เหตุเพราะเกี่ยวข้องกับเสี่ยวอวี้ หลินเมิ้งหยาจึงอยากทำความรู้จักกับเมืองเลี่ยหยุน
เมืองนี้ค่อนข้างลึกลับ ได้ยินมาว่าอำนาจภายในเกิดจากการรวมเป็นหนึ่งของชนเผ่า
ฮ่องเต้หาใช่เพียงประมุขของแคว้น แต่ยังเป็นผู้นำทางศาสนาอีกด้วย
แต่ศาสนาของเมืองเลี่ยหยุนมิใช่ลัทธิเต๋า ขงจื๊อหรือพุทธศาสนา ยิ่งไปกว่านั้นศาสนาเหล่านี้ยังกลายเป็นศาสนานอกรีตของเมืองเลี่ยหยุน
การสืบทอดความเชื่อเช่นนี้จึงทำให้เมืองเลี่ยหยุนกลายเป็นแคว้นลึกลับ
แต่การค้ากลายเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการติดต่อกับคนภายนอกของเมืองเลี่ยหยุน
คนเมืองเลี่ยหยุนเบื้องหน้าล้วนมีรูปร่างสูงเพรียว
ศีรษะของผู้ชายพันเอาไว้ด้วยผ้าโพกศีรษะสีขาวและดำ ส่วนผู้หญิงสวมใส่เครื่องประทับเงินลวดลายวิจิตรงดงาม
แต่ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีก็ล้วนปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุม
มีเพียงชายตรงกลางคนนั้นที่มิได้สวมผ้าคลุมหน้า
สิ่งที่ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจก็คือแม้ชายชราคนนั้นจะมีผมสีขาวโพลน แต่ใบหน้ากลับยังแดงระเรื่อมีเลือดฝาด แม้แต่ริ้วรอยก็ปรากฏไม่มาก ทว่าดวงตากลับเย็นชาและเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
หลินเมิ้งหยาเผลอสบตาดวงตาคมกริบคู่นั้นโดยมิได้ตั้งใจ ก่อนที่นางจะรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
แต่โชคดีที่นางเพียงมองเขาด้วยความสงสัย สายตาหาได้เจือไว้ซึ่งความเกลียดชัง
ชายชราถลึงตาใส่นางเพียงครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปจ้องเฮยฮู่และป๋ายหลงสองพี่น้อง
“หยวนหลิน เจ้ากลับขึ้นไปก่อนเถิด”
มองดูเหตุการณ์ตึงเครียดตรงหน้า ท่านกัวดึงกล้องยาสูบออกมาโดยสีหน้ามิได้แสดงอารมณ์ใดๆ เขาบอกให้หลินเมิ้งหยากลับเข้าห้องของตนเองก่อน
ดูท่าเหตุการณ์ต่อไปจะต้องอันตรายมากอย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นคารวะท่านกัว ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนชั้นสอง
เพียงไม่กี่ประโยค แต่กลับอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
เฮยฮู่และป๋ายหลงจะต้องทำการค้ามนุษย์อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังจับตัวสหายของคนเมืองเลี่ยหยุนไป
ท่านหม่าลิ่วคงมิเห็นด้วยกับการกระทำของเฮยฮู่และป๋ายหลง ฉะนั้นจึงขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ท่านกัวเป็นสหายเก่าของท่านหม่าลิ่ว ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจปล่อยให้สหายของตนเองต้องต่อสู้เพียงลำพัง
ยืนพิงประตูไม้ หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าเบาๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่รอนางอยู่นอกประตูจวนจะเป็นมหันตภัย ไม่รู้ว่านางจะได้มีชีวิตสงบสุขเมื่อใด
ด้านล่างมีทั้งหอกดาบมีดปืนที่พร้อมจะทะยานห้ำหั่นกัน
หลินเมิ้งหยาไม่อยากได้ยินคนทะเลาะกัน ดังนั้นนางและป๋ายซ่าวจึงหันหน้ามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนบนถนนเบื้องล่างด้วยกัน
แม้หูจะได้ยินเสียงเอะอะโวยวายภายนอกอย่างชัดเจนก็ตาม
“คนคนนี้ชั่วร้ายยิ่งนัก เขาถึงกับค้ามนุษย์! เมื่อก่อนหนูน้อยสกุลสือข้างบ้านข้าเองก็ถูกคนลักพาตัวไป ท่านน้าสือร้องไห้แทบขาดใจ ครอบครัวที่อบอุ่นถูกพวกเขาทำลายย่อยยับ! เหตุใดทางการจึงไม่กำจัดคนแบบนี้เล่า!”
ป๋ายซ่าวส่งเสียงบ่น หลินเมิ้งหยาเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกันกับนาง ในหนังสือประวัติศาสตร์สมัยมัธยมปลายเขียนเรื่องราวการค้ามนุษย์และทาสเอาไว้ นางยังคงจดจำเรื่องราวน่าอเนจอนาถใจได้อย่างชัดเจน
แม้เฮยฮู่และป๋ายหลงจะโหดเหี้ยมอำมหิตมิต่างอันใดจากอูยา แต่ลำพังเพียงพวกเขาไม่มีทางทำงานสำเร็จอย่างแน่นอน
ผู้อยู่เบื้องหลังของพวกเขาต่างหากที่เป็นผู้ขับเคลื่อนการค้าผิดกฎหมายที่แท้จริง
หากกำจัดพวกเขาก็มิต่างจากการตัดโซ่ออกเพียงเส้นเดียว หาได้มีความสำคัญแต่อย่างใด
ขอเพียงผลประโยชน์ยังคงอยู่ สักวันหนึ่งจะต้องมีคนเข้ามาแทนที่พวกเขาและสืบทอดงานสกปรกต่อไปอย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ส่งผลกระทบเลยเสียทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้ห่วงโซ่แห่งความอัปยศนี้ชะงักลงชั่วคราว
นางจำต้องสังเกตการณ์เงียบๆ เพื่อตามล่าหาเบาะแส
“ชู่ ข้าจะแอบออกไปดูสถานการณ์ด้านนอกเสียหน่อย ก่อนนอนเจ้าจะต้องลงกลอนประตูหน้าต่างให้ดี หากกลับมาข้าจะร้องเรียก”
ป๋ายซ่าวกลับส่ายหน้าแล้วจับแขนหลินเมิ้งหยาเอาไว้แน่น
ด้านนอกเกิดเสียงปึงปัง คาดว่าจะต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
แม้นายหญิงของตนจะมีไหวพริบ แต่หากถูกทำร้ายขึ้นมาจะทำอย่างไร?
“ไอหยา ข้ามิใช่คนโง่ที่จะบุ่มบ่ามหาเรื่องใส่ตัว ข้าจะอยู่บนชั้นสองแล้วหาสถานที่เหมาะสมแอบดูแต่เพียงเท่านั้น อีกอย่างข้าเองก็ไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ หากข้าลงไปก็เท่ากับหาเรื่องยุ่งยากให้พวกท่านกัว วางใจเถิด”
หลินเมิ้งหยารับปากเช่นนี้ ป๋ายซ่าวจึงปล่อยมือ
รับปากว่าจะไม่ทะเล่อทะล่ากระโจนออกไปด้านนอกอีกสองสามครั้ง ก่อนจะผลุบตัวหายออกไปจากประตูห้อง
โชคดีที่เกิดเสียงดังเพียงด้านล่าง หลินเมิ้งหยาแอบมองลอดราวกั้นลงไป
ตอนนี้เสียงก่นด่ารุนแรงมากขึ้น ผู้โต้เถียงยังคงเป็นป๋ายหลงเฮยฮู่และคนเมืองเลี่ยหยุน
ส่วนท่านกัวและท่านหม่าลิ่วเปรียบเสมือนคนกลาง
ท่านกัวยังคงนั่งสูบยาสูบ ทว่าท่านหม่าลิ่วกลับมีความเห็นพ้องเฉกเช่นเดียวกันกับคนเมืองเลี่ยหยุน
คาดว่าอีกไม่นานการต่อสู้ที่ดุเดือดคงเริ่มต้นขึ้น
เหตุเพราะกำลังมองดูเหตุการณ์เหล่านั้น ดังนั้นนางจึงมิทันสังเกตเห็นสายตาสองคู่ซึ่งกำลังจับจ้องมองตนเอง
“เจ้าออกมาทำไมกัน? ท่านกัวสั่งให้เจ้าพักผ่อนอยู่ในห้องมิใช่หรือ?”
ไม่รู้ว่าชิวอวี้เดินเข้ามาหยุดข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไหร่ หลินเมิ้งหยารีบฉุดเขาให้นั่งลง ก่อนจะเพ่งสมาธิมองเหตุการณ์ด้านล่างนิ่ง
“คึกคักขนาดนี้ ไม่ดูก็น่าเสียดาย จริงสิ เจ้ารู้ที่มาที่ไปของป๋ายหลงและเฮยฮู่หรือไม่?”
อันที่จริงหาใช่เพียงหลินเมิ้งหยาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังลอบมองเหตุการณ์ทางด้านล่าง แม้แต่นักเดินทางต่างถิ่นเองก็สังเกตการณ์อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ขบวนการค้าย่อมมีกฎของตนเอง ใช่ว่าเอ่ยขัดกันประโยคเดียวจะชักดาบโจมตีใส่กันได้
เหตุเพราะขบวนการค้าใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางมาอย่างเนิ่นนาน ฉะนั้นพวกเขาย่อมมีกฎการอยู่ร่วมกันค่อนข้างมาก
ใครก็ตามที่คิดอยากเดินทางบนเส้นทางนี้ พวกเขาล้วนต้องเคารพกฎระเบียบอย่างแข็งขัน แม้แต่ธุรกิจการค้าอย่างที่เฮยฮู่และป๋ายหลงทำเองก็เช่นเดียวกัน
ชิวอวี้หันไปมองหลินเมิ้งหยา ก่อนจะเอ่ย
“ชายเมืองเลี่ยหยุนคนนั้นนามว่าตงฟางสวี เขาเป็นพ่อค้าขายยาสมุนไพร ยาพิษในเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนมาจากการค้าของเขาทั้งสิ้น เจ้าเห็นพวกคนที่อยู่ด้านหลังเขาหรือไม่? คนเหล่านั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ด้านยาพิษทั้งสิ้น”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ระบบเซินหนงประมวลผลบ้างเป็นครั้งคราว ฉะนั้นนางย่อมรู้เรื่องนี้ดีกว่าผู้อื่น
รายชื่อยาพิษร้ายแรงที่ปรากฏในสมองเผยให้เห็นว่าคนพวกนี้หาใช่คนดีมีคุณธรรม
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดป๋ายหลงและเฮยฮู่จึงกล้าเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขากันเล่า?
“ป๋ายหลงและเฮยฮู่มีชื่อเสียงเรื่องการค้ามนุษย์ อูยาคือลูกน้องของพวกเขา อูยาทำหน้าที่ลักพาตัวคนไปขายเป็นทาสให้กับเมืองเลี่ยหยุน แต่เพราะคนเมืองเลี่ยหยุนมีรูปร่างหน้าตางดงาม ฉะนั้นพวกเขาจึงมองหญิงสาวและเด็กในเมืองเป็นเสมือนอัญมณีล้ำค่า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาล้วนมีพรสวรรค์ด้านยาพิษมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นสิ่งที่ทาสต้องเผชิญคือความทรมานอย่างแสนสาหัส หลานสาวของตงฟางสวีหายตัวไปเมื่อหลายวันก่อน ก่อนที่จะหายตัวไปมีคนเห็นว่าลูกน้องของป๋ายหลงเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเด็กสาวคนนั้น แม้จะออกตามหาอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่พบเบาะแส ฉะนั้นท่านกัวและท่านหม่าลิ่วจึงออกหน้าช่วย”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง ตอนพบกับเสี่ยวอวี้ครั้งแรก เขาเกือบจะกลายเป็นของเล่นของพวกจิตวิปริตเหล่านั้น
เพียงนึกถึงท่าทางทุกข์ทรมานของเสี่ยวอวี้ในครานั้น ความโกรธพลันพวยพุ่งขึ้นมา
ฉะนั้นนางจึงมีใจคิดอยากทำลายเฮยฮู่และป๋ายหลงให้สิ้นซาก
“ตกลงหลานสาวของตงฟางสวีอยู่ในกำมือของป๋ายหลงหรือไม่?”
นี่เป็นปัญหาที่หลินเมิ้งหยากังวลที่สุด
ชิวอวี้ส่ายหน้า เขาเองก็เพิ่งมาถึงโรงเตี๊ยมพร้อมกันกับพวกหลินเมิ้งหยา ดังนั้นการสืบข่าวจึงค่อนข้างลำบาก
ลูกตาดำกลิ้งกลอกไปมา หลินเมิ้งหยายื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของชิวอวี้เพื่อเล่าแผนการของตนเอง
“คือ…มันคงไม่ดีเท่าไร”
ชิวอวี้มองหลินเมิ้งหยาด้วยสีหน้าลำบากใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับส่งสายตาเชิงขอร้องมาให้เขา
สุดท้ายทำได้เพียงรับคำแล้วผงกศีรษะลง
ขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ทั้งสองแอบลงบันไดไปชั้นล่าง
โชคดีที่ความสนใจของทุกคนล้วนหยุดอยู่ที่ตำแหน่งกลางห้องโถง
เดินลงจากบันไดแล้วมุ่งหน้าไปทางสวนด้านหลัง ที่นั่นคือสถานที่จอดรถม้า
“เจ้าคิดว่าป๋ายหลงและเฮยฮู่ขนส่งมนุษย์ผ่านแต่ละท้องที่เช่นไร?”
เหตุเพราะเป็นเวลายามค่ำคืน ฉะนั้นสวนด้านหลังจึงมีโคมไฟจุดเอาไว้มากมาย หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้ปรึกษากันเสียงเบา
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ นอกจากรถม้าแล้วก็ไม่มีวิธีการขนส่งอย่างอื่น”
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองรถขนสินค้า ก่อนจะหยุดอยู่ที่รถม้าคันเล็กของตน
กวาดสายตามองอีกครั้ง ไม่มีรถม้าคันใดสามารถซ่อนคนเอาไว้ได้
ตำบลแห่งนี้เล็กยิ่ง หากทุกครั้งพวกเขาต้องมาจอดรถม้าที่นี่ นั่นแสดงว่าพวกเขามีที่ซ่อนคนเหล่านั้น
จะมีที่ใดที่มีขนาดใหญ่และพ้นหูพ้นตาชาวบ้านกันเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครสงสัย
ขณะครุ่นคิด หลินเมิ้งหยานึกสถานที่หนึ่งออก
“แถวนี้มีที่เก็บศพหรือไม่?”
ชิวอวี้มองนางด้วยความสงสัย เขาก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตอบ
“มีสถานที่เก็บศพห่างออกไปจากที่นี่ประมาณห้าลี้ แต่เป็นสถานที่อัปมงคล เจ้าถามถึงมันทำไม?”
ห่างไกลผู้คน ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้าไปดูอย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจน เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย นางอาศัยจังหวะที่พวกท่านกัวกำลังมีปัญหากันอยู่ที่นี่แล้วมุ่งหน้าไปดูด้วยตนเอง
เล่าความคิดของตนเองให้ชิวอวี้ฟัง สีหน้าของอีกฝ่ายฉายแววตกตะลึง
“แม่นางของข้า เจ้าไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน แต่คิดจะมุ่งหน้าไปที่โรงเก็บศพ นี่เจ้าเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่?”