หลังจากเตรียมตัวมาตลอดสองวัน ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางกับขบวนพ่อค้า
หลินเมิ้งหยารับประทานอาหารเย็นจนอิ่มท้อง จากนั้นนางก็อ้างว่าไม่สบายแล้วนอนหลับแต่หัวค่ำ
หากมองอย่างผิวเผินทุกอย่างล้วนเป็นปกติ หลินเมิ้งหยาออกไปที่ประตูจวนตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อก่อสงครามประสาทกับพวกองครักษ์
เหตุการณ์ในคราวนี้ทำให้นางมีโทสะค่อนข้างมาก
หลายวันที่ผ่านมาพวกองครักษ์ล้วนรู้ไต๋นางหมดแล้ว
ทุกวันตอนเช้านางจะต้องออกมาก่อเรื่องวุ่นวายจนพวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ เห็นได้ชัดว่าการสร้างความลำบากใจให้พวกเขากลายเป็นงานอดิเรกของพระชายาไปแล้ว
ทุกครั้งที่พระชายาหลบหนีล้มเหลว นางจะต้องกินข้าวถึงสองถ้วย
ขณะเดียวกันพวกองครักษ์ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีคงปวดหัวไม่น้อย
อันที่จริงทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการของหลินเมิ้งหยา นี่คือจิตวิทยาในการควบคุมฝ่ายตรงข้าม
ดวงจันทร์ซึ่งเคยกลมเกลี้ยงเต็มดวงบัดนี้เหลือเพียงครึ่งเสี้ยว
ท้องฟ้ายามไร้แสงจันทร์ช่างหม่นหมองยิ่งนัก
เวลาผันผ่านอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถึงเวลาที่คนทั้งจวนจะเข้านอน
“แอ๊ด…” เสียงดังขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะลมหรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ประตูเล็กด้านหลังตำหนักหลิวซินค่อยๆ แง้มออก
สนิมและฝุ่นร่วงลงบนพื้น เวลาเพียงไม่นาน ศีรษะหนึ่งพลันโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความมืด
หันมองซ้ายมองขวา ก่อนจะค่อยๆ ก้าวออกมา
หลังจากมั่นใจแล้ว ดวงตาพลันเปล่งประกาย สายตาตวัดมองซ้ายทีขวาทีเพื่อสำรวจความปลอดภัย
เมื่อมั่นใจแล้วว่าบริเวณรอบๆ นี้หาได้มีคนอื่น ศีรษะเล็กพลันหดกลับไป
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ร่างบางสองร่างก็เดินออกจากประตู
หลังจากส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กันและกัน พวกนางค้อมตัวลงแล้วอาศัยเงาริมกำแพงเดินเลาะออกมาจนถึงประตูหลังของจวน
“นายหญิง ประตูหลังของจวนมีคนคอยเฝ้าอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ?”
ที่แท้ร่างบางทั้งสองก็คือหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าว
“ชู่ อย่าเพิ่งพูดอะไร ข้ามีแผนอยู่แล้ว”
หลินเมิ้งหยาพาป๋ายซ่าวไปหลบที่มุมหนึ่ง
ยังมีเวลาอีกราวสองชั่วโมงกว่าฟ้าจะสว่าง ปกติแล้วจะมีคนมาเฝ้ายามจนกระทั่งรุ่งสาง
แต่วันนี้กลับแตกต่างออกไป
ขณะที่พวกนางซ่อนตัวได้ไม่นาน ชายคนหนึ่งถือโคมไฟสีเหลืองส้มเดินอ้าปากหาวมาที่ประตูหลัง
ในมือของเขาคือกุญแจประตูจวนด้านหลัง ลูกกุญแจกระทบกันเสียงกังวานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
“ลุงเฉิน ท่านมาตรงเวลายิ่งนัก”
คนเปิดประตูยืนอยู่ด้านข้างอย่างไม่เต็มใจนัก เขาเอ่ยกระทบกระทั่งอีกฝ่าย
ด้านนอก รถม้าขนผักสดจอดคอยท่าอยู่หน้าประตูแล้ว
“ลำบากแล้ว ลำบากแล้ว นี่เป็นผลแตงสดขึ้นชื่อของบ้านข้า แม้จะไม่ได้ราคาแพงนัก แต่ขอมอบให้พี่ใหญ่เอาไปลองกินดูแล้วกัน”
ตอนนี้ยังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ เมล็ดพันธุ์เพิ่งจะถูกหว่าน แน่นอนว่าของสดจึงมีไม่มากนัก
แต่เพื่อครอบครัวสูงศักดิ์ในเมืองหลวง พวกเกษตรกรเฉลียวฉลาดคำนวณเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม จากนั้นเปิดทางบ่อน้ำพุร้อนเพื่อสร้างความอบอุ่นและได้ผลผลิตสดใหม่
แน่นอนว่าผักสดเหล่านี้ย่อมมีราคาสูงลิบ ดังนั้นน้อยคนนักจึงจะได้กิน
จวนอวี้ที่แสนมั่งคั่งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทุกเจ็ดวันจะมีผักสดถูกขนมาส่งที่จวน
เมื่อถึงเวลานั้น องครักษ์เฝ้าประตูหลังจะไม่เข้มงวดเท่าไรนัก เหตุเพราะหากมาตรวจสอบเองก็ต้องเสียเวลาเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นพระชายาคนนี้มักจะเคยชินกับการนอนตื่นสายเป็นประจำ
ไม่มีใครคาดคิดว่านางจะตื่นแต่เช้าเพื่อหลบหนี
อาศัยจังหวะที่ลุงเฉินคนส่งผักขับรถม้าเข้าไปในจวน หลินเมิ้งหยาจับมือป๋ายซ่าววิ่งออกจากประตูหลังไป
พวกนางอาศัยความมืดเพื่อพรางตัว
พยายามสะกดกลั้นความภาคภูมิใจของตัวเอง หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าววิ่งอย่างเต็มฝีเท้า
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่ร่างของนางลับหายไปจากมุมนั้น เงาดำหลายร่างพลันปรากฏขึ้นในตรอกที่นางเพิ่งวิ่งลับไป
“พวกเจ้าจงคุ้มกันพระชายาให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเด็ดขาด”
เสียงเคร่งขรึมของพ่อบ้านเติ้งดังขึ้น เงาหลายเงาพลันกระจายหายไปท่ามกลางความมืด
ทอดสายตามองตามพระชายาซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าคันเล็ก พ่อบ้านเติ้งอดที่จะถอนหายใจไม่ได้
ท่านอ๋องจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าไม่มีทางห้ามพระชายาเอาไว้ได้
เรื่องกักขังพระชายาเป็นเพียงกลอุบายให้คนนอกเห็นเท่านั้น
คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้จักอุปนิสัยใจคอของพระชายาดีว่านางหาใช่นกน้อยแสนเชื่องในกรงทองไม่
การทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันมิให้พระชายาเสื่อมเสียชื่อเสียง
เพียงแค่ไม่รู้ว่าพระชายาจะเข้าใจความขมขื่นของท่านอ๋องมากน้อยเพียงใด
เฮ้อ หวังว่าพระชายาจะเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย
ท่ามกลางความมืดมิด รถม้าที่หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวนั่งค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้าๆ
คนขับรถม้าคือคนที่หยุนจู๋เลือกมา เขาจะไปกับพวกนางด้วยเช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจก็คือคนคนนี้คือชายหนุ่มในร้านขายยาสามสหายคนนั้น
เพราะเหตุนี้หยุนจู๋จึงบอกว่าจะมีคนติดตามคอยดูแลพวกนางตลอดทาง
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอเขา หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้มีไหวพริบและชาญฉลาด
ดูเหมือนการเดินทางในคราวนี้จะต้องพึ่งพาเขาแล้วจริงๆ
หลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวซึ่งนั่งอยู่ในรถม้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดา
หลินเมิ้งหยาแต่งกายเป็นบุรุษคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่โดดเด่นสะดุดตาเหมือนกับหลินหนานเซิงไม่มีผิด
โชคดีที่นางมิได้มีความเขินอายอย่างเช่นหญิงสาวทั่วไป ไม่ว่ามองไปมุมไหนก็มีเพียงความสงบนิ่ง หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว นางไม่ต่างอันใดจากชายหนุ่มฝีมือเยี่ยมยุทธ
“แม่นางน้อย เจ้าลองดูข้าเถิด บัดนี้ข้าหล่อเหลาเอาการเลยใช่หรือไม่”
หลินเมิ้งหยาแสร้งแสดงท่าทางเสมือนคุณชายเจ้าสำราญ พัดในมือยื่นไปเชยคางป๋ายซ่าว
แสร้งส่งสายตาเย้ายวนชวนหลงใหล แต่ป๋ายซ่าวกลับหลุดขำพรืด
ป๋ายซ่าวสวมชุดหญิงสาวที่เพิ่งออกเรือน ใบหน้างดงามดั่งหยก ท่วงท่าน่าเกรงขามมีสง่าราศี
พวกนางแต่งกายเป็นคู่รักแต่งงานใหม่ นอกจากขบวนพ่อค้าแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
คงจะไม่ดีนักหากพวกนางแต่งกายเป็นสตรีทั้งคู่
ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของป๋ายซ่าวยังอ่อนหวานน่ารัก นางไม่เหมาะจะแต่งเป็นชาย การแต่งกายเป็นหญิงเพิ่งออกเรือนต่างหากที่เหมาะสมกับนาง ซ้ำยังสามารถป้องกันมิให้ใครเข้ามาตามเกี้ยวพาราสีระหว่างทางได้อีกด้วย
ยกเว้นพวกที่มีรสนิยมแบบพิเศษ
ทั้งสองจัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย นอกจากเสื้อผ้าและรองเท้าแล้ว หลินเมิ้งหยายังนำเงินติดตัวไปค่อนข้างมาก แม้นางจะเป็นผู้กำหนดเส้นทางคราวนี้เอง แต่เงินเหล่านี้มีไว้ใช้ระหว่างทำภารกิจให้สำเร็จ
เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ถูกปล้นสะดมหลังจากแยกตัวจากทุกคน หลินเมิ้งหยาจึงสวมเพียงเครื่องประดับไร้ราคา
ท่าทางเสมือนคนขี้งกของนางทำให้ป๋ายซ่าวหัวเราะจนตัวงอ
นายหญิงของนางฉลาดเฉลียวยิ่งนัก!
“นายน้อย พวกเราใกล้จะถึงโรงเตี๊ยมกันแล้วขอรับ ท่านอยากลงไปซื้อของก่อนหรือไม่?”
อยู่ๆ เสียงที่ด้านนอกพลันดังขึ้น หลินเมิ้งหยาชะงัก
ขบวนพ่อค้านัดรวมตัวกันที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก่อนจะออกเดินทาง
นางแหวกผ้าม่านออก ก่อนจะได้ยินคนขับรถม้าส่งเสียงกระซิบ
“ตามคำสั่งของท่าน ฐานะของท่านคือคุณชายเพียงคนเดียวจากตระกูลมั่งคั่ง สกุลหยวนนามว่าหลิน เพิ่งจะแต่งงานได้เพียงครึ่งปี ดังนั้นจึงออกเดินทางเพื่อทำการค้าที่เมืองหลินเทียน ข้าเป็นคนขับรถม้าของท่านนามว่าหยวนซาน นายหญิงสกุลหยวนหม่า ชื่อเพียงตัวเดียวคือฮุ่ย”
ไม่รู้ว่าชื่อจริงของชายผู้นี้คืออะไร หลินเมิ้งหยาจึงเรียกเขาว่าหยวนซาน
รับหนังสือเดินทางของตนเอง ในนั้นเขียนชื่อของนาง ป๋ายซ่าวและหยวนซานเอาไว้อย่างชัดเจน
นางส่งให้ป๋ายซ่าวดู ก่อนจะเริ่มท่องประวัติของตนเองให้ขึ้นใจ
โชคดีที่มีระบบเซินหนงคอยช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงจำได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่คำเดียว
“นายน้อย ถึงโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ”
หยวนซานเอ่ยเรียกด้วยความเลื่อมใสอยู่ด้านนอก หลินเมิ้งหยาตั้งสมาธิ นี่เป็นการเดินทางครั้งแรกของนาง ไม่รู้ว่าเมืองหลินเทียนจะมอบประสบการณ์แปลกใหม่อันใดให้
มือเล็กแหวกม่านออก หลินเมิ้งหยาในคราบชายหนุ่มประคองร่างป๋ายซ่าวลงจากรถม้า
แม้จะยังเช้าตรู่ แต่กลับมีคนเข้าออกโรงเตี๊ยมไม่ขาด
ไม่ว่าจะเป็นพ่อข้าจากต่างเมืองหรือขบวนพ่อค้าที่ต้องการจะออกจากเมืองล้วนหยุดพักกันที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
แม้ราชสำนักจะเน้นการเกษตรมากกว่าค้าขาย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพ่อค้าผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก
โชคดีที่ทุกแคว้นล้วนมีโรงเตี๊ยมข้างทาง ฉะนั้นการมาของพวกนางจึงไม่เป็นที่สังเกตนัก
หยวนซานนำทางพวกหลินเมิ้งหยาไปหาหัวหน้าพ่อค้า
เขาเป็นพ่อค้าเก่านามว่าท่านกัว หยุนจู๋เล่าว่าก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกลุ่มสามสหาย เขาเคยเป็นหัวหน้าใหญ่ของสำนักคุ้มกันภัย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงผันตัวมาเป็นผู้นำของขบวนการค้าแห่งกลุ่มสามสหาย
แต่ถึงกระนั้นท่านกัวก็เป็นผู้มากประสบการณ์ เมื่อก่อนเขาทำภารกิจสำเร็จลุล่วงอย่างน่าอัศจรรย์ ฉะนั้นภารกิจการเดินทางไปยังเมืองหลินเทียนจึงมอบหมายให้เขาเป็นผู้ดูแล
แน่นอนว่าฉากหน้าคือการไปเจรจาทำการค้าเท่านั้น
“คารวะท่านกัว ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงของท่านกัวมาก่อน วันนี้ได้พบกันนับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง นี่คือของขวัญเล็กน้อยที่ผู้น้อยนำมามอบให้แก่ท่าน ได้โปรดรับไว้ด้วย”
ท่านกัวมีลูกน้องอีกสองคนซึ่งกำลังกินอาหารเช้าอยู่ในห้องโถง