หลังจากตรวจชีพจรได้ไม่นาน คิ้วของหลินเมิ้งหยาเริ่มขมวดเข้าหากันแน่น
มองเซียวยี่ด้วยสายตาลังเล ก่อนจะยื่นมือเข้าไปคลำท่อนแขนของเขา
ใบหน้าของหลงเทียนอวี้พลันถมึงทึง
เซียวยี่ส่งเสียงกระแอมในลำคอเบาๆ ก่อนจะหดตัวเล็กน้อยราวกับว่ากำลังบาดเจ็บ แม้ในความเป็นจริงเขาจะประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่ามือนุ่มนิ่มของนางใหญ่โตขึ้นมากกว่าแต่ก่อนขนาดนี้
“เป็นเช่นไร?”
เมื่อเห็นท่าทางให้ความร่วมมือของเซียวยี่ อารมณ์ของหลงเทียนอวี้จึงดีขึ้นเล็กน้อย
เขาที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องของผู้อื่นจึงเอ่ยถามขึ้นมา
หลินเมิ้งหยามองเซียวยี่ด้วยสายตาประหลาดใจ จากนั้นรายงานผลออกมา
“เท่าที่ข้าดู กระดูกของท่านหาได้เกิดจากอาการเจ็บป่วย ฉะนั้นปัญหาจึงอยู่ที่เลือดและกล้ามเนื้อ ผลจากการตรวจร่างกายพบว่าร่างกายของท่านมีอาการป่วยด้วยโรคประหลาด ดังนั้นกระดูกจึงบิดเบี้ยว บางทีอาจรักษาให้หายได้ พี่ยี่ ท่านได้รับบาดเจ็บมานานขนาดไหนแล้ว?”
เพียงได้ยินว่าสามารถรักษาให้หายได้ เซียวยี่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงรีบตอบคำถามของหลินเมิ้งหยาในทันที
“เมื่อครึ่งปีก่อน ตอนแรกใบหน้าของข้าถูกทำลาย แต่ก้อนเนื้อเริ่มปูดโปนขึ้นมาเมื่อสามเดือนก่อน”
แสดงว่ารูปลักษณ์ของเซียวอวี้เพิ่งเปลี่ยนไปได้ไม่นาน
หลินเมิ้งหยารู้สึกยินดียิ่ง บางทีหากหาตัวการที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปเช่นนี้เจอ ชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคนนั้นอาจจะกลับมาอีกครั้ง
“ช่วงนี้ข้ายังมีงานให้ต้องจัดการ พี่ยี่โปรดรอข้าอยู่ที่นี่ หลังจากข้าทำภารกิจเสร็จจะรีบกลับมารักษาท่าน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พี่ชายของข้ากลับมายังเมืองหลวงแล้ว หากท่านไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นท่านสามารถเดินทางไปพบเขาได้ พวกเราล้วนเติบใหญ่มาด้วยกัน ข้าจะพยายามรักษาท่านให้หายดี”
หลงเทียนอวี้รู้จักหลินเมิ้งหยาดี หากนางบอกจะรักษาให้หาย นางก็จะทำเช่นนั้นจริง
หลังจากถวายการรักษาเสด็จพ่อ เขาจึงรู้สึกเชื่อใจหลินเมิ้งหยามาก
ทว่าเซียวยี่กับเหยียดยิ้มขมขื่น เขาเองก็เคยหาหมอมานับไม่ถ้วน
เขาไปหาหมอขึ้นชื่อในเมืองหลวงหลายคน แม้จะสูญเสียเงินทองไปจนหมด แต่อาการไม่เคยดีขึ้น
หลังจากพวกหมอได้เห็นใบหน้าของเขา พวกเขาต่างบอกว่าเขาเป็นพวกหลอกลวง
ไม่มีใครเอ่ยอย่างมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเขาได้เหมือนกับหลินเมิ้งหยา
“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้ปลอบโยนข้าเลย นี่คงเป็นบทลงโทษที่สวรรค์ต้องการมอบให้กับข้า ข้าได้รับความเย็นชาจากผู้อื่นมากมายนับไม่ถ้วนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เจ้าปล่อยข้าไปตามยถากรรมเถิด”
หลินเมิ้งหยามองเขา เมื่อก่อนเซียวยี่เป็นคนอ่อนโยนสง่างาม แต่ดวงตาของเขามักเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ทว่าเขาในวันนี้ไม่เหมือนก่อน อาการเจ็บป่วยชะล้างความหยิ่งทะนงของเขาไปจนหมดสิ้น
ความภาคภูมิใจถูกทำลายลง ความเย็นชาที่ต้องพบเจอทำให้เขาเข้าใจความขมขื่นของชีวิต
หลินเมิ้งหยาเลือกที่จะไม่ปลอบโยนเขาอีกต่อไป เหตุเพราะตอนนี้นางเดาว่าอาการของเขาสามารถรักษาให้หายได้
แต่นางก็มิอาจมั่นใจได้เต็มร้อย เซียวยี่อาจพูดถูกแล้ว
เซียวยี่เองก็เป็นมนุษย์ ความขมขื่นของเขาอาจมีมากกว่าหลินเมิ้งหยาเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมไม่ปิดประตู? อาฝู เจ้าไม่อยากทำงานแล้วหรือ!”
เสียงเปี่ยมไปด้วยโทสะดังขึ้นที่หน้าประตู
เซียวยี่รีบลุกขึ้นไปปิดประตูแน่น
หลินเมิ้งหยาหมุนตัวหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ผลปรากฏว่าเขาคือตงฟางสวี ดวงตาของเขาฉายแววหมดความอดทน
มือถือแส้ม้า เขาที่กำลังอารมณ์ไม่ดีจะต้องไม่ปล่อยเซียวยี่ไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
เพียงได้เห็นเสี่ยวเอ้อร์อัปลักษณ์เดินเข้าไปหา แส้มาสีเข้มในมือพลันยกขึ้นสูง
“ช้าก่อน!”
ข้อมือถูกคว้าเอาไว้ ดังนั้นมือของเขาจึงมิอาจขยับเขยื้อนได้
ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา สายตาเหลือบมองชายชุดดำที่อยู่ๆ ก็เข้ามาปรากฏตัวตรงหน้า
แม้ใบหน้าของเขาจะเย็นชา แต่คนที่อยู่ๆ ก็เข้ามาหยุดมือเขาเอาไว้ได้เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าชายคนนี้มีวิทยายุทธ์ค่อนข้างแข็งแกร่ง
หันไปสบตากับดวงตาเย็นชาคู่นั้น ก่อนจะออกแรงที่มือมากขึ้น แต่ต่อให้ตงฟางสวีทุ่มสุดแรง เขาก็มิอาจทำให้ชายชุดดำตรงหน้าขยับเขยื้อนได้
วิทยายุทธ์ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
“เถ้าแก้ตงฟาง เหตุใดจึงตีคนง่ายๆ เช่นนี้เล่า อาฝูเพียงเปิดประตูให้พวกข้าเข้ามาเท่านั้น อีกอย่างข้าเองก็นำข่าวที่ท่านต้องการที่สุดมาให้ หากข้าทำให้ท่านขุ่นเคือง ข้าต้องขออภัยท่านด้วย หากพวกข้าเข้ามารบกวนท่าน เช่นนั้นพวกข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
เสียงใสก้องกังวานดังขึ้น
หลังจากชายชุดดำปรายตามองเขาครั้งหนึ่ง เขาก็ปล่อยมือของตงฟางสวีลง
จากนั้นคุณชายหน้าตางดงามคนหนึ่งพลันเดินเข้ามาปรากฏต่อหน้าเขา
อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาซิ่ว แต่เขากลับมีท่าทางสุขุมกว่ามาก ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณชายคนนี้คือคนที่ท่านกัวพามาด้วย
เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ศัตรู สายตาของตงฟางสวีจึงอ่อนโยนลง
แต่เมื่อครู่เขาพูดว่าอะไรนะ? ข่าวที่เขาต้องการมากที่สุด หรือคุณชายที่เพิ่งจะมาถึงที่นี่เพียงวันเดียวจะรู้ข่าวที่เขาตามหาเบาะแสมาตลอดครึ่งเดือน?
แต่คุณชายทำท่าทางเหมือนกำลังจะกลับไปอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงต้องเอ่ยรั้งเอาไว้อย่างช่วยไม่ได้
“ที่แท้ก็หลานของท่านกัวนี่เอง ข้าเป็นคนหยาบกระด้าง เจ้าอย่าได้ถือสาข้าเลย”
หลินเมิ้งหยาแจ้งแก่ใจแล้วว่าตงฟางสวีคือคนที่รู้บุกรู้ถอย
ทั้งที่เมื่อครู่ยังถลึงตาโตใส่อยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับเอ่ยวาจาอ่อนน้อมเสมือนญาติมิตร
คำพูดที่หลินเมิ้งหยาตระเตรียมเอาไว้ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
คนอย่างตงฟางหาได้เหมือนคนอื่นไม่
“เถ้าแก่ตงฟางกล่าวเกินไปแล้ว เรื่องนี้พวกเราผิดเอง ตอนที่ข้ามาถึง ท่านออกไปข้างนอกพอดี ข้าจึงขอร้องอาฝูเพื่ออยู่รอสักครู่”
หลินเมิ้งหยาเป็นคนที่หากใครให้ความเกรงใจกับตนเองก่อน นางก็จะเคารพอีกฝ่ายด้วยเช่นเดียวกัน
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงผู้อาวุโสแต่กลับยอมลดทิฐิก่อน เช่นนั้นนางก็ไม่ควรบีบคั้นเขามากนัก
เห็นได้ชัดว่าตงฟางสวีรู้สึกดีกับเจ้าหนุ่มน้อยตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงฉีกยิ้มกว้าง
สั่งให้ลูกน้องของตนเองที่กำลังจ้องพวกเขาตาเขม็งกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“ฮ่า ฮ่า สายตาของเหล่ากัวหลักแหลมยิ่งนัก เขาสามารถทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ จริงสิ เจ้าบอกว่ามีข่าวจะแจ้งแก่ข้า ตกลงมันคือเรื่องอะไร? เกี่ยวข้องกับอาซิ่วหรือไม่?”
เดินนำพวกหลินเมิ้งหยามายังโต๊ะด้านในสุด ตงฟางกระซิบถามเสียงเบา
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง แต่ไม่พูดอะไร
ที่นี่มีคนมากมาย ไม่รู้ว่าจะมีคนสอดแนมอยู่หรือไม่
ตงฟางสวีเข้าใจได้ในทันที แม้เขาจะรู้สึกร้อนใจ ทว่ายังแสดงสีหน้าเป็นปกติแล้วกระซิบถาม
หลังจากได้รับคำตอบที่ต้องการ ดวงตาของตงฟางสวีเผยความดีใจ
แต่เพื่อไม่ให้ใครมองออก หลินเมิ้งหยาจึงตะโกนเสียงดัง
“ข้าได้รับคำแนะนำมาจากท่านลุงกัว ฉะนั้นจึงมารบกวนท่านตามหายาสมุนไพรเหล่านี้ให้ หากท่านไม่สามารถนำมันมาได้ เช่นนั้นคงไม่มีใครในเมืองเลี่ยหยุนสามารถนำมาได้แล้ว”
แสร้งทำท่าทางเสมือนกำลังซื้อขายยาสมุนไพร ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนที่นี่ย่อมรู้กิตติศัพท์ของท่านกัวดี
พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า ฉะนั้นคุณชายท่านนี้จึงมาหาตงฟางสวีกลางดึก เรื่องนี้นับว่ามีเหตุผล
ตงฟางสวีเข้าใจความหมายของนางในทันที ยกมือลูบเครา ก่อนจะให้ความร่วมมือในการแสดง
“ไม่มีปัญหา น้องชายเกรงใจเกินไปแล้ว ในเมื่อท่านกัวแนะนำเจ้ามา เช่นนั้นข้าจะตามหายาเหล่านั้นให้เจ้าเอง เอาแบบนี้แล้วกัน พวกเจ้าทั้งสองตามข้าเข้าไปดูตัวอย่างก่อนดีหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้สบตากัน ก่อนจะพยักหน้าลง
ท่ามกลางสายตาของทุกคน หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้เดินตามตงฟางสวีขึ้นไปบนชั้นสองห้องแรก
ทันทีที่เข้าประตูมา ตงฟางสวีรีบลงกลอนประตูด้วยความระมัดระวัง ความร้อนใจถูกแสดงผ่านทางสีหน้า
“อาซิ่วอยู่ที่ใดกัน? นางได้รับบาดเจ็บหรือไม่? หรือกำลังตกอยู่ในอันตราย?”
หลินเมิ้งหยาไม่พูดอะไร นางหยิบห่อผ้าที่ใส่ตัวหนูป๋ายเซียงออกมา
“นี่คือของที่อาซิ่วฝากข้ามอบให้กับท่าน ผู้น้อยโน้มน้าวนางให้กลับมาแล้ว แต่นางยืนยันที่จะอยู่ที่นั่นต่อ เถ้าแก่ตงฟางได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
บางทีอาจเพราะหนูป๋ายเซียงได้กลิ่นที่คุ้นเคย ดังนั้นจึงเดินออกมาจากห่อผ้าแล้วกระโดดขึ้นไปบนมือของตงฟางสวี
หลังจากได้เห็นหนูน้อย ดวงตาของตงฟางสวีพลันคลายกังวล
ลูบตัวหนูป๋ายเซียงด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยิบถั่ววางลงบนฝ่ามือ
หนูป๋ายเซียงส่งเสียง “จี๊ด จี๊ด” สองครั้ง ก่อนจะเข้าไปกินเม็ดถั่ว
“หากเจ้านี่ยังอยู่ แสดงว่าอาซิ่วยังไม่ตกอยู่ในอันตราย พวกเจ้าไปเจอนางที่ไหนกัน? นางได้รับบาดเจ็บหรือไม่? นางยังสบายดีอยู่หรือเปล่า?”
ตงฟางสวีผู้เป็นลุงรักและเอ็นดูหลานสาวอย่างหมดใจ
เพื่อตามหานาง เขาล้มเลิกการเดินทางทั้งหมด
หลินเมิ้งหยาไม่กล้าเอ่ยช้าแม้เพียงวินาทีเดียว
เพียงได้ยินว่าอาซิ่วถูกพวกป๋ายหลงลักพาตัวไป ดวงตาของตงฟางสวีพลันปรากฏความเคียดแค้น
เก็บหนูป๋ายเซียงลงในห่อผ้าแล้วแขวนเอาไว้ข้างเอว
ตงฟางสวีที่ออกตามหาหลานสาวมาตลอดทั้งคืนมิอาจทำใจปล่อยให้นางตกอยู่ในเงื้อมมือของคนเหล่านั้นได้
ทว่าเข้ากลับถูกหลินเมิ้งหยารั้งเอาไว้