“มือข้างใด?”
หลินเมิ้งหยาถามเน้นทีละคำ น้ำเสียงเคร่งขรึมดุดัน
ทั้งที่นางเป็นสตรีรูปร่างผอมบาง แต่กลับกดบุรุษรูปร่างกำยำเอาไว้อยู่หมัด ซ้ำใบหน้านวลยังเผยความโหดเหี้ยมอำมหิต
ดวงตาสีนิลกลมโตฉายแววดูแคลน ยิ่งมองยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น
ไม่มีใครอยากเชื่อว่าแววตาเช่นนี้จะเป็นของคุณชายท่าทางอ่อนแอผู้นี้
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! คิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ข้าเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแห่งนี้! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ระวังข้าจะสั่งให้คนจับเจ้ามาเผาทั้งเป็น!”
อันธพาลตรงหน้ายังคงตะคอกถ้อยคำไม่รื่นหูออกมาอีกหลายคำ คนบริเวณรอบๆ ล้วนมองดูอย่างมีความหวัง
แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะหาใช่คนมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อผู้อื่น คนที่เคยถูกเขารังแกต่างกู่ร้องสมน้ำหน้าในใจ แต่กลับไม่กล้าส่งเสียงออกมาเพราะยังเกรงกลัวอำนาจของเขา
“ข้าถามว่าเจ้าใช้มือข้างไหน!”
ความอดทนของหลินเมิ้งหยากำลังจะหมดลง
แม้นางจะมีเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิด แต่มือของนางกลับแข็งแกร่งพอจะกดร่างชายคนนี้เอาไว้ เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน หยาดเหงื่อเริ่มผุดบนใบหน้าของเขา
“ไม่พูดใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าจะตัดอุ้งเท้าของเจ้าออกทั้งสองข้าง!”
ไม่มีใครคาดคิดว่าคุณชายท่าทางเป็นมิตรจะมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้
นางหยิบตะเกียบบนโต๊ะอาหารขึ้นมา ก่อนจะแทงลงบนมือที่แบออกบนโต๊ะอาหารของอันธพาลหื่นกามคนนั้น
โลหิตสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากฝ่ามือขาวอวบอ้วนของเขา
ชายคนนั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด วิธีการอันแสนโหดเหี้ยมทำให้กลุ่มคนโดยรอบตกในอยู่ในความเงียบ
“ไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ว่าพี่ใหญ่ของกู้ชิงคนนี้คือผู้ช่วยของกลุ่มหลิวเย่…อ้าก...”
เสียงแผดร้องด้วยความทรมานดังขึ้นอีกครั้ง เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาแทงตะเกียบลงบนมืออีกข้างของเขาเข้ากับโต๊ะอาหาร
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินเมิ้งหยาจะมีแรงมากถึงเพียงนี้
ขณะเดียวกัน ท่านกัวลอบส่งสายตาให้ลูกน้องทั้งสองเข้าไปช่วยแก้ไขสถานการณ์
แน่นอนว่าเขาแอบส่งสัญญาณให้สองคนนั้นไปขวางกีดขวางสายลับที่กำลังจะออกไปส่งข่าว
ดวงตาคมกริบจ้องมองชายหนุ่มซึ่งกำลังบันดาลโทสะใส่ศัตรู
ลงมือได้อย่างเฉียบขาดรวดเร็ว เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ตกลงเขาเป็นใครกันเล่า เหตุใดจึงมีวิธีการโหดเหี้ยมเช่นนี้ หากเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา เช่นนั้นก็น่าเสียดาย
“กลุ่มหลิวเย่อย่างนั้นหรือ? พวกลูกหมาข้างถนนเหล่านั้นมิได้อยู่ในสายตาของข้าเลยแม้แต่น้อย พี่ใหญ่ของพวกเจ้าหาได้พ่ายแพ้ต่อข้าเป็นครั้งแรก จงกลับไปบอกพี่ใหญ่ของพวกเจ้าว่าข้าจะรอเขา หากวันใดข้าทำธุระกลับมาแล้ว วันนั้นจะเป็นวันตายของเขา!”
กลุ่มอันธพาลกลุ่มนี้ถูกกำจัดไปมากมายเพราะการสูญเสียอำนาจของไท่จื่อในช่วงนี้
หลินเมิ้งหยายังคงยุ่งวุ่นวายกับเรื่องในวัง ฉะนั้นจึงไม่มีเวลาเก็บกวาดพวกคนเหล่านี้
เหตุเพราะทุกที่ย่อมมีกฎเป็นของตนเอง หากโลกนี้ไม่มีกฎก็มิอาจอยู่ร่วมกันได้
หากมีกลุ่มที่แข็งแกร่งแต่มีความประพฤติดีกว่ากลุ่มหลิวเย่ เช่นนั้นนางก็พร้อมที่จะช่วยสนับสนุน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะหากลุ่มเช่นนั้นไม่เจอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะกวาดล้างพวกเขาให้สิ้น
“เจ้า….ไอหยา มือข้า! เจ้ารอก่อนเถิด สักวันหนึ่งเจ้าและแม่นางคนนั้นจะต้องร้องขอชีวิตแทบเท้าข้าทั้งน้ำตา!”
พวกขยะย่อมไม่มีคุณค่าในสายตา พวกเขาทำเพียงหาที่พึ่งและกลั่นแกล้งรังแกผู้อ่อนแอเช่นสตรี
แต่เขาไม่รู้เลยว่าบุรุษตรงหน้าคือคนที่ทำให้แม้กระทั่งพี่ใหญ่ของกลุ่มหลิวเย่รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้สมาชิกกลุ่มหลิวเย่ล้วนรู้ดีว่าคนที่พวกเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยมากที่สุดคือชายาอวี้!
เหตุเพราะอาการบาดเจ็บ ใบหน้าของอันธพาลหื่นกามจึงซีดเผือด สุดท้ายตาทั้งสองข้างพลันเหลือกขึ้นฟ้า ก่อนจะสลบไป
แม้หลินเมิ้งหยายังระบายโทสะออกมาไม่หมด แต่นางรู้ตัวดีว่าตนเองไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวมากไปกว่านี้
ปรายตามองชายคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปทางท่านกัวแล้วทำท่าคารวะเพื่อขออภัย ทว่าท่านกัวกลับจับแขนของนางเอาไว้
“ท่านกัว เรื่องนี้ข้าเป็นคนก่อ ข้าจะรับผิดชอบเอง”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยปากขออภัย ทว่าท่านกัวกลับเผยรอยยิ้มชื่นชม
“ทั้งกล้าหาญและวิธีการเยี่ยมยุทธ เจ้าเป็นคนยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากแม้แต่ผู้หญิงของตนยังไม่อาจปกป้องเอาไว้ได้ เช่นนั้นจะนับว่าเป็นบุรุษได้อย่างไร ข้าชื่นชมเจ้านัก วางใจเถิด ก็แค่กลุ่มหลิวเย่ตัวกระจ้อยเท่านั้น คนแก่เช่นข้าเดินทางมาเจ็ดย่านน้ำ แต่ยังไม่เคยก้มหัวให้ผู้ใดมาก่อน ไปเถิด คนของพวกเรามากันครบแล้ว”
หลินเมิ้งหยารู้ได้ทันทีว่าตนเองได้รับความไว้วางใจจากท่านกัวแล้ว
จอมยุทธ์ในยุทธภพแบบพวกเขาล้วนแยกแยะบุญคุณและความแค้นออกจากกันอย่างชัดเจน การแสดงในช่วงเช้าของนางหาใช่การเสแสร้ง อีกทั้งยังมิได้มีท่าทางโอหังดั่งเช่นพวกผู้ดีมีเงินแต่อย่างใด ดังนั้นคนในขบวนพ่อค้าจึงรู้สึกดีต่อนาง
ยิ่งตอนนี้นางแสดงออกถึงความกล้าหาญ ทั้งยังกล้าได้กล้าเสีย พวกเขาจึงรู้สึกเลื่อมใสนางอย่างยิ่ง
หากกล่าวว่าคราแรกคนเหล่านั้นมองนางเป็นเพียงเด็กน้อย เช่นนั้นตอนนี้หลินเมิ้งหยาก็กลายเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในขบวนพ่อค้าเหล่านี้
ทว่าท่านกัวรู้ดีว่าเด็กคนนี้หาใช่คนวู่วามแต่อย่างใด
แม้เขาจะไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ แต่กลับสามารถใช้ร่างกายและสายตาข่มขวัญในการโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้
ไหวพริบเช่นนี้หาใช่ใครก็ได้ที่จะทำได้
“ขอบคุณท่านกัวมาก ผู้น้อยนามว่าหยวนหลินเดินทางมาจากหยุนโจว ข้าเป็นคนเถรตรง ไม่คิดมีเรื่องกับผู้ใด หากใครมีปัญหาก็สามารถมาหาข้าได้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น”
พูดจบ หลินเมิ้งหยาสาวเท้ายาวๆ ออกไป
ใช่ว่านางมองไม่เห็นสายตาหื่นกระหายอยากลองของเหล่านั้น
พวกท่านกัวยังต้องเดินทางบนเส้นทางนี้ ฉะนั้นนางจึงจงใจเอ่ยนามของตนเองให้ชัดเจน
หยุนจู๋เป็นผู้คัดเลือกชื่อนี้มาเองกับมือ เหตุเพราะหยุนโจวมีคู่สามีภรรยาซึ่งมีบุตรชายนามว่าหยวนหลินอยู่จริง
แต่ได้ยินมาว่าสกุลหยวนร้ายกาจยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยาแสยะยิ้มเย็นในใจ ต่อให้พวกเลวทรามเหล่านี้ตายไปมากมายก็ไม่มีใครนึกเสียดายชีวิตพวกเขาหรอก
ท่านกัวเรียกทุกคนขึ้นรถ หลินเมิ้งหยากลับไปยังรถม้าของตนเอง
ใบหน้าของป๋ายซ่าวแดงก่ำ ทว่าดวงตากลับมีหยดน้ำสีใสเอ่อคลอ
ตั้งแต่เด็กจนโตนางยังไม่เคยรู้สึกเจ็บใจเช่นนี้มาก่อน แต่ในขณะเดียวกันนางก็เป็นห่วงนายหญิงของตนเอง
“เอาล่ะ เลิกโศกเศร้าได้แล้ว ข้าสั่งสอนเขาแทนเจ้าไปแล้ว ขอโทษเจ้าจริงๆ ที่ทำให้ต้องเหนื่อย”
หลินเมิ้งหยารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ตอนแรกนางอยากให้สาวใช้ทั้งสามรอนางอยู่ที่จวน
แต่นางรู้ดีว่าหากไม่พาพวกนางมาสักคนหนึ่ง เช่นนั้นพวกนางจะต้องแอบติดตามมาอย่างแน่นอน
สู้นางพามาด้วยสักคนจะดีกว่า แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันจะเดินทางออกจากเมืองหลวงก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
มองท่าทางโศกเศร้าของป๋ายซ่าว ดูเหมือนมือสองข้างที่พิการของอันธพาลผู้นั้นจะเป็นเพียงโทษสถานเบาเสียแล้ว
ป๋ายซ่าวหันหน้ามองเจ้านายก่อนจะส่ายหน้า
นางหาได้รู้สึกโกรธแค้นที่ถูกคนสารเลวเช่นนั้นลวนลามเพียงอย่างเดียวไม่ แต่นางกำลังโกรธตัวเองต่างหาก
“เรื่องนี้ท่านไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่มีประโยชน์เอง หากข้าเป็นชาย บางทีข้าอาจปกป้องนายหญิงได้”
หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าในสังคมเช่นนี้ต่อให้สตรีเก่งกาจสักเพียงไหน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีปมด้อยติดอยู่ในหัวใจ
แม้แต่หญิงสาวเฉลียวฉลาดอย่างซ่างกวนฮุ่ยเองก็พยายามใช้ชีวิตอย่างดีเพื่อเสริมบารมีแก่วงศ์ตระกูลมิใช่หรือ?
หากนางมิได้เกิดในสกุลหลิน บางทีอาจมิได้รับความคุ้มครองดูแลจากวงศ์ตระกูลแต่อย่างใด
ชีวิตของป๋ายซ่าวทุกข์ระทมกว่านางมากนัก
หากป๋ายซ่าวมิได้เข้ามาทำงานในจวนเพื่อรับใช้นางแล้วล่ะก็ เกรงว่านางอาจกลายเป็นนางบำเรอของใครสักคนหนึ่ง
“ไม่ ต่อให้เป็นหญิงก็เหมือนกัน พวกเราและผู้ชายหาได้แตกต่างกันไม่”
หลินเมิ้งหยาพลิกมือของป๋ายซ่าวขึ้นมากุมเอาไว้ ก่อนจะเริ่มปลูกฝังความคิดที่ว่าหญิงชายมีความเท่าเทียมกันเข้าไป
“ข้าเคยเจอเรื่องหนึ่งในตำรากล่าวว่าผู้หญิงแห่งเมืองอันเล่อทางทะเลเหนือสามารถรับราชการดูแลบ้านเมืองได้ พวกนางได้ร่ำเรียนหนังสือเฉกเช่นเดียวกันกับผู้ชาย หากผู้ชายไม่ซื่อสัตย์กับพวกนาง เช่นนั้นพวกนางสามารถกำจัดพวกเขาได้”
ป๋ายซ่าวที่ได้ฟังถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงราวกับไม่กล้าที่จะเชื่อว่าบนโลกใบนี้มีสถานที่เช่นนั้นด้วย
“เมื่อหลายร้อยปีก่อนเมืองอันเล่อเองก็มิต่างอันใดจากต้าจิ้น ผู้หญิงเป็นเพียงทรัพย์สมบัติของผู้ชาย แต่ต่อมาผู้หญิงจำนวนมากพยายามต่อสู้เพื่อประโยชน์ของตนเอง ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งต้าจิ้นเองก็จะเป็นเช่นนั้น นั่นหมายความว่าผู้หญิงอย่างพวกเรามิได้ด้อยไปกว่าผู้ชายเลยแม้แต่น้อย”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาเปรียบเสมือนพระราชโองการอย่างไรอย่างนั้น
นางไม่ลังเลเลยที่จะเชื่อคำพูดของหลินเมิ้งหยา
ฝังกลบปมด้อยของตนเองลงไป เมฆครึ้มในหัวใจพลันสลายหายไป
ราวกับนางจับอะไรบางอย่างได้ แสงประกายพลันสว่างวาบในดวงตา ความคิดบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ค่อยๆ ผุดขึ้นในหัวใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่ผู้หญิงธรรมดา ด้วยความสามารถของเจ้าแล้ว เจ้าจะแพ้ผู้ชายได้อย่างไรเล่า? เชื่อข้าเถิด วันข้างหน้าเจ้าจะต้องกลายเป็นผู้หญิงในอุดมคติของต้าจิ้น เมื่อถึงเวลานั้นพวกผู้หญิงทั้งหมดจะต้องเดินตามรอยของเจ้า วันที่ชายหญิงมีความเท่าเทียมกันจะต้องมาถึงสักวันหนึ่ง”
แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก แต่ป๋ายซ่าวกลับถูกเรื่องเล่าของเมืองอันเล่อดึงดูดราวต้องมนตร์สะกด
หากนางไม่ใช่เพียงผู้หญิงที่ถูกลิขิตให้อยู่แต่เพียงในเรือน บางทีชีวิตของนางอาจจะแตกต่างออกไปจากตอนนี้ก็เป็นได้
ขณะที่อยู่ในจวนอวี้ แม้นางจะพึ่งพาบารมีของนายหญิง แต่ถึงกระนั้นนางก็ดูแลจัดการงานทุกอย่างโดยมิขาดตกบกพร่อง
ชีวิตที่เคยขาดแคลนเงินทองกลับมามีรายได้อีกครั้งจากการทำงานของนาง
แม้แต่พ่อบ้านเติ้งเองก็ต้องรอการตัดสินใจของนาง
นางที่เคยมีความคิดเป็นของตนเอง อยู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นในหัวใจ