“ไอ้พวกคนชั่ว! นี่พวกเขาถึงขนาดทำการค้ามนุษย์อย่างนั้นหรือ”
ทันทีที่ขาของอาซิ่วมีแรง นางก็รีบวิ่งไปที่ข้างโลงศพทันที ก่อนจะก้มลงดูใบหน้าของแต่ละคน
สุดท้ายนางก็ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง ก่อนจะอธิบายให้พวกหลินเมิ้งหยาฟัง
“ข้าขอสารภาพตามความจริง ข้าเป็นคนเมืองเลี่ยหยุนตี้ ท่านลุงของข้าทำการค้าขายยาสมุนไพร ข้าออกเดินทางมากับท่านลุงเพื่อเที่ยวเล่น เมื่อหลายวันก่อนผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ข้าพบท่านยายตาบอดท่านหนึ่งเข้า นางได้ยินมาว่าพวกข้าเป็นขบวนการค้าจากแดนไกล ดังนั้นจึงฝากเสื้อผ้าหลายชุดไปให้ลูกชายของนาง นางเล่าว่าลูกชายของนางเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในขบวนการค้าเช่นเดียวกัน ต่อมาข้าถามท่านยายว่าลูกชายของนางอยู่ในขบวนการค้าขบวนใด แต่ท่านยายกลับไม่รู้ นางรู้เพียงว่าลูกชายของนางได้รับเงินเดือนละสองตำลึง เพียงข้าได้ยินก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ต่อมาข้าเข้าไปสอบถามคนในหมู่บ้านจึงเดาว่าพวกที่มาประกาศหาคนทำงานคงเป็นพวกป๋ายหลงและเฮ่ยฮู่ ข้าเข้าไปสอบถามด้วยความหวังดี แต่ใครจะรู้ว่าคนคนนั้นจะลวนลามข้า ข้าโมโหมาจึงต่อยตีกับพวกเขา สุดท้ายก็มาอยู่ที่นี่”
อาซิ่วเล่าออกมา หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้จึงเข้าใจที่มาที่ไปในทันที
ทว่าอาซิ่วเดินตรวจสอบทุกโลง ก่อนจะทรุดตัวข้างโลงพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ ไม่ใช่ทั้งหมดเลย ท่านยายเล่าว่าลูกชายของนางมีไฝขนาดใหญ่บนใบหน้า ทำอย่างไรดี ท่านยายจะต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน”
ก้มหน้าลง ใบหน้าของอาซิ่วเผยให้เห็นถึงความผิดหวัง
บางทีนางคงรับปากกับท่านยายคนนั้นเอาไว้ว่าจะมอบเสื้อผ้าให้กับลูกชายของนาง
เมื่อเทียบกับท่านลุงบ้าระห่ำของนางแล้ว เด็กคนนี้ใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก
“ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องแบ่งรอบส่งอย่างแน่นอน เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของเจ้า บางทีอาจยังไม่ถูกส่งออกไปต่างเมือง”
หลินเมิ้งหยาไม่รู้ว่าจะปลอบใจเช่นไร อาซิ่วเป็นเด็กใจดีและใสซื่อบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่มีวิธีการปลอบโยนนาง
อาซิ่วมองคนในโลงศพ อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นแล้วเข้าไปจับแขนของหลินเมิ้งหยาพร้อมทั้งเอ่ยปากขอร้อง
“พี่ชาย อาซิ่วขอบใจท่านมากที่ช่วยเหลือ แต่หากวันนี้ข้ากลับไปกับท่าน พวกเขาจะต้องพบความผิดปกติอย่างแน่นอน ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าสักหนึ่งเรื่อง ข้าจะต้องหาลูกชายของท่านยายคนนั้นให้เจอให้ได้ ฉะนั้นหากข้ากลับลงไปนอน ท่านช่วยทำให้ข้าสลบได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กน่ารักอย่างอาซิ่วจะขอร้องเรื่องยากเช่นนี้
อีกอย่าง สาเหตุที่นางมาที่นี่ก็เพื่อลอบสำรวจสถานที่แห่งนี้เพื่อพาคนมาช่วย
แต่ตอนนี้อาซิ่วกลับร้องขอนางเช่นนี้ ฉะนั้นนางจึงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
“เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้ารู้ความปรารถนาในหัวใจของเจ้า แต่ท่านลุงของเจ้าร้อนใจยิ่งนัก เขาเกือบจะโจมตีป๋ายหลงและเฮยฮู่ก็เพราะเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนต่อ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าคงมิอาจทำใจให้สงบลงได้”
หลินเมิ้งหยาพยายามเอ่ยโน้มน้าวอาซิ่ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าลำบากใจของนางทำให้หลินเมิ้งหยาไม่อาจพูดอะไรได้อีก
“อาซิ่วรู้เจ้าค่ะ แต่พี่ชาย…ท่านยายสูญเสียดวงตาไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าลูกชายของนางเป็นตายร้ายดีเช่นไร หากท่านยายล่วงรู้ความจริง นางจะต้องโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ในเมื่อข้ารับปากกับท่านยายแล้ว เช่นนั้นข้าจะต้องทำให้ได้ ท่านวางใจเถิด ข้าไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย พวกเราคนเมืองเลี่ยหยุนล้วนใช้พิษเป็นตั้งแต่เกิด พวกเขาคิดหรือว่าเอาถุงสมบัติข้าไปแล้ว ข้าจะไม่อาจใช้พิษได้? ฮึ จริงสิ ท่านได้โปรดรับนี่ไป”
อาซิ่วหยิบห่อผ้าเล็กๆ ข้างเอวออกมาวางบนมือหลินเมิ้งหยา
“นี่คือ…”
“มันคือหนูป๋ายเซียงที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ตั้งแต่เด็ก ท่านดูสิ มันค่อนข้างเชื่องมาก มันสามารถออกหากินได้ด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันค่อนข้างฉลาดเฉลียวมากเลยทีเดียว ไม่ว่าข้าอยู่ที่ใด มันจะหาข้าเจอเสมอ พี่ชาย ในเมื่อท่านรู้ว่าท่านลุงของข้าอยู่ที่ใด เช่นนั้นจงมอบมันให้กับเขา หากเขารู้ว่าข้าอยู่ที่ใด เช่นนั้นข้าจะได้เอ่ยโน้มน้าวเขาได้”
หัวเล็กๆ โผล่ออกมาจากห่อผ้า ดวงตาสีดำขลับเล็กเท่าเม็ดถั่วมองไปรอบๆ
รูปร่างของมันทำให้หลินเมิ้งหยานึกถึงหนูแฮมสเตอร์ในโลกปัจจุบัน
แต่สัตว์ตัวจ้อยกลับไม่กลัวนางเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเข้ามาเกาะหัวแม่มือของหลินเมิ้งหยาเอาไว้แล้วใช้ฟันหน้าแทะเบาๆ
“ดูสิ มันชอบท่าน พวกท่านรีบกลับไปเถิด เรื่องอื่นข้าจะจัดการเอง”
อาซิ่วยังคงยืนยันคำเดิม หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้จึงไม่มีทางเลือก
ยิ่งไปกว่านั้น บางทีนางคงกลัวว่าพวกหลินเมิ้งหยาจะไม่มีหลักฐาน ฉะนั้นจึงมอบหนูป๋ายเซียงให้นำกลับไป
เด็กสาวเฉลียวฉลาดเช่นนี้พบเห็นได้ไม่มากนัก
หากตงฟางสวีเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากจริงๆ แล้วล่ะก็ บางทีเขาอาจมิใช่คนมิสนใจใยดีต่อความตายของผู้อื่นอย่างที่นางคิด
“พี่ชาย รบกวนอย่าให้ถูกจับได้นะ”
ขณะพูด อาซิ่วเอนกายนอนในโลงศพดั่งเดิม
หลินเมิ้งหยามองดวงตากลมโตของอาซิ่วอย่างพูดไม่ออก ไม่รู้จริงๆ ว่านางเป็นคนกล้าหาญหรือซื่อบื้อกันแน่
คงไม่มีคนปกติคนใดยินยอมนอนในโลงศพเช่นนี้
“ได้ ข้าจะช่วยเจ้า อีกเดี๋ยวอาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเพราะข้าจะฝังเข็มลงบนร่างของเจ้า จำเอาไว้ ข้าจะมอบทางรอดให้แก่เจ้า ฉะนั้นเจ้าจะเหมือนคนนอนหลับแต่เพียงเท่านั้น หากร่างของเจ้าถูกเขย่าหรือมีคนเรียกเจ้า เจ้าจะตื่นขึ้นมา หากมิใช่หมอ จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ อีกอย่าง เหตุเพราะใช้การฝังเข็ม ฉะนั้นเจ้าจะสามารถพูดได้ แต่ขยับตัวไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”
อาซิ่วผงกศีรษะลง ก่อนจะหลับตา
หลินเมิ้งหยาไม่อยากให้อาซิ่วรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นจึงใช้ยาสลบทำให้นางหลับไปก่อน
เมื่อออกจากบ้านมา นางมียาติดตัวสองสามอย่าง
ยาเมื่อครู่ที่นางให้อาซิ่วกินคือยาฟื้นกำลังร่างกาย เท่านี้หากอาซิ่วรู้สึกผิดปกติ นางก็จะมีกำลังในการหลบหนี
หลังจากอาซิ่วหลับใหลลงไป ทั้งสองจึงช่วยกันลบร่องรอยการมาเยือนของตนเอง
เดินทางกลับด้วยความระมัดระวัง หลังจากเจอม้าของตัวเองแล้ว พวกเขาจึงรีบออกเดินทางทันที
แต่พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าหลังจากพวกเขาจากไปได้ไม่นาน ร่างสูงผอมพลันปรากฏที่หน้าโรงเก็บศพ
หากพวกหลินเมิ้งหยายังอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องรู้ได้อย่างแน่นอนว่าชายคนนี้คือชายเสียงเคร่งขรึม
ร่างสูงผอมเดินเข้าไปด้านในอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีหลิวไฮ่หลงตามมาด้วย เขาสำรวจทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด
ผลปรากฏว่าสินค้ายังเท่าเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
หรือเขาจะคิดมากจนเกินไป?
ครุ่นคิด สุดท้ายเขานำดินก้อนหนึ่งมาวางไว้ที่ประตูลับ
หลังจากเขาทำสัญลักษณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากโรงเก็บศพอย่างระมัดระวัง
ทั้งสองที่เพิ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมแอบวิ่งขึ้นไปด้านบนโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่ขณะที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว พวกเขาพบว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องของชิวอวี้
เพียงเปิดประตูออก ชิวอวี้และหลินเมิ้งหยาถึงกับชะงักอยู่กับที่
เหตุเพราะท่านกัวกำลังนั่งสูบยาอยู่ข้างโต๊ะภายในห้อง
เมื่อเห็นคนทั้งสองที่เพิ่งแอบกลับเข้ามา เปลือกตาของเขาเปิดออกเพื่อบ่งบอกว่าเห็นพวกเขาแล้ว
“นั่งสิ เดินทางกันทั้งคืนคงจะเหนื่อย”
สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงนั่งเงียบมิส่งเสียง
สุดท้ายนักรบเก่าย่อมเป็นนักรบเก่า เกรงว่าพวกเขาคงไม่อาจปกปิดท่านกัวได้
แม้จะรออยู่นาน แต่ท่านกัวกลับไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้นั่งเงียบกริบ ก่อนจะหันหน้าสบตากันแล้วก้มหน้าลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
“เอาล่ะ เลิกทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ได้แล้ว พวกเจ้าหาที่ซ่อนของเด็กสาวสกุลตงฟางเจอแล้วใช่หรือไม่?”
ท่านกัวมองทั้งสองออกแต่แรกแล้ว แม้สีหน้าจะยังคงเดิม แต่คำพูดกลับอธิบายทุกอย่าง
“ขอรับ พวกเราหาเจอแล้ว แต่อาซิ่วบอกว่ายังมีเรื่องสำคัญให้ต้องทำ ฉะนั้นจึงไม่สามารถกลับมากับพวกเราได้”
หลินเมิ้งหยารวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
ท่านกัวสูบยาเข้าปอดอีกครั้ง ก่อนจะผงกศีรษะลง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองหลินเมิ้งหยาแล้วถอนหายใจ
“รู้หรือไม่ว่าหากพวกเจ้าพานางกลับมาในคืนนี้จะเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นบ้าง?”
แม้คำพูดของท่านกัวจะไร้ซึ่งการตำหนิ แต่หลินเมิ้งหยาที่ได้ฟังก็อดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้
เรื่องนี้ป๋ายหลงและเฮยฮู่ทำไม่ถูกต้อง นางเพียงแค่อยากยืมมือของตงฟางสวีกำจัดพวกเขาเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรนางก็มิได้ทำสิ่งใดผิดไป
“เฮ้อ คนหนุ่มสาวสมัยนี้นี่หนา หยวนหลินเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดตงฟางสวีจึงเลือกที่จะก่อสงครามน้ำลายกับพวกป๋ายหลงแทนที่จะใช้มีดหรือปืน? ถนนสายนี้หาได้สงบสุขอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะพวกป๋ายหลงและเฮยฮู่เหล่านั้น แม้พวกเราจะรักษากฎระเบียบเอาไว้ แต่พวกเขาหาได้ให้ความสำคัญไม่ หากวันนี้พวกเจ้าทำการสำเร็จ เกรงว่าพวกเราจะต้องถูกล้างแค้นอย่างแน่นอน ข้ากับเจ้ามิได้กลัวคนเหล่านี้ แต่พวกพ่อค้าคนอื่นหาได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
แม้หลินเมิ้งหยาจะยังรู้สึกน้อยใจ แต่นางก็ก้มหน้ารับฟังแต่โดยดี
อันที่จริงนางเองก็รู้ว่าขบวนการค้าย่อมต้องเจออุปสรรค พวกเขาต้องคิดถึงคนส่วนใหญ่เป็นหลัก
แต่ต่อให้ป๋ายหลงและเฮยฮู่จะแข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายเขาก็ต้องนั่งลงที่โต๊ะสอบสวนเช่นเดียวกันมิใช่หรือ?
ทว่าตอนนี้หาใช่โอกาสอันดีในการโต้เถียงกับท่านกัว