“พอแล้ว! หากพวกเจ้าทั้งสองยังกล้าต่อยตีกันอีกล่ะก็ จงไสหัวกลับไปให้หมด! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
หลินเมิ้งหยาถลึงตาจ้องพวกเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
เมื่อเห็นว่าหลินเมิ้งหยาโกรธจัดแล้วจริงๆ ทั้งสองจึงรีบผละตัวออกจากกัน
แม้จะยังปรายสายตาดูแคลนให้อีกฝ่ายอยู่เนืองๆ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าแลกหมัดกันอีกต่อไป
“บอกมาว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! หากเหตุผลไม่ดีพอ พวกเจ้าได้ตายกันทั้งคู่แน่”
กัดฟันกรอด หลงเทียนอวี้และชิวอวี้เข้าใจความหมายของคำว่าตายกันทั้งคู่แน่ที่ออกมาจากปากหลินเมิ้งหยาดี
หดคอลงกะทันหันเพื่อหลบเลี่ยงสายตาอาฆาตของหลินเมิ้งหยา
ชิวอวี้ที่ถูกเรียกชื่อรีบก้มหน้ามองขาตัวเอง ท่านทางราวคนกำลังอมทุกข์
“ข้ามิได้ทำสิ่งใด อยู่ๆ เจ้าบ้านี่ก็ปรี่เข้ามาทำร้ายข้า! ข้าว่าสมองเขาต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน”
ชิวอวี้ส่งเสียงน้อยใจออกจากช่องท้อง ในเมื่อหลินเมิ้งหยาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นเขาจะร้องทุกข์ต่อหน้านาง
“ถึงคราวที่เจ้าต้องพูดแล้ว เหตุใดจึงโจมตีชิวอวี้?”
หลินเมิ้งหยาชักสายตาออกจากชิวอวี้ แล้วหันไปจ้องหลงเทียนอวี้แทน
ทว่าหลงเทียนอวี้ยังคงจ้องหน้าชิวอวี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับว่าอีกพริบตาต่อมาเขาสามารถพุ่งตัวเข้าไปหักกระดูกเขาให้ตายได้
“หลงเทียนอวี้ ข้าถามเจ้าอยู่นะ!”
ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาฉายชัดว่ากำลังโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก หลงเทียนอวี้ที่ได้เห็นถึงกับตะลึง
แต่เพราะเขาถูกหลินเมิ้งหยาจ้องเขม็ง ดังนั้นจึงต้องจำใจเอ่ยออกมา
“เขาเป็นคนส่งเจ้านั่นมา! เขาต้องการทำมิดีมิร้ายเจ้า! เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องกำจัดคนชั่วเช่นเขาทิ้ง”
“เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีข้า ข้าจะทำร้ายเมิ้งหยาด้วยเหตุใดกัน! เจ้าคงไม่มีปัญญาจับโจรคนนั้นก็เลยมาระบายอารมณ์กับข้า!”
ชิวอวี้รีบโจมตีกลับ
“เจ้าบอกว่าใครไม่มีปัญญา! เข้ามาสิ! ลองดูเถิดว่ากำปั้นของข้าจะแข็งกว่าปากของเจ้าหรือไม่!”
หลงเทียนอวี้จ้องชิวอวี้ด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต
“มาก็มา ใครกลัวเจ้ากัน!”
ชิวอวี้ไม่มีทางทนต่อเสียงยั่วยุได้ เขายอมให้หลงเทียนอวี้ฆ่าเขาให้ตายดีกว่าปล่อยให้ตนเองถูกใส่ร้าย
ดังนั้นเขาจึงกำหมัดแน่นและคิดจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้สุดกำลัง
“พอแล้ว! พวกเจ้าลองดูสิ แล้วจะได้เห็นดีกัน!”
‘เพล้ง’ ถ้วยชาถูกหลินเมิ้งหยาโยนลงพื้น
ทั้งสองจึงทำเพียงจ้องหน้ากัน แต่ไม่มีการลงไม้ลงมือเกิดขึ้น
“ข้าเชื่อใจชิวอวี้ เขาไม่มีทางทำร้ายข้า”
แม้ชิวอวี้จะมีความลับปกปิดเอาไว้ แต่พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันมากมาย ดังนั้นหลินเมิ้งหยาย่อมรู้ดีว่าความจริงใจของเขาเป็นของจริงหรือปลอม
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงหลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาเช่นนี้ หัวใจของหลงเทียนอวี้จะรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกบีบเค้น
ทั้งที่เขาพยายามเอาใจใส่ดูแลหลินเมิ้งหยาตลอดการเดินทาง แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเชื่อใจผู้อื่น มิใช่เขา
ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วทั้งหัวใจ
“เจ้าเชื่อเขา แต่ไม่เชื่อข้า?”
หลังจากพูดจบ ดวงตามองเขาหม่นหมองลงทันที
“ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้า แต่ข้าคิดว่าชิวอวี้เองก็เป็นขุนนางคนหนึ่ง ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาตัดสินอย่างมีเหตุผล สีหน้าของชิวอวี้เผยให้เห็นความโศกเศร้า อีกเพียงนิดเดียวเขาคงเข้าไปกอดแข้งกอดขาหลินเมิ้งหยาแล้ว
ทว่าหลงเทียนอวี้ไม่พูดอะไรแล้วหันหลังเดินจากไป
ในเมื่อหลินเมิ้งหยาไม่เชื่อเขา เช่นนั้นเขาจะหาหลักฐานมาเพื่อทำให้นางเชื่อว่าชิวอวี้มิใช่คนดี
“หลงเทียนอวี้กลับมาเดี๋ยวนี้!”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่โต้แย้งแล้วเดินจากไป
จริงๆ เลย เหตุใดเขาจึงไม่เข้าใจความหมายของนางกันเล่า?
“ท่านอ๋องเขา…จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
ป๋ายซ่าวเอ่ยถามด้วยความกังวล ตอนอยู่ในจวน ท่านอ๋องเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาแน่เอานอนไม่ได้ เหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนหวาดกลัวเขายิ่งนัก
แม้พระชายาจะไม่กลัวเขา แต่ดูจากท่าทางของเขาในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องโกรธมากจริงๆ
“ไปเถอะ ไปเถอะ ไปให้หมดเลยได้ยิ่งดี! ทุกครั้งมักฟังเพียงแค่ครึ่งคำ!”
หลินเมิ้งหยาเองก็โมโหเช่นเดียวกัน อันที่จริงนางมีข้อสงสัยบางอย่าง แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบ พวกเขาทั้งสองก็ทะเลาะกันจนฟ้าถล่มดินทลาย
อันที่จริงนางอยากมอบความบริสุทธิ์ให้กับชิวอวี้ก่อน จากนั้นทำให้พวกเขาคลายความโกรธแล้วปรึกษาปัญหาที่นางสงสัย
เท่านี้ก็จะได้รู้วัตถุประสงค์ของศัตรูแล้ว แต่หลงเทียนอวี้กลับไม่เข้าใจ เขาคิดเองเออเองว่านางไม่เชื่อใจเขา
คนโง่! หากนางไม่เชื่อใจเขา เช่นนั้นนางจะพยายามแก้ไขข้อข้องใจของพวกเขาทำไม
เฮ้อ หลินเมิ้งหยาลอบถอนหายใจ
หลงเทียนอวี้ผู้ใจเย็นสุขุมและเฉลียวฉลาดคนนั้นหายไปไหนแล้ว?
หลงเทียนอวี้ซึ่งกำลังเปี่ยมไปด้วยโทสะเดินลงจากบันไดมาถึงหน้าประตู
พวกคนที่เคยเห็นวิทยายุทธ์ของเขาล้วนมิกล้าเข้าไปทำให้เขาขุ่นเคือง
เพียงสายตาของเขากวาดมอง คนเหล่านั้นล้วนทำเพียงฉีกยิ้มให้
แม้ขาเกือบจะก้าวพ้นประตู แต่ด้านบนกลับไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
สาวเท้าออกนอกโรงเตี๊ยม มองซ้ายมองขวาอย่างไร้จุดหมาย
สายตาเหลือบมองชั้นสองอย่างไม่ตั้งใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไร้วี่แววของนาง ความโกรธแล่นวาบไปทั้งหัวใจ สุดท้ายเขานั่งลงที่ร้านแผงลอยนอกโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อกินเกี๊ยวน้ำ
“ท่านอยากกินอะไรหรือไม่?”
เถ้าแก่ร้านอายุราวห้าสิบกว่าเดินเข้ามาถาม แม้ลูกค้าคนนี้จะมีสีหน้าน่าสะพรึงกลัว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำกิจการ ดังนั้นจึงไม่อาจเลือกค้าขายได้
“เหล้า”
เถ้าแก่ร้านรีบไปหยิบเหล้าทันที ลูกค้าคนนี้ดูเป็นคนมีฝีมือและไม่ขาดเงินทอง
นำเหล้าขวดหนึ่งวางลงตรงหน้าเขา
ยกเหล้าเทเข้าปาก ลำคอสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าว หลงเทียนอวี้รู้สึกราวกับว่าความโกรธของตนเองไหลเวียนจากจุดตันเถียนก่อนจะแล่นวาบไปทั่วร่าง
แม้เหล้าธรรมดาราคาถูกจะไม่เลิศรสดังเช่นเหล้าในวังหลวง แต่รสชาติเฝื่อนคอสอดคล้องกับห้วงอารมณ์ของเขาในเวลานี้ยิ่งนัก
เหล้าหลายจอกไหลลงกระเพาะ อาการมึนเมาเริ่มปรากฏ
นับตั้งแต่วันที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เขามิเคยคิดหวังสิ่งใด ซ้ำน้อยครั้งนักที่หัวใจของเขาจะร้อนรุ่มถึงเพียงนี้
หัวใจเต้นระรัวราวกับกำลังจะหลุดออกมา
น้อยใจ มิอาจทำใจ ขมขื่นเมื่อถูกคนอื่นไม่เชื่อใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกหลายอย่างถาโถมประดังประเดเข้ามาในคราวเดียวกันเช่นนี้
แม้แต่เสด็จพ่อยังเคยรับสั่งว่าหัวใจเขาแข็งแกร่งดั่งหินผา
เพราะเหตุใด? แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนที่มิเคยใส่ใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้มิใช่หรือ? แต่เวลาเพียงชั่ววินาทีที่ได้ยินหลินเมิ้งหยาพูดว่านางเชื่อใจชิวอวี้และเลือกที่จะไม่เชื่อเขา เหตุใดหัวใจของเขาจึงเจ็บปวดเกินจะทานทนเช่นนี้
กระดกเหล้าเข้าปากจอกแล้วจอกเหล้า เขาไม่สังเกตเห็นกระทั่งชายที่นั่งลงตรงหน้าตนเอง
“ต้าหยวน เจ้ายังขุ่นเคืองอยู่อีกหรือ? เฮ้อ เจ้ากับชิวอวี้ล้วนเป็นพี่น้องกัน เหตุใดจึงผิดใจกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เล่า?”
หลงเทียนอวี้เงยหน้า ก่อนจะได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของจ้าวเฟย
ไอ้หมอหลวงนั่นหาใช่พี่น้องของเขา! ขณะที่หลงเทียนอวอี้คิดจะโต้เถียง เขาพลันนึกถึงเสียงกำชับของหลินเมิ้งหยาขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดของตัวเองลงไป
จริงๆ เลย! รู้เช่นนี้เขามากับหลินเมิ้งหยาแค่สองคนคงจะดีกว่า
หากไม่มีชิวอวี้ เรื่องเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น
จ้าวเฟยเข้าใจหลงเทียนอวี้ผิดไป แม้พวกเขาทั้งสองจะเป็นญาติพี่น้องกัน แต่อุปนิสัยใจคอต่างกันโดยสิ้นเชิง ในสายตาของคนนอก พวกเขาล้วนเป็นชายหนุ่มเลือดร้อน
ทว่าเขาเองก็รู้สึกแปลกใจ ทั้งที่หยวนหลินเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยที่สุดของตระกูล อีกทั้งยังอุปนิสัยใจคอเหมือนเด็กน้อย แต่เหตุใดเขาจึงแต่งงานกับฮูหยินคนนั้นแล้วเล่า
เขาเองในฐานะผู้ชายนึกอิจฉาหยวนหลินอยู่เหมือนกัน เหตุเพราะฮูหยินคนนั้นหน้าตาอ่อนหวานกิริยาวาจาอ่อนโยน นางหาใช่หญิงสาวที่ใครจะขอแต่งงานด้วยได้ง่ายๆ
บางที…เหลือบมองหยวนเหมยที่กำลังยกจอกเหล้าเข้าปากด้วยท่าทางโศกเศร้า เขายังจำคำพูดของหยวนหลินได้อย่างแม่นยำ หยวนเหมยเองก็มีใจให้กับภรรยาของน้องชายตัวเอง
หรือเพราะได้เห็นภาพหวานชื่นของน้องชายและน้องสะใภ้จึงเสียใจปานนี้?
หยิบจอกเหล้าบนโต๊ะขึ้นดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง รสชาติขมเฝื่อนบาดคอไหลรินลงกระเพาะจนเขาต้องหลับตาลง
“พวกเราล้วนไม่มีภรรยาร่วมเตียงเคียงหมอน ต้าหยวนเอ๋ย อย่าหาว่าข้าปากมากเลย แต่ถึงอย่างไรนางก็กลายเป็นภรรยาของน้องชายเจ้าไปแล้ว บนโลกใบนี้ล้วนมีสิ่งที่ทำได้และต้องรู้จักตัดใจ หากเจ้ายังคงเสียใจอยู่มาก เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาดีหรือไม่? เท่านี้เจ้าก็ไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัวแล้ว”
จ้าวเฟยรู้ดีว่าหลงเทียนอวี้เป็นพวกปากหนัก
ภรรยา…หลินเมิ้งหยาอาจมิได้จดจำคำนี้เอาไว้เลยแม้แต่เพียงครึ่งคำ ทั้งที่นางเป็นภรรยาของเขาแล้ว
แต่หลงเทียนอวี้มิอาจเอ่ยอันใดออกไปได้ เขาทำได้เพียงก้มหน้าดื่มเหล้า ไม่นานบนโต๊ะก็เหลือเพียงขวดเปล่าเท่านั้น
“อึก...เถ้าแก่ นี่คือเงินค่าเหล้า ไป ต้าหยวน ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”
แม้จ้าวเฟยจะเป็นคนคอแข็ง แต่เมื่อครู่เขาเองก็ร่ำสุราเข้าไปมากมายเช่นกัน
แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิท อยู่ๆ เขาก็อยากพาหลงเทียนอวี้ไปผ่อนคลาย
“ไป…ไปเปิดหูเปิดตา…”
หลงเทียนอวี้ที่มิเคยร่ำสุราจนเมามายมาก่อนถูกพิษเหล้าทำให้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะ เขาเดินคล้องคอจ้าวเฟยมุ่งหน้าเข้าไปในตัวตำบล
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าการกระทำทั้งหมดจะตกอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา
ไม่รู้ว่าเขากินยาผิดสำแดงอะไรไป นี่ถึงขนาดร่ำสุรากับจ้าวเฟยจนเมามายเลยกระนั้นหรือ!
แต่ไหนแต่ไรเขามิใช่คนสำมะเลเทเมา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเขาทำสิ่งใดก็ล้วนวางแผนป้องกันตัวเองก่อนเสมอ
ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นเพราะเหตุใดเขาจึงต่อยตีกับชิวอวี้ ซ้ำยังกลายเป็นพวกขี้เหล้าไปเสียอย่างนั้น
แม้จะโกรธ แต่นางก็ยังกังวลว่าเขาจะดื่มเหล้าจนเกินตัวไปหรือไม่
“นายหญิงเจ้าคะ พวกเราไปเชิญเสด็จท่านอ๋องกลับมาดีกว่าหรือไม่ แม้แต่ข้ายังมองออกเลยว่าท่านอ๋องกำลังหึง”
ป๋ายซ่าวแอบยิ้มล้อเลียนอยู่ข้างหลินเมิ้งหยา
นางมองออกว่านายหญิงเป็นห่วงท่านอ๋องเหลือเกิน