หลินเมิ้งหยาปัดมือของชิวอวี้ซึ่งวางบนหน้าผากของนางออก ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม
“ข้าไม่ได้เสียสติ เจ้าลองตรองดูเถิดว่าพวกเขาทะเลาะกันไปมาแบบนี้จะมีประโยชน์อันใด หากป๋ายหลงกับเฮยฮู่ยืนกรานว่าไม่ได้ทำ เช่นนั้นพวกตงฟางสวีเองก็มิอาจลงมือทำร้ายเขาได้ หากพวกเรามีหลักฐานอยู่ในมือว่าป๋ายหลงและเฮยฮู่ลักพาตัวหลานสาวของตงฟางสวีไปจริง เช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกคนเมืองเลี่ยหยุนจะทำเช่นไร?”
ชิวอวี้ครุ่นคิด ก่อนจะเข้าใจความหมายของนาง
ดวงตาเปล่งประกาย ก่อนจะรู้สึกเลื่อมใสความคิดยืมมีดฆ่าคนของหลินเมิ้งหยายิ่งนัก
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคิดจะยืมมือคนเมืองเลี่ยหยุนกำจัดป๋ายหลงและเฮยฮู่อย่างนั้นสินะ!”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า เท่าที่นางได้รู้จักกับซินหลี เสี่ยวอวี้หรือแม้แต่ป๋ายซู พวกเขาล้วนเป็นคนประเภทมีบุญคุณต้องทดแทน มีความแค้นต้องชำระ
หากนางหาหลักฐานได้ว่าป๋ายหลงและเฮยฮู่ลักพาตัวหลานสาวของตงฟางสวีไป เช่นนั้นผู้อยู่เบื้องหลังของพวกเขาจะต้องอยู่ไม่เป็นสุขอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หากตงฟางสวีเป็นคนดี ท่านกัวคงมิทำตัวเป็นกลาง
คำพูดของเขาราวกับมองว่าคนเมืองเลี่ยหยุนเท่านั้นที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่นนั้นคนเมืองอื่นมิต่างจากหมาแมวอย่างนั้นหรือ?
หากไม่สั่งสอนเขาสักครา หลินเมิ้งหยาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
หลังจากบอกเล่าแผนการกับชิวอวี้จบแล้ว ทั้งสองจ่ายเงินให้เสี่ยวเอ้อร์เล็กน้อย ก่อนจะควบม้าออกไป
แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่ชินกับการนั่งม้าตัวเดียวกันกับผู้อื่น แต่ฝีมือการขี่ม้าของนางยังต้องปรับปรุง
กีบเท้าโจนทะยานย่ำกุบกับ ทั้งสองหายไปในความมืด
หลินเมิ้งหยาพยายามประคองร่างตนเองบนหลังม้า นางไม่ยอมสัมผัสตัวชิวอวี้
ลูบศีรษะของตัวเอง แปลกจริง เหตุใดนางต้องคิดถึงชายคนนั้นด้วย
“โรงเก็บศพอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล หากเป็นไปตามการคาดเดาของเจ้า ข้าคิดว่าจะต้องมีคนคอยเฝ้าอย่างแน่นอน”
ชิวอวี้ก้มหน้ากระซิบเสียงเบาข้างใบหูของหลินเมิ้งหยา
ทั้งสองพลิกตัวลงจากหลังม้า ก่อนจะออกเดินเท้าไปทางโรงเก็บศพ
ทุกตำบลล้วนมีโรงเก็บศพชั่วคราว เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลก
ไม่นานพวกเขาก็เห็นแสงสีขาวจากโคมไฟกระดาษซึ่งสั่นไหวตามแรงลม
บริเวณรอบๆ มืดสนิท นอกจากเสียงใบไม้หวีดหวิวก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใด
ประตูทางเข้าโรงเก็บศพมีลักษณะคล้ายกับปากของสัตว์ประหลาด ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากเข้าใกล้
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ดีหรือไม่ ข้าจะเข้าไปดูเอง”
ขนาดผู้ชายอกสามศอกอย่างชิวอวี้ยังรู้สึกใจหวิว นับประสาอะไรจากหญิงสาวร่างเล็กอย่างหลินเมิ้งหยา ทว่าความหวังดีของเขากลับมิได้รับคำเชยชมจากนาง
ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องประตูโรงเก็บศพเขม็ง สีหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัว
หัวใจของชิวอวี้กระสับกระส่าย นางเป็นผู้หญิงจริงๆ หรือ?
“แปลก เหตุใดจึงไม่มีการเคลื่อนไหวเลยเล่า?”
หลินเมิ้งหยามองไปทางด้านหน้าด้วยความประหลาดใจ นางกับชิวอวี้ซ่อนตัวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว
หากมีคนคอยเฝ้า เช่นนั้นจะต้องมีการเคลื่อนไหวบ้าง
แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่แมลงบินผ่านให้เห็น หรือนางจะเดาผิดไป?
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หลินเมิ้งหยาจึงนึกถึงระบบเซินหนงของตนเองขึ้นมาได้
จริงสิ การพัฒนาระบบระยะที่สองทำให้ระบบเซินหนงมิได้มีความสามารถเพียงการสแกนหน้าหนังสือ แต่ยังสามารถสแกนสิ่งของรอบตัวได้อีกด้วย
นางสามารถใช้งานเรดาร์เพื่อเปิดโหมดสแกนได้ แต่อาจทำให้สมองของนางต้องทำงานหนัก
ถ้าหากนางพบยาพิษที่เหมือนกันกับพวกคนเมืองเลี่ยหยุนกลุ่มนั้น นั่นจะเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงเบาะแสการหายตัวไปของเด็กสาวคนนั้น
เมื่อถึงเวลานั้น พวกนางกลับไปแจ้งข่าวแก่ตงฟางสวีก็เพียงพอแล้ว
หลับตาลง หลินเมิ้งหยากดเปิดโหมดสแกน
เสียงจากการสแกนที่นางได้ยินเพียงคนเดียวดังขึ้นในสมอง
โชคดีที่นางยังสามารถรับมือกับอาการคลื่นเหียนได้
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น นางเริ่มสแกนโรงเก็บศพตรงหน้า
หนึ่งเมตร ห้าเมตร สิบเมตร สิบห้าเมตร…
ยิ่งขนาดพื้นที่มากขึ้นเท่าไร ความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเดินทางมาถึงขีดจำกัด ในที่สุดร่างกายก็อ่อนยวบลง
ระบบเซินหนงหยุดการสแกนอัตโนมัติเพื่อป้องกันอันตราย
หลินเมิ้งหยาเห็นเพียงความมืดมิด ก่อนร่างจะร่วงลงในวงแขนของชิวอวี้
“เจ้า…เจ้าเป็นอะไรไป?”
โอบกอดร่างนุ่มนิ่มเอาไว้แน่น เห็นได้ชัดว่าชิวอวี้กำลังตื่นตระหนก
ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัว ใบหน้าซีดเผือดของหลินเมิ้งหยาทำให้เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่มีอะไร อยู่ๆ ก็ปวดท้อง อาจเพราะวันนี้คงกินเยอะเกินไป”
หลินเมิ้งหยาฝืนทำท่าไม่เป็นอะไร ปกติการเปิดใช้งานระบบสำหรับนางไม่ต่างอันใดจากการกินข้าวหรือดื่มน้ำ
แต่ดูเหมือนนางจะต้องระมัดระวังการเปิดใช้งานเรดาร์เช่นนี้แล้ว เหตุเพราะมันไม่เพียงสแกนหายาพิษ แต่ยังเป็นการทดสอบระบบไปในตัวด้วย
เวลาเพียงไม่นาน ภาพสามมิติของโรงเก็บศพพลันปรากฏขึ้นในสมอง
สวรรค์โปรด หากอนาคตนางสามารถปรับตัวเข้ากับระบบเซินหนงได้ เรดาร์คงสามารถสแกนทั่วทั้งผืนฟ้าได้อย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงคิดเท่านั้น หากต้องการใช้งานเรดาร์มากกว่านี้ เช่นนั้นจะต้องพัฒนาการใช้งานระยะที่สามก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้เป็นปกติ
ตอนนี้นางสามารถใช้ได้เพียงโหมดง่ายๆ บางอย่างเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นราคาที่ต้องจ่ายคือความเจ็บปวดยากเกินบรรยาย
“ดีขึ้นแล้วหรือไม่? กลับไปแล้วข้าจะนำยาช่วยย่อยมาให้เจ้า คราวหลังอย่ากินข้าวเร็วนัก ค่อยๆ เคี้ยว”
ประคองร่างหลินเมิ้งหยา อยู่ๆ ความอบอุ่นนุ่มนิ่มจากร่างบางพลันหายไป ชิวอวี้รู้สึกสับสน
ร่างกายของนางบอบบางแต่นุ่มนิ่มกว่าที่เขาคิดเสียอีก
แม้เขาจะเคยเห็นสาวงามมากมายในวังหลวง แต่ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ แม้เห็นเพียงใบหน้าครึ่งเสี้ยว เขายังรับรู้ได้ถึงความงดงาม
“ไปเถิด พวกเรากลับกัน”
นางตั้งสติ ความเจ็บปวดค่อยๆ หายไป หลินเมิ้งหยากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เมื่อครู่นางสำรวจพบหลานสาวของตงฟางสวีแล้ว ที่แท้ใต้โรงเก็บศพก็มีห้องใต้ดิน
นางเดาว่าจะต้องเป็นสถานที่เก็บโลงศพและศพอย่างแน่นอน
นางพบยาพิษเหมือนกับที่พวกคนเมืองเลี่ยหยุนครอบครองในบริเวณนั้น
แต่ขณะเดียวกันนางก็พบสิ่งผิดปกติบางอย่าง
ห้องนั้นไร้สิ่งมีชีวิต!
หรือหลานสาวของตงฟางสวีจะถูกฆ่าตาย?
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ป๋ายหลงและเฮยฮู่ปรารถนาความร่ำรวย แม้จะเป็นการฆ่าเพื่อแก้แค้น แต่เพราะเหตุใดจึงต้องเก็บร่างของนางเอาไว้ในโรงเก็บศพด้วยเล่า?
เพียงโยนร่างนางทิ้งหรือไม่ก็ปล่อยให้สัตว์ป่ากินจะมิง่ายกว่าหรือ?
หลินเมิ้งหยามิอาจเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ในตอนนี้
“หากพวกเราออกไปตอนนี้ เช่นนั้นจะไม่เป็นการมาโดยเสียเปล่าหรือ? เจ้ารอข้าที่นี่ก่อนดีหรือไม่ ข้าจะลองเข้าไปดูแล้วรีบกลับมา”
ชิวอวี้คิดว่าหลินเมิ้งหยารู้สึกไม่สบายจึงอยากกลับไปตอนนี้
ทว่าหลินเมิ้งหยารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย นางจะอธิบายให้เขาฟังเช่นไรดีเล่า
หากชิวอวี้รู้ว่านางใช้เรดาร์ตรวจสอบ เช่นนั้นยาที่เขาจะมอบให้นางคงมิใช่ยาช่วยย่อยอย่างแน่นอน
“ข้า…ประเมินสถานการณ์ภายนอกแล้ว เจ้าลองดูเถิดว่าบริเวณรอบๆ มีร่องรอยของคนหรือไม่ หากมีคนอยู่ เช่นนั้นพวกเขาต้องมีของกินมีน้ำให้ดื่ม ต่อให้พวกเขากลัวคนสงสัยจึงไม่ออกมาด้านนอก แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีการเคลื่อนไหวให้เห็นบ้าง”
หลินเมิ้งหยาพยายามพูดโน้มน้าวชิวอวี้ แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสัย
กวาดสายตามองบริเวณรอบๆ โรงเก็บศพ มันเป็นเพียงกระท่อมเก่าทรุดโทรม ต้นหญ้าขึ้นรกรุงรัง แม้แต่กำแพงเองก็พังทลายลงมาเกินครึ่ง
ที่นี่จะมีคนอยู่จริงๆ หรือ?
“เจ้าคิดว่าสถานที่เช่นนี้จะมีคนอยู่จริงๆ หรือ?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาอย่างลังเล ชิวอวี้หันไปมองทางนั้นก่อนจะส่ายหน้า
“ผู้อาวุโสล้วนกล่าวว่าพวกเราต้องเคารพคนตาย ข้าคิดว่าหากมีคนตายจากโลกนี้ไปแล้วจริง แต่ก็คงไม่นำมาเก็บไว้ที่นี่หรอก”
นั่นน่ะสิ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดนางจึงพบโลงศพจำนวนมากวางเรียงรายในห้องใต้ดินเล่า?
หรือจะเป็นเจ้าของบ้านคนก่อน?
หลินเมิ้งหยารู้สึกสงสัย ก่อนจะเดินก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนวันนี้นางคงต้องเข้าไปสำรวจจริงๆ สินะ
“พวกเราเข้าไปกันเถิด ระวังตัวด้วย บางทีอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝัน”
สแกนหรือจะสู้เข้าไปดูด้วยตัวเอง โชคดีที่ภายในมิได้มีคนอยู่ ดังนั้นความกล้าของนางและชิวอวี้จึงมีมากขึ้น
มองดูสวนรกร้างหน้าเรือน หลินเมิ้งหยารวบรวมสมาธิ
ก็แค่ห้องเก็บศพมิใช่หรือ สมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์นางยังเคยเข้าไปรับไอเย็นในนั้นช่วงฤดูร้อนอยู่เลย!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ความกล้าของนางจึงเพิ่มมากขึ้น
เทียบกับศพไร้วิญญาณแล้ว หนอนและแมลงในนั้นต่างหากที่น่ากลัว
ชิวอวี้จูงมือของหลินเมิ้งหยา แต่เขาพบว่ามือของตัวเองเย็นยิ่งกว่ามือของนางเสียอีก
โชคดีที่หลินเมิ้งหยากำลังถูกโรงเก็บศพดึงดูด ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตเห็นความน่าอายเล็กๆ ของเขา
ก้อนอิฐกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ชิวอวี้ต้องคอยประคองร่างหลินเมิ้งหยาเอาไว้เพื่อมิให้นางล้มลงกับพื้น
เดินผ่านลานหน้าเรือนจนถึงห้องโถงหลัก ภายใต้แสงจันทร์วับแวมสาดส่องเข้ามาเป็นครั้งคราวส่งผลให้ใบหน้าเคร่งขรึมของเหยียนหวังน่ากลัวยิ่งขึ้น