ทว่าท่านกัวกลับส่ายหน้า ก่อนจะยื่นมือเข้ามาจับแขนของนางพลางกดเสียงต่ำ
“พวกเรากำลังโลดแล่นอยู่ในยุทธจักร อย่าได้ก่อศัตรูโดยไม่จำเป็น เชื่อข้า นำเงินให้พวกเขาไปเถิด”
ท่านกัวคิดอยู่เสมอว่าการทำธุรกิจควรมีความสมัครสมานสามัคคีกัน
แม้ชายหนุ่มคนนี้จะมีวิธีการเฉลียวฉลาด แต่เขายังเด็ก ซ้ำยังมีแรงอาฆาตอย่างแรงกล้า
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสักวันคงต้องเสียเปรียบเป็นแน่
“แต่….”
หลินเมิ้งหยายังอยากเอ่ยอะไรอีกเล็กน้อย ทว่าท่านกัวกลับโบกมือห้าม
นางรู้จักพวกอันธพาลเหล่านี้ดี หากครั้งแรกทำสำเร็จดั่งใจ เช่นนั้นจะต้องมีครั้งที่สองอย่างแน่นอน
นางสามารถสะบัดก้นแล้วกลับไปเป็นชายาอวี้เหมือนก่อน แต่คนเหล่านี้จะต้องเจอเรื่องยุ่งยาก
เหตุที่ท่านกัวหักห้ามนางเอาไว้ นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้นำขบวนพ่อค้าในคราวนี้ หลินเมิ้งหยาจึงทำเพียงเก็บซ่อนความคิดของตนเองเอาไว้แล้วรอดูสถานการณ์
เห็นได้ชัดว่าชายร่างอ้วนมั่นอกมั่นใจแล้วว่านางจะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน
สายตามองขึ้นลงหลายครา ราวกับกำลังวัดขนาดเหยื่อของตนเอง
ความรังเกียจขยะแขยงยิ่งปะทุขึ้นในหัวใจของหลินเมิ้งหยา ทว่าใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ในเมื่อท่านกัวเอ่ยปากด้วยตนเองแล้ว นางมิควรสร้างความลำบากใจให้กับเขา
“เป็นเช่นไร? พวกเจ้าเจรจากันว่าอย่างไรเล่า?”
เห็นได้ชัดว่าชายร่างท้วมไม่เห็นท่านกัวอยู่ในสายตา หากมองจากภายนอก ท่านกัวก็เป็นเพียงชายแก่คนหนึ่งเท่านั้น
แต่แท้จริงแล้วภายใต้ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นกลับแฝงไว้ซึ่งเหลี่ยมคม หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เขาย่อมมิต่างอันใดจากศิลาที่ถูกขัดเกลา
กฎเช่นนี้ต่างหากที่เป็นทางเดินอันเหมาะสม ฉะนั้นเขาย่อมแตกต่างจากพวกอันธพาลหัวทึบเหล่านี้
“น้องชายท่านนี้ทำร้ายน้องชายของเจ้า พวกเราต้องขออภัยยิ่งนัก เอาแบบนี้เป็นอย่างไร พวกเรายินยอมจ่ายเงินและเชิญหมอไปรักษาอาการของน้องชายท่าน ขอให้ท่านเห็นแก่หน้าข้าสักครา”
ท่านกัวเอ่ยวาจาประนีประนอมทำให้พวกอันธพาลเหล่านั้นลำพองใจ
แต่น่าเสียดายที่คนบางคนไม่มีค่าพอที่จะไว้หน้า
หัวหน้าอันธพาลคิดว่าท่านกัวพยายามอดทนเพราะกลัวเกรงบารมีของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงละทิ้งความเกรงใจ ก่อนจะเอ่ยวาจาหยาบคายไม่รื่นหูออกมา
“ฮึ ไอ้แก่กัว ข้าเสนอให้พวกเจ้ามอบเงินสามพันตำลึงเพราะเห็นแก่หน้าเจ้า เป็นอะไรไปเล่า? ไอ้แก่ในยุทธจักรเช่นเจ้าสายตาฟ้าฟางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแล้วหรืออย่างไร!”
คำพูดของชายร่างท้วมทำให้สายตาของท่านกัวเย็นเฉียบ
การออกนอกเมืองอยู่เพียงเอื้อมมือ ท่านกัวจึงไม่อยากมีปัญหา
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกชายฉกรรจ์เหล่านี้จะทำตัวไม่รู้ความ
ใบหน้าที่เคยหยักยิ้มเป็นมิตรพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ท่านกัวหาใช่คนอ่อนแอที่จะปล่อยให้ผู้อื่นรังแกง่ายๆ
แต่ชายร่างท้วมเห็นว่าฝั่งตนเองมีพวกเยอะกว่า ฉะนั้นเขาจึงไม่เห็นท่านกัวอยู่ในสายตา
เรื่องราวเริ่มบานปลาย ขณะที่หลินเมิ้งหยาตระเตรียมยาพิษเรียบร้อย ร่างขาวดั่งแสงจันทร์พลันปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“ตอนแรกข้าก็คิดว่าใคร? ที่แท้ก็เฉียนช่วนจื่อที่เพิ่งจะสามารถลงมาเดินเหินได้เมื่อหลายวันก่อนนี่เอง อะไรกันท่านเฉียน นี่ท่านคิดจะมาออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นให้ข้าเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ท่านดีหรือไม่?”
เฉียนช่วนจื่อ? หลินเมิ้งหยาหันไปมองชายร่างท้วมด้วยแววตาประหลาดใจ
ล้อเล่นหรืออย่างไร? เรียกเขาว่าเจ้าขี้วัวยังจะเหมือนเสียกว่า เขามิได้มีรูปร่างผอมเพรียวดั่งทองเหมือนความหมายของชื่อสักนิด
ร่างสีขาวราวแสงจันทร์ยืนบังร่างของนางเอาไว้จนมิด
ยิ่งได้เห็นแผ่นหลังของเขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตายิ่งนัก จนกระทั่งภาพเลือนรางในสมองเริ่มปะติดปะต่อกันเป็นภาพใหญ่ หลินเมิ้งหยาจึงส่งเสียงร้องในใจด้วยอาการตื่นตะลึง
เหตุใดจึงเป็นเขาได้เล่า?
“อึก อึก” ชายร่างท้วมนามเฉียนช่วนจื่อกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
สายตาระแวดระวัง ทว่าใบหน้ากลับฉีกยิ้มกว้างปานดอกไม้ผลิบาน
“มิกล้า ที่แท้ก็ท่านนี่เอง ข้าแค่พาสหายออกมาเดินเล่นแต่เพียงเท่านั้น มิทราบว่าท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือ?”
ชายคนนั้นหาได้สนใจเฉียนช่วนจื่อไม่ เขาหมุนตัวกลับมาส่งยิ้มอ่อนโยนให้หลินเมิ้งหยา
“เขาคือญาติผู้น้องของข้าเอง ป้าของข้าไม่วางใจก็เลยส่งข้ามาดูเขา เกิดอะไรขึ้น? น้องชายของข้าไปหาเรื่องท่านอย่างนั้นหรือ?”
มองใบหน้าเปื้อนยิ้มของชิวอวี้ หลินเมิ้งหยารู้สึกงุนงง
หัวใจสับสนอลม่าน เขาควรจะอยู่ในวังมิใช่หรือ?
เหตุใดจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้เล่า? แล้วไหนจะบทสนทนาระหว่างเขากับเฉียนช่วนจื่อก่อนหน้านี้เอง ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
“เจ้า…”
ขณะที่หลินเมิ้งหยาคิดจะเอ่ยถาม อีกฝ่ายกลับดันตัวนางไปยังหน้ารถม้าพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย
ออกแรงผลักเล็กน้อยกว่าจะส่งหลินเมิ้งหยาขึ้นรถม้าไปได้ จากนั้นจึงกระพริบตาถี่ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้นางแล้วหมุนตัวเดินไปหาพวกเฉียนช่วนจื่อ
เพียงได้ยินว่าเนื้อรสเลิศซึ่งกำลังจะตกถึงท้องเป็นญาติผู้น้องของบุรุษตรงหน้า
สีหน้าของเฉียนช่วนจื่อพลันเลิ่กลั่ก
ทว่าเรื่องนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ ชิวอวี้เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉียนช่วนจื่อด้วยท่วงท่าสง่างามเหมือนคุณชายตระกูลสูงศักดิ์
“น้องชายของข้าดีหมดทุกอย่าง แต่กลับมีนิสัยซุกซนไปสักเล็กน้อย ไม่ว่าน้องชายของข้าสร้างความไม่พึงพอใจอะไรให้ท่าน ข้าผู้มีศักดิ์เป็นพี่ย่อมต้องรับผิดชอบ เช่นนั้นท่านลองบอกมาเถิดว่าน้องชายของข้าล่วงเกินอันใดท่าน?”
แม้คำพูดจะเหมือนกำลังถามไถ่ แต่ท่าทางอมทุกข์ของเฉียนช่วนจื่อเสมือนกำลังคิดถึงเรื่องไม่น่ารื่นรมย์บางอย่างอยู่
มองชิวอวี้ซึ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาขาวซีด มือทั้งสองข้างปัดป่ายไปมา
ในที่สุดชิวอวี้ก็อยู่ห่างเขาเพียงครึ่งศอก เฉียนช่วนจื่อแสดงสีหน้าร้องขอความเมตตา
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ซึ่งกำลังจับจ้อง เขาหมุนตัวออกวิ่งโดยไม่คิดจะหันหน้ากลับมามองอีก
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
ชายร่างกำยำที่เหลือถูกเฉียนช่วนจื่อทิ้งไปโดยปริยาย
หลังจากเห็นว่าพี่ใหญ่วิ่งหนีไม่เหลียวหลังไปไกลแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจวิ่งตามไป
ชิวอวี้ที่ได้เห็นดังนั้นก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง มือสองข้างยกขึ้นปรบเสียงดัง จากนั้นจึงหันมาทักทายคนคุ้นเคยอย่างท่านกัว
สุดท้ายเขาจึงเข้าไปนั่งไปรถม้าของหลินเมิ้งหยา
ยกยิ้มมีเลศนัยขณะนั่งลงด้านหลังสุด เขาแสร้งเมินสายตาประหลาดใจคู่นั้น
“ตกลงเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามอย่างไม่เต็มใจนัก
ชิวอวี้กลับไม่ตอบ เขาทำเพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไร
“คุยกันแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าจะอยู่ดูแลฮ่องเต้ในวัง ส่วนข้าจะออกไปหายา หากเกิดอันตรายกับฮ่องเต้ขึ้นมาจะทำเช่นไร?”
ชิวอวี้หาใช่คนที่จะทนเห็นคนตายต่อหน้าเฉยๆ ได้
แม้หลินเมิ้งหยาจะมีโทสะเป็นอย่างมาก แต่ชิวอวี้กลับมีท่าทีผ่อนคลาย สุดท้ายอดรนทนไม่ไหวจึงยื่นมือเข้าไปบิดเอวเขาเต็มแรง
ชิวอวี้ที่เคยมีท่าทางสงบนิ่งน้ำตาไหลพราก
เขาไม่กล้าส่งเสียงร้องจึงทำได้เพียงอดกลั้น
หลังจากหลินเมิ้งหยาพอใจแล้ว ชิวอวี้จึงแสดงท่าทางประหนึ่งหญิงสาวถูกลวนลาม สายตาชำเลืองมองนางเสมือนกำลังน้อยอกน้อยใจ ซ้ำน้ำตายังคลอเบ้า
“จะพูดหรือไม่พูด?”
หลินเมิ้งหยาถนัดเรื่องทรมานคนเพื่อเค้นเอาคำตอบยิ่งนัก
ป๋ายซ่าวหันหน้ามองนอกหน้าต่างอย่างรู้งาน ท่าทางเสมือนคนไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ชิวอวี้ทำท่าเบะปากร้องไห้ เพื่อมิให้หลินเมิ้งหยาทรมานตนเองอีก เขาจึงรีบก้มหน้าแล้วอธิบาย
“ตอนนี้ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว แต่ยังต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย โชคดีที่คนของข้าล้วนรู้งานเป็นอย่างดี ข้าทิ้งยาเอาไว้ให้พวกเขาแล้ว อีกทั้งฮ่องเต้ยังสามารถดูแลตัวเองได้มิต้องกังวล”
ดี คำตอบน่าพึงพอใจยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ก่อนจะยื่นมือไปหยิกชิวอวี้อีกครั้ง
“ฮือ….” ชิวอวี้ส่งเสียงสั่นเครือแล้วรีบอธิบายต่อ
“เฉียนช่วนจื่อคนนั้นเคยรังแกหญิงสาวคนอื่นมาก่อน บังเอิญข้าไปพบเข้า ฉะนั้นข้าจึงจัดการเขาด้วยตนเอง”
พูดจบ ชิวอวี้จึงยิ้มใสซื่อไร้เดียงสา ก่อนจะนั่งสงบเสงี่ยมว่านอนสอนง่าย
แต่หลินเมิ้งหยาหาใช่คนที่จะปล่อยผ่านอะไรไปง่ายๆ นางแสยะยิ้มเย็นชาให้อีกฝ่าย ก่อนจะเค้นถามเสียงอำมหิต
“เช่นนั้นหรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ในขบวนพ่อค้านี้ อีกอย่างเจ้ากับท่านกัวดูจะรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี จงอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”
ชิวอวี้หยักยิ้มแข็งทื่อ
เขารู้อยู่แล้วว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องเค้นถามจนถึงที่สุด ไม่มีเรื่องใดที่สามารถปกปิดนางได้
ถอนหายใจสองสามครั้ง ก่อนจะอธิบาย
“อันที่จริงข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าอยู่ในขบวนพ่อค้าขบวนไหน แต่ท่านกัวเป็นคนรู้จักของข้า เมื่อหลายวันก่อนตอนที่ข้ามาหาเขา ข้าได้ยินเขาเล่าว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่งต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองหลินเทียน ฉะนั้นข้า….”
หลินเมิ้งหยาถลึงตาใส่เขา นางจะปล่อยเขาไปชั่วคราว
ชิวอวี้เป็นคนฉลาด ดังนั้นเขาจึงเดาออกว่าคู่สามีภรรยาจะต้องเป็นนาง
แต่เพราะเหตุใดจึงมาถึงยามนี้นั้นเขายังคงไม่อธิบาย เหตุเพราะนี่มิใช่เรื่องสำคัญ ทว่าหากระหว่างทางมีชิวอวี้คอยดูแล เช่นนั้นนางก็พอจะมีที่พึ่งอยู่บ้าง
หลังจากผ่านเส้นทางคดเคี้ยว ในที่สุดขบวนพ่อค้าก็เดินทางออกนอกเมืองหลวง
หันกลับไปมองกำแพงเมืองสูงตระหง่าน หัวใจอดที่จะรู้สึกเบิกบานมิได้
เหตุเพราะมีฐานะเป็นพระชายา ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแอบพรางตัวออกจากเมือง นี่นับเป็นครั้งที่สองที่ได้ออกจากเมืองหลวงอย่างผ่าเผย
ส่วนครั้งแรกคือตอนที่หลงเทียนอวี้พานางไปที่ค่ายทหารของท่านพี่
หากหลงเทียนอวี้รู้ว่านางแอบหนีออกมาเขาจะโกรธหรือไม่?
ช่างเถิด นางไม่กลัวหรอก!
ขบวนรถม้าเดินทางไม่เร็วเกินไป เหตุเพราะมีสัมภาระค่อนข้างมาก ดังนั้นทุกคนจึงสามารถปรับตัวได้หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งวัน
ภายในอาณาจักรต้าจิ้น แม้ทางราชสำนักจะมิได้สนับสนุนการทำการค้า แต่เพื่อการพัฒนาและความรุ่งเรืองของแคว้น จึงมีการเรียกเก็บภาษีทางน้ำค่อนข้างสูง
ยิ่งไปกว่านั้น รายได้จากการค้าขายขนแกะหรือทองคำก็มากเพียงพอที่จะเจือจุนกองทัพของต้าจิ้นแล้ว ดังนั้นทางราชสำนักจึงมีนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พ่อค้า
อย่างเช่นโรงเตี๊ยมบนทางสัญจรที่มีอยู่ทุกช่วงของการหยุดพักในการเดินทาง สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนัก รวมถึงบริการอาหารและน้ำดื่มแก่พวกพ่อค้ายามเหนื่อยล้า
ขบวนพ่อค้าเดินทางกันมาตลอดวัน เมื่อถึงยามพลบค่ำ พวกเขาจึงเข้าใกล้โรงเตี๊ยมซึ่งใกล้เมืองหลวงที่สุดแห่งหนึ่ง