็กยื่นเข้าไปลูบขาที่น่าสงสารของตน
ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าบ้าหลงเทียนอวี้ สักวันนางจะคิดบัญชีกับเขาให้หมด!
โยนความผิดทุกอย่างให้กับหลงเทียนอวี้ แต่ยิ่งคิดหลินเมิ้งหยาก็ยิ่งโมโห
หวนคิดอีกด้านหนึ่ง แม้นางจะโมโหเจียนตาย แต่เขายังคงระเริงรมย์อยู่กับสาวงามในหอนางโลม
ขณะเดียวกัน ความคิดชั่วร้ายพลันปรากฏขึ้นในใจ
นางจะไม่มีวันยอมกลับไปอย่างหงุดหงิดเพียงคนเดียว สู้นางพาป๋ายซ่าวเข้าไปที่นั่นแล้วรอจังหวะกระชากหน้ากากที่แท้จริงเขาออกมาจะดีกว่า
ฮึ อย่างน้อยนางก็จะได้มิต้องหงุดหงิดใจเพียงคนเดียว
หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้หลงเทียนอวี้รับรู้ว่าการแอบเข้าหอนางโลมมิใช่เรื่องที่ดี อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็แสยะยิ้มเย็น
ป๋ายซ่าวที่กำลังประคองร่างหลินเมิ้งหยาพลันรู้สึกไม่ชอบมาพากล
สวรรค์โปรด นายหญิงของข้าคิดจะทำอะไรกันนี่ หรือนางจะจัดการท่านอ๋อง?
“เจ้ามานี่ อีกเดี๋ยวพวกเราจะทำเช่นนี้”
หลินเมิ้งหยาโบกมือแล้วยื่นหน้ากระซิบข้างใบหูของป๋ายซ่าวเพื่อเล่าแผนการของตนเอง
“เอ๋? จะดีหรือเจ้าคะ? หากท่านอ๋องรู้เข้า ข้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”
ยิ่งฟัง คิ้วของป๋ายซ่าวยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น
สุดท้ายป๋ายซ่าวเบิกตาโพลง ท่าทางเสมือนไม่อยากจะนึกภาพว่าหากท่านอ๋องรู้แล้วนางยังมีส่วนเดี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาจะบั่นคอตนเองหลุดจากบ่าหรือไม่
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรเขาก็ดื่มเข้าไปมากแล้ว แม้จะเห็นพวกเรา แต่หากพวกเราไม่ยอมรับเสียก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างคนเมามักพูดจาไม่น่าเชื่อถือ ยิ่งไปกว่านั้นเขารักหน้าตาของตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด เช่นนั้นเขาไม่มีทางป่าวประกาศเรื่องนี้อย่างแน่นอน! ขอเพียงเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดก็จะไม่มีใครรู้ ไป พวกเราหาวิธีการเข้าไปในนั้นกัน”
เพียงพูดถึงวิธีจัดการหลงเทียนอวี้ ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกายกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
ขาหายเจ็บกะทันหัน โทสะพลันหายไป หัวใจคิดแต่เพียงว่าอยากทำให้หลงเทียนอวี้อับอาย
พวกนางคงมิอาจผ่านเข้าประตูหน้าได้ เหตุเพราะพวกหลงเทียนอวี้จะต้องเห็นอย่างแน่นอน
ทั้งสองจึงย่องเข้าไปทางประตูหลังของหอนางโลม แต่คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีคนเฝ้าเช่นเดียวกัน
“นายหญิง ข้าว่าพวกเรากลับกันดีกว่าเจ้าค่ะ ที่นี่มิได้น่าอภิรมย์นัก”
ป๋ายซ่าวหวาดหวั่นเล็กน้อย นางหาได้มีความกล้าดังเช่นนายหญิงไม่
เมื่อก่อนท่านป้าที่อยู่ข้างบ้านเล่าว่าสถานที่เช่นนี้ล้วนเหมือนถ้ำเสือบึงมังกร หากสตรีเหยียบเข้าไปภายในมิวายจะถูกครหาต่างๆ นาๆ
ตอนนี้แม้นางจะเข้าไปกับนายหญิง แต่เพราะเรื่องเล่าที่ได้ยินมาตั้งแต่สมัยเด็กยังคงติดตรึงอยู่ในใจจนนางรู้สึกรังเกียจสถานที่เช่นนี้ไปโดยปริยาย
“มีอะไรไม่ดีกันเล่า ในเมื่อหลงเทียนอวี้มาได้ เช่นนั้นพวกเราก็มาได้เช่นกัน ที่นี่เป็นสถานบันเทิง เขามาสร้างความเบิกบานใจได้ แต่ข้ามาไม่ได้หรือ? ฮึ ห้ามพูดอะไรอีก”
หลินเมิ้งหยากลับมิได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น นางยืนแนบกำแพงเพื่อหาโอกาสเหมาะ
ไม่นานรถม้าคันหนึ่งพลันแล่นไปทางประตูหลังของหอนางโลม
ตอนแรกหลินเมิ้งหยาคิดว่าเป็นรถม้าของคุณชายสักคนที่ต้องการมาหาความสำราญแต่กลัวจะมีคนเห็นเข้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนลงจากรถม้าถึงสองคน
ทำไมถึงเป็นพวกนางเล่า?
คิ้วขมวดชนกัน นางเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่ลงจากรถม้าเป็นผู้หญิง
คนหนึ่งสวมชุดสีเหลืองไข่ อีกคนสวมชุดสีชมพูเปลือกมังคุด
แม้ลงจากรถม้าแล้วทั้งสองจะตรงเข้าไปภายในทันที แต่หลินเมิ้งหยามั่นใจว่าหนึ่งในนั้นคือาซิ่วและผู้หญิงอีกคน
แปลก เมื่อช่วงบ่ายอาซิ่วอยู่ๆ ก็หายตัวไป
เหตุใดนางจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่เล่า?
เมื่อครู่ตอนที่ลงจากรถม้า ร่างกายของพวกนางล้วนแข็งทื่อ ยิ่งไปกว่านั้นเท่าที่หลินเมิ้งหยารู้จักอาซิ่ว นางมั่นใจว่าอาซิ่วจะต้องไม่มีทางยินยอมเหยียบเข้าไปที่นั่นแน่
หรือว่า…
สมมติฐานผุดขึ้นมาในสมอง บางทีการปรากฏตัวของอาซิ่วอาจมิใช่เรื่องบังเอิญ โรงเตี๊ยมแห่งนี้จะต้องเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทางการค้าของพวกป๋ายหลงและเฮยฮู่อย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนี้จริง อาซิ่วกำลังตกอยู่ในอันตราย
คิดไม่ถึงเลยว่าคืนนี้นางจะได้เจอเข้ากับเรื่องนี้
ความสนใจของหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนไปในทันที อาซิ่วเคยเชื่อใจนางมาก ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ตงฟางสวีมิอาจช่วยอาซิ่วกลับไปได้ นั่นแสดงว่าตงฟางสวีอาจถูกพวกของป๋ายหลงซุ่มโจมตี
บางทีความบังเอิญในคราวนี้อาจเป็นความต้องการจากสวรรค์ คืนนี้นางจะต้องช่วยอาซิ่วให้ได้
ป๋ายหลง เฮยฮู่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต นางขอเข้าไปเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงคนเดียว แต่จะไม่มีวันพาป๋ายซ่าวเข้าไปเสี่ยงด้วยเป็นอันขาด
ดังนั้นนางจึงสั่งให้ป๋ายซ่าวกลับโรงเตี๊ยมไปก่อน
“ไม่เจ้าค่ะ หากข้าไป นายหญิงคนเดียวจะทำเช่นไร?”
ป๋ายซ่าวไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของหลินเมิ้งหยา หากนางรู้ นางจะต้องลากนายหญิงกลับไปด้วยอย่างแน่นอน
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหัวเราะ ก่อนจะกะพริบตาใส่นางปริบๆ
“เจ้าลองคิดดูให้ดี หลงเทียนอวี้มิอาจทำอันใดข้าได้ แต่หากเจ้าอยู่ที่นี่ บางทีเขาอาจระบายโทสะด้วยการบั่นคอเจ้า แม้ข้าจะปกป้องเจ้าได้ แต่ข้าไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ หาก…หากช่วยเอาไว้ไม่ทันเล่า? เจ้าคิดจะให้ข้าเสียใจไปตลอดชีวิตกระนั้นหรือ?”
คำขู่ของหลินเมิ้งหยามักใช้ได้ผลเสมอ
ป๋ายซ่าวจึงรับคำแต่โดยดี หลังจากกำชับนายหญิงของตนเองแล้ว นางจึงรีบกลับไปยังโรงเตี๊ยม
รอยยิ้มพลันหายไปทันทีที่ป๋ายซ่าวเดินพ้นจากแนวสายตา