คนคนนี้มีเจตนาไม่ดี!
ไม่ใช่เพราะหลี่มู่หยางมีความสามารถในการอ่านใจคนว่าดีหรือไม่ดี แต่เขาสัมผัสได้ในใจ ผู้ชายที่ดูดีสง่างามคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาชวนผู้ชายตัวเล็กๆอย่างเขาคุยมั้ง?
ต้องมีการวางแผนมาแล้วแน่ๆ
คุณดูสิ ว่าหลี่มู่หยางเป็นเด็กผู้ชายน่ารักที่นอบน้อมถ่อมตัวและเจียมเนื้อเจียมตัวขนาดไหน
หลี่มู่หยางเบิกตาโพรงโตกวาดสายตาไปที่อีกฝ่าย เขาสวมชุดจีนแบบยาวสีดำ ในมือถือพัดที่กำลังพัดอยู่ รอยยิ้มเป็นมิตรปรากฏอยู่บนใบหน้า
จู่ๆหลี่มู่หยางก็ชอบเขา หลี่มู่หยางพูดว่า ” ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น”
เหยียนเซียงหม่าชะงักเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็เก็บพัด และเอามาทุบที่ฝ่ามืออีกข้างเบาๆ และกวาดสายตามาที่หลี่มู่หยางด้วยความสนใจพร้อมพูดว่า ” อ่านหนังสือเยอะ ก็จะได้เห็นโลกกว้าง ใจก็จะโตขึ้น สิ่งที่อยากได้ก็จะมีมากขึ้น หัวใจของคนก็จะเปลี่ยนเป็นโลภมากขึ้น…….ถ้าเป็นแบบนี้หล่ะก็ ไม่ได้เป็นเรื่องที่อันตรายหรอ?”
“การอ่านหนังสือก็เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้มีคุณธรรม เพื่อจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ ” หลี่มู่หยางโต้แย้ง ” ดินแดนที่ป่าเถื่อนทำไมถึงมีการฆ่าไม่หยุดหย่อน? ชายแดนแถบทะเลทรายทำไมถึงมีสงครามไม่หยุดพัก? ก็เพราะว่าคนป่าเถื่อนและคนพวกนั้นอ่านหนังสือน้อยไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง ไม่มีคุณธรรม และจิตวิญญาณ ถ้าพวกเขาได้อ่านหนังสือ แล้วพวกเขาจะมีเวลาไปสู้รบไปฆ่ากันได้อย่างไร?”
เหยียนเซียงหม่าส่ายหน้า มองหลี่มู่หยางด้วยความครุ่นคิดและพูดว่า ” ไม่ถูก”
“อะไรไม่ถูก?”
“ฉันส่งคนไปสืบมาแล้ว คนอื่นๆล้สนบอกว่านายเป็นคนโง่” เหยียนเซียงหม่าส่ายหน้าและพูดว่า “แต่ฉันรู้สึกว่านายไม่ได้โง่ ในทางกลับกัน นายฉลาดกว่าคนที่ฉันเคยเจอหลายๆคนซะอีก”
“ผมเป็นคนโง่” หลี่มู่หยางพูด “เวลาสอบจะได้ลำดับที่สุดท้ายของโรงเรียนทุกครั้ง”
“ไม่ ไม่ ไม่ มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่ๆ ” เหยียนเซียงหม่าปฏิเสธคำพูดที่หลี่มู่หยางบอกว่าเขาเป็นคนโง่ ” แต่คนฉลาดก็ดี ฉันชอบคบค้าสมาคมกับคนฉลาด คนฉลาดเข้าใจเรื่องราวและเข้าใจคำพูด นายว่าจริงมั้ย?”
หลี่มู่หยางรู้ว่ากำลังเข้าประเด็นหลักแล้ว เขาทำเป็นเปิดหนังสือทฤษฎีทางทหารที่อยู่ในมือขึ้นมาอ่าน และพูดว่า ” ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นคำพูดไหนเรื่องอะไร”
“อ้อ ลืมแนะนำตัวเองไป……..” เหยียนเซียงหม่าตบพัดในมือและเปิดพัดขึ้นมา เขาพูดกับหลี่มู่หยางว่า ” เหยียนเซียงหม่า พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของชุยเสี่ยวซิน”
จู่ๆหลี่มู่หยางก็เปลี่ยนเป็นมิตรขึ้น เขาปิดหนังสือที่อยู่ในมือ โค้มตัวคำนับและพูดว่า ” พี่ชาย ที่แท้เป็นคุณนี่เอง? ไปๆ ไปนั่งดื่มชาที่บ้านของผม บ้านผมอยู่ในซอยข้างหน้านี่เอง เดินแปปเดียวก็ถึงแล้ว………………”
พูดจบ เขาก็จับแขนเสื้อของเหยียนเซียงหม่าเตรียมตัวจะไป
“เดี๋ยวๆๆๆๆ………………” เหยียนเซียงหม่าสะบัดมือดำๆของหลี่มู่หยางออก และพูดด้วยความโกรธว่า ” นายทำอะไรหน่ะ? ใครสนิทกับนายขนาดนั้น?”
“พี่ชาย พี่ไม่รู้หรอ ว่าผมและชุยเสี่ยวซินเป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกัน และก็เป็นเพื่อนที่ดีกันด้วย พี่ชายของชุยเสี่ยวซินก็เหมือนพี่ชายของผมนั่นแหละ ในเมื่อพี่ชายมาถึงหน้าบ้านผมแล้ว ถ้าผมไม่เชิญพี่ไปดื่มชาหล่ะก็ ถ้าชุยเสี่ยวซินรู้ขึ้นมา เธอก็คงต้องโกรธ ถ้าพ่อแม่ผมรู้พวกท่านก็คงต่อว่าที่ผมไม่รู้จักมารยาท………พี่ชาย ไปกับผมเถอะ ที่นี่อากาศร้อน ที่บ้านของผมมีแตงโมเย็นๆไว้กระดับความหาย”
ตอนที่หลี่มู่หยางกำลังพูดอยู่ เขาก็ยื่นมืออกไปอีกครั้งเพื่อจะจับแขนของเหยียนเซียงหม่า
“ไม่เจียมตัว” เหยียนเซียงหม่าร้อนรน และพูดว่า ” ฉันจะบอกนายให้นะ นายอย่ามาทำงุ่มง่าม ฉันเกลียดที่สุดเวลามีคนมาดึงเสื้อของฉัน ………..ปล่อยฉัน แม่งเอ้ย ฉันบอกให้นายปล่อยมือจากฉันไง……………”
ณ บ้านของครอบครัวหลี่ หลี่มู่หยางและเหยียนเซียงหม่านั่งกินแตงโมอยู่ใต้ต้นองุ่น
แตงโมที่ถูกแช่ในน้ำเย็นๆในบ่อลึกหลายชั่วโมง มันเย็นทั้งภายในและภายนอก ได้กินตอนอากาศร้อนๆ ทำให้คนที่กินรู้สึกเย็นไปถึงรูขุมขน
เหยียนเซียงหม่ากินแตงโมไปสามคำใหญ่ๆ ตอนที่หลี่มู่หยางยืนคำที่สี่ให้นั้น เขาโบกมือ และหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาเช็ดปาก และพูดว่า ” ไม่กินแล้ว ถ้ากินอีกคงแน่นท้องมาก”
หลี่มู่หยางเองก็กินแตงโมไปสามชิ้นแล้วเหมือนกัน แต่เขาไม่มีความเคยชินในการพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวไว้ตลอดเวลา เขาก็เลยต้องวิ่งไปตักน้ำขึ้นมาล้างมือ
หลี่มู่หยางไม่ได้ต้มน้ำชา เพราะเพิ่งจะกิรแตงโมเย็นๆมาถ้าดื่มชาร้อนๆเลยจะไม่ดีต่อร่างกาย
หลี่มู่หยางนั่งบนม้าหินตรงข้ามเหยียนเซียงหม่า เขายิ้มและพูดว่า ” พี่ชายทำไมถึงได้มาในซอยนี้ได้ครับ? มีเรื่องอะไรต้องจัดการหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่ ฉันก็มาหานายนั่นแหละ” เหยียนเซียงหม่ามีสีหน้าท่าทางที่พอใจ แตงโมของหลี่มู่หยางทำให้เขาพอใจมากๆ เขาไม่เคยได้กินแตงโมสีหวานขนาดนี้ที่บ้านเลย
“พี่ชายมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” หลี่มู่หยางถาม
เหยียนเซียงหม่าหยิบกล่องออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยื่นออกไป หลี่มู่หยางไม่รับ เขาถามว่า ” อะไรครับ?”
เหยียนเซียงหม่าเอากล่องวางไว้บนโต๊ะหิน และค่อยๆดันกล่องไปตรงที่หลี่มู่หยางนั่งอยู่พร้อมพูดว่า ” นายลองเปิดดู”
หลี่มู่หยางไม่ได้ยื่นมือไปแตะกล่องที่งดงามอันนั้น เขายิ้มและส่ายหน้าพูดว่า ” ผมไม่ได้ทำอะไรให้เลยผมไม่รับของหรอกครับ ผมเพิ่งเจอกับพี่ชายเป็นครั้งแรก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายต้องให้ของกับผมด้วย?”
“ฉันมาเป็นตัวแทนของคุณแม่ มาขอบใจนายที่ได้เสียสละช่วยน้องสาวฉันไว้ ” เหยียนเซียงหม่าพูดยิ้มๆ เขาตกใจกับการกระทำของหลี่มู่หยางที่ไม่แตะต้องของอันมีค่าที่เขามอบให้ ถึงขนาดที่ไม่ลองเปิดดูด้วยซ้ำ เขากวาดสายตาไปมองบ้านของครอบครัวหลี่รอบๆ ถึงแม้ดูแล้วจะไม่ได้จนมาก แต่ก็ไม่ร่ำรวย ครอบครัวนี้เปิดร้านขายขนมปังเล็กๆ ซึ่งพอที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานของครอบครัว เด็กที่โตมาจากครอบครัวแบบนี้ ไม่ได้เป็นคนที่มีความปราถนาต่อเงินและของมีค่าหรอ?
“ตอนที่น้องสาวถูกลอบฆ่าที่ร้านกาแฟ โชคดีมากที่มีหลี่มู่หยางคอยช่วยไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะนายเข้ามาขัดขวางดาบของนักฆ่าคนนั้นไว้ล่ะก็ เกรงว่าคนรับใช้ของตระกูลก็คงเข้าไปช่วยไม่ทัน……..ตระกูลของพวกเราไม่คุ้นชินกับการติดหนี้บุญคุณคนอื่น ดังนั้นนายรับของสิ่งนี้ไว้เถอะ”
หลี่มู่หยางส่ายหน้าและพูดว่า ” พี่ชายพูดแบบนี้ งั้นผมก็ยิ่งรับของสิ่งนี้ไว้ไม่ได้”
เหยียนเซียงหว่าโบกพัดที่อยู่ในมือเบาๆและพูดว่า ” อ้อ? เหตุผลเพราะอะไร? ไหนลองพูดมาให้ฉันฟังหน่อยสิ”
“ชุยเสี่ยวซินเป็นน้องสาวของพี่จริงๆ แต่เธอก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกับผมด้วย ตอนนั้นที่พวกเราสองคนไปอยู่ที่ร้านกาแฟ ก็เป็นเพราะว่าเสี่ยวซินพูดจาปกป้องผมตอนที่ผมถูกคนอื่นรังแก และออกจากห้องเรียนมากับผมด้วยความโกรธ”
“อีกอย่าง ตอนนั้นเรื่องี่พวกเราพูดคุยกันที่ร้านกาแฟก็เป็นเรื่องการติวหนังสือให้ผม ใกล้จะสอบเอ็นทรานซ์แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ชุยเสี่ยวซินยอมทิ้งการอ่านหนังสือของตัวเองมาติวหนังสือให้ผม บุญคุณในครั้งนี้ผมจำไปตลอดชีวิต………..”
“ตอนที่นักฆ่าจู่โจม เรื่องมันกระทันหันมาก ผมเองก็ไม่มีเวลาได้เตรียมตัว แต่ไม่ว่าจะทำลงไปเพราะเป็นเพื่อนกับชุยเสี่ยวซิน หรือเพราะเป็นผู้ชายคนเดียวที่อยู่ข้างๆเธอตอนนั้น ในตอนนั้นผมมีหน้าที่ที่ต้องพุ่งตัวเข้าไปปกป้องเธอ ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถรับสิ่งของชิ้นนี้ไว้ได้ ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมควรทำเท่านั้นเอง”
ใบหน้าของเหยียนเซียงหม่ามีรอยยิ้ม เขากระพริบตามองหลี่มู่หยาง
ตอนที่หลี่มู่หยางกำลังพูดอยู่เขาไม่ได้หลบสายตา และม่มีร่องรอยของความกลัวหรือความไม่มั่นใจในตัวเอง ถ้าคนคนนี้ไม่ได้เป็นคนที่เก่งในเรื่องการปกปิดความชั่วร้านได้ดี งั้นก็แสดงว่าทุกคนที่เขาพูดออกมาล้วนเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริง
“เมื่อได้ยินนายพูดแบบนี้ ฉันกลับรู้สึกว่าการให้ของนายแบบนี้เป็นพฤติกรรมที่หยาบคายมาก หยาบคายเกินไป” เหยียนเซียงหม่าส่ายหน้าถอนหายใจ
“พี่ชายอย่าพูดแบบนั้น” หลี่มู่หยางพูดขัดไว้ เขาพูดว่า ” พี่ชายดูออกเลยว่าพี่โตมาในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลยิ่งใหญ่ก็จะมีกฏเกณฑ์และความภาคภูมิใจของตระกูล การที่พวกคุณมอบของขวัญเป็นการขอบคุณผม นี่ก็เป็นวิธีการตอบแทนขงพวกคุณ แต่ในมุมของผม ของขวัญชิ้นนี้เป็นของที่ไมไม่สามารถรับไว้ได้”
“อืม ไม่รับก็ไม่รับ” เหยียนเซียงหม่าเก็บกล่องคืนมา และใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ “งั้นพวกเรามาคุยเรื่องต่อไปกันดีกว่า”
“พี่ชายเชิญพูดเลยครับ”
“เมื่อกี้ฉันเห็นนายไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือ ตอนนี้นายติวหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง? ” เหยียนเซียงหม่าถามด้วยใบหน้ายิ้มๆ เขามักจะยิ้ม และเวลายิ้มเขาก็จะดูดีมากๆ มันทำให้คนที่เห็นง่ายที่จะเกิดความรู้สึกดีๆ
“กำลังพยายามอยู่ครับ” หลี่มู่หยางตอบด้วยความจริงจังและพูดต่อว่า ” ได้เรียนรู้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็มีความหวังมากขึ้นเท่านั้น”
“นายไม่ได้ตอบคำถามของฉัน” เหยียนเซียงหม่าพูด ” งั้นฉันจะเปลี่ยนวิธีถามที่ตรงประเด็นมากกว่านี้……….นายคิดว่านายมีความหวังที่จะสอบติดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมั้ย?”
“ทำให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องที่จะสอบติดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหรือไม่นั้น ก็คงต้องอยู่ที่ฟ้ากำหนด”
“ไม่ปลอดภัยเลย ไม่มีความปลอดภัยเลย ฟังจากน้ำเสียงของนาย เกรงว่านายเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองจะสอบติด ฉันเคยสืบคะแนนของนาย มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงสำหรับนายแล้วค่อนข้างห่างไกลอยู่มาก ” เหยียนเซียงหม่ามองหลี่มู่หยางด้วยสีหน้าที่จริงใจ และพูดว่า ” แบบนี้เอามั้ย? ถ้าฉันจะให้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงรับนายเข้าเรียน นายตะยอมรับมั้ย?”
ขนตายาวๆของหลี่มู่หยางกระพริบ เขาถามว่า ” ที่พูดนี่จริงหรอครับ?”
“แน่นอน นายลองไปสืบดูก็ได้ ฉัน เหยียนเซียงหม่าเคยพูดโกหกมั้ย?”
“แล้มผมต้องทำอะไรบ้าง?”
“ไม่ต้องทำอะไร”
“งั้นผมก็ต้องขอขอบคุณพี่ชายก่อนแล้วกัน” หลี่มู่หยางพูดด้วยความดีใจว่า “พี่ช่วยให้ผมได้ไปเรียนที่มหาวิทยลัยซีเฟิงมั้ย?”
เหยียนเซียงหม่ามีสีหน้ากลัดกลุ้ม และก็เป็นครั้งแรกที่เขาทำสีหน้าเย็นชาต่อหน้าหลี่มู่หยาง
“ไม่ดี” เหยียนเซียงหม่าพูดอย่างเย็นชา ” ข้อแรก นายไม่สามารถไปมหาวิทยาลัยซีเฟิงได้ เพื่อความปลอดภัยของนาย ฉันแนะนำว่านายไม่ควรไปที่เทียนตู ที่เมืองเทียนตูค่าครองชีพสูง ฉันกลัวว่านายจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ที่นั่น ข้อสอง ฉันสามารถช่วยให้นายได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงหนาน ส่วนจะเรียนคณะไหนนายก็สามารถเลือกได้ตามใจ………มหาวิทยาลัยเจียงหนานเป็นมหาวิทยาลัยของเมืองชั้นน้ำของประเทศ ฉันเองก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเจียงหนาน คิดว่านายคงไม่รังเกียจใช่มั้ย?”
“แต่………….” เหยียนเซียงหม่าจ้องหลี่มู่หยางและพูดว่า “ในเมื่อนายสามารถไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงหนานแล้ว งั้นก็ไม่มีความจำเป็นให้น้องสาวของฉันต้องเสียเวลามาช่วยติวหนังสือให้นายแล้วสินะ?”