หลี่มู่หยางไปแล้ว
เขาไปหลังจากที่พิสูจน์ให้เพื่อนๆทั้งห้องเห็นว่าเขาไม่ได้ทุจริต และหลังจากที่คุณครูจ้าวหมิงจูพูดขอโทษเขาแล้ว
“ผมไม่ยอมรับ”
นี่คือการตอบโต้ของเขา และก็คือความโกรธที่เขาไม่ยอม
เขาต้องการคำขอโทษ เพราะการที่อีกฝ่ายขอโทษก็แสดงว่าอีกฝ่ายทำผิด
แต่เขาไม่มีทางยอมรับคำขอโทษนี้ได้……….ความหวังและความฝันที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเขา เขาต้องการที่จะแสดงมันออกมาให้ดีที่สุดต่อหน้าคุณครูของเขาและต่อหน้าเพื่อนๆที่มักจะหัวเราะเยาะตัวเขา เขาต้องการจะบอกกับทุกคนว่า ไม่ใช่เขาไม่ขยัน และเขาก็ไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์ เขาเองก็ต้องการจะตั้งใจเรียน และเขาก็สามารถเรียนให้ดีได้………..
สรุปว่าเขาได้รับอะไร?
ถูกกล่าวหาว่าทุจริต!
ก็เหมือนกับที่เขาพูดนั่นแหละ นี่ต้องการจะฆ่าเขาหรอ
มีวัยรุ่นไร้เดียงสากี่คนกัน ที่ถูกคุณครูพูดทำลายชีวิต?
หลี่มู่หยางเดินนานมาก ในห้องเรียนยังคงเงียบสงัด
ใบหน้าของจ้าวหมิงจูสามารถบีบเป็นน้ำออกมาได้ เธอจ้องหลี่มู่หยางค่อยๆเดินจากไปอยู่นานมากโดยไม่พูดอะไร
การกระทำของเด็กนักเรียนคนนี้เหมือนเขากำลังตบหน้าเธอแรงๆ ในขณะเดียวกันเขาก็ให้บทเรียนที่สำคัญกับชีวิตของเธอ เป็นบทเรียนที่เธอจะไม่มีวันลืม
ตอนที่เธอมองออกไปนอกประตูนั้น ทักเรียนในห้องทุกคนต่างก็มองมาที่เธอ
พวกเขารู้สึกสับสน บางคนสงสารหลี่มู่หยาง และบางคนก็เข้าข้างจ้าวหมิงจู……คุณครูจ้าวพูดขอโทษแล้ว ทำไมหลี่มู่หยางถึงยังไม่ยอมหล่ะ?
พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมาตั้งใจครุ่นคิดดูแล้ว มันก็เหมือนปลาเจ้าเล่ห์ที่ว่ายดำดิ่งหายไปท่ามกลางทะเล ทำให้ยากที่จะหาร่องรอย
หลังจากผ่านไปหลายปีแล้ว ตอนที่พวกเขากลับมาคิดถึงเรื่องนี้ ภาพเหตุการณ์นี้ก็จะปรากฏขึ้นในสมองอีกครั้ง ถึงตอนนั้นพวกเขาจะจะรู้ว่าเรื่องราวธรรมดาๆที่เกิดขึ้นมันทำให้รู้อะไร
มันคือการเปลี่ยนแปลงที่งดงามและนิพพานของหัวใจ
ตอนที่จ้าวหมิงจูหันกลับมามองในห้องเรียน นักเรียนทุกคนต่างก็แกล้มก้มหน้าทำข้อสอบอย่างลุกลี้ลุกลน
แต่อารมณ์ที่ตื่นเต้นก็ยังไม่สามารถสงบได้
จ้าวหมิงจูอ้าป้าอยากจะพูดอะไร แต่เมื่อเธอจะพูดก็เหมือนมีอะไรมาอุดปากเอาไว้
“ทำข้อสอบดีดี” จ้าวหมิงจูพูดแบบนี้กับนักเรียน
ชุยเสี่ยวซินเอาปากกาใส่เข้าไปในกระเป๋าดินสอ หลังจากนั้นก็ถือข้อสอบเดินไปที่โพเดี้ยม
จ้าวหมิงจูมองชุยเสี่ยวซินด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอยิ้มและพูดว่า ” ตรวจทานแล้วยัง? อย่าสะเพร่านะ”
“ตรวจทานแล้วค่ะ” ชุยเสี่ยวซินตอบ หลังจากนั้นเธอก็หันหลังเดินออกจากห้องเรียนไป
ร่างกายของเธอบอบบาง ตอนที่แสงแดดสาดส่องลงบนผิวขาวๆของเธอราวกับว่าเป็นสีใส
“ชุยเสี่ยวซิน…………” จ้าวหมิงจูรีบตะโกนเรียก “เธอลืมเขียนชื่อ”
ชุยเสี่ยวซินไม่หันกลับมา เธอพูดว่า “คุณครูจ้าวคิดว่าข้อสอบนั้นใครเป็นคนทำ”…………….”
…………….
มันเป็นเวลาที่เหมาะสมและดวงอาทิตย์กำลังส่องแสง
หลี่มู่หยางและชุยเสี่ยวซินกำลังเดินอยู่ใต้ร่มไม้ในรั้วโรงเรียน เสียงของจั๊กจั่นดังขึ้น ราวกับว่าพวกมันกำลังบรรเลงให้กับพวกเขาสองคน
“เธอไม่ควรออกมา” หลี่มู่หยางพูด เขาทำลายความเงียบระว่างพวกเขาสองคน “การสอบเอ็นทรานซ์ใกล้เข้ามาแล้ว ทุกคนต่างก็เข้าสู่ระยะสุดท้ายของการวิ่ง…………”
“ฉันเคยบอกแล้วไง ฉันเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ” ชุยเสี่ยวซินพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
“เรียนรู้ให้มากขึ้นหน่อยก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว ช่วงนี้คุณครูคงต้องบอกจุดสำคัญเกี่ยวกับการสอบ ถ้าเธอไม่อยู่หล่ะก็ เธอก็ต้องพลาดข้อสอบพวกนั้นไม่ใช่หรอ? ถ้าเรื่องของฉันทำให้เธอเสียเวลาในการสอบเอ็นทรานซ์…………”
“ไม่มีทาง” ชุยเสี่ยวซินรีบพูดตัดบทหลี่มู่หยาง เธอพูดว่า “ฉันต้องเข้ามหาวิทยาลัยซีเฟิงให้ได้”
หลี่มู่หยางฉีกยิ้ม เขามีความสุขแทนเพื่อนของเขา เขาพูดว่า “มั่นใจขนาดนั้นเลย ดูท่าแล้วเธอคงเตรียมพร้อมแล้วจริงๆ”
“ฉันไม่ชอบการกระทำที่ทำอะไรไม่เตรียมการล่วงหน้า เพราะมันจะมีความไม่แน่นอนสูงมาก มันจะทำให้ฉันรู้สึกไม่มีความปลอดภัย….” ชุยเสี่ยวซินพูด และก็เงียบไป เธอเอียงหน้าหันไปมองหลี่มู่หยางทียืนอยู่ข้างๆ ” แต่ นายเป็นข้อยกเว้น”
“หืม?”
“หลี่มู่หยาง นายรู้ดีว่าการพัฒนาของนายมันน่าตกใจขนาดไหน ตอนที่ฉันติวหนังสือให้นายฉันก็ตกใจ วันนี้การที่คุณครูเกิดความสงสัยแบบนั้น ก็เป็นเรื่องที่ฉันคิดไว้อยู่แล้ว………แต่ ฉันก็ยังไม่ชอบพฤติกรรมแบบนั้นของคุณครูอยู่ดี อีกทั้งคำพูดที่มันเกินไป”
หลี่มู่หยางสูดมหายใจเข้าเบาๆ และพูดว่า ” อาจจะเป็นเพราะว่ารูปลักษณ์ภายนอกของฉัน ฉันเป็นคนที่ไม่เคยมีใครชอบ เดิมทีคิดว่าต้องการจะแสดงออกมาให้ดีดี พอที่จะทำให้คุณครูจ้าวมองฉันใหม่ เธอตบไหล่ฉันต่อหน้าเพื่อนทั้งห้อง และพูดว่าหลี่มู่หยางเป็นแบบอย่างที่ดีมาก……พอที่จะให้เพื่อนๆในห้องยิ้มให้ฉัน และพวกเขาก็พูดว่า หลี่มู่หยาง คิดไม่ถึงจริงๆว่านายจะซ่อนความเก่งไว้ลึกขนาดนี้ ฉันก็แค่อยากจะบอกให้พวกเขารู้ว่า ฉันก็เป็นเหมือนกับพวกเขา ฉันไม่ได้เป็นคนสติไม่ดี ไม่ได้เป็นหมูที่เอาแต่นอนทั้งวัน………”
ชุยเสี่ยวซินเงียบไม่พูดอะไร
เธอเข้าใจความรู้สึกของหลี่มู่หยางในตอนนี้
เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง และก็เป็นเด็กที่ฐานะยากจนคนหนึ่ง เขาอิจฉาที่เพื่อนๆคนอื่นมีเสื้อผ้าสวยๆ มีของเล่นดีดี เขารอจนเขามีวันนันนั้น วันที่เขาถือของเล่นของเขาและต้องการจะเอาไปโชว์ต่อหน้าเพื่อนๆ และอยากจะบอกกับพวกเขาว่า ดูสิฉันก็มีของเล่นนะ สรุปว่าทุกคนต่างก็กล่าวโทษเขาว่าของเล่นของเขาเป็นของที่ขโมยมา เด็กคนนั้นจะไม่เสียใจหรอ?”
หลังจากเงียบอยู่นาน ชุยเสี่ยวซินก็ถามขึ้นมาว่า “ต่อจากนี้นายวางแผนจะเอาอย่างไร?”
“ฉันตั้งใจว่าฉันจะติวหนังสือเองที่บ้าน” หลี่มู่หยางพูดว่า ” ฉันเคยคิดว่า ต่อให้อยู่ในห้องเรียน ฉันก็คงไม่มีทางได้เรียนรู้อะไรที่มากขึ้น วันนี้คุณครูจ้าวสงสัยว่าฉันทุจริต ถ้าครั้งหน้าคุณครูเฉินและคุณครูเจียงต่างก็สงสัยฉันแบบนั้นเหมือนกันหล่ะ? ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันติวหนังสือเองที่บ้านดีกว่า ถึวันสอบแล้วค่อยไปที่โรงเรียนแล้วกัน”
“ดี ฉันจะอยู่เป็นเเพื่อนนาย” ชุยเสี่ยวซินพูด
“อะไร?”
“ฉันยอมรับ ความสามารถในการเรียนรู้ของนายน่าตกใจมาก แต่จะเรียนอย่างไร เรียนอะไร จำเป็นต้องมีคนคอยอยู่ข้างๆช่วยแนะนำนาย…….พื้นฐานของนายอ่อนเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับความรู้พื้นฐานทั้งหมดกลับมา ฉันจึงต้องเป็นคนคอยบอกนายว่านายต้องเรียนรู้เนื้อหาอะไรบ้างในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ และเนื้อหาอะไรที่วางไว้ก่อนได้ แบบนั้นล่ะก็ นายก็จะสามารถใช้เวลาที่มีจำกัดมาเรียนรู้สิ่งที่สำคัญที่สุดได้”
“ชุยเสี่ยวซิน……….”
“ไม่ต้องซาบซึ้งใจ” ชุยเสี่ยวซินพูด เท้าทั้งสองข้างของเธอเหยียบบนลายแสงที่ลอดผ่านใบไม้ลงมา รองเท้าผ้าใบสีขาวบริสุทธิ์ถูกแสงส่องเป็นจุดๆเหมือนดวงดาวมากมาย ” ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันมีเหตุผล”
“อะไร?”
“ก็แค่หวังว่า ครั้งหน้าตอนที่ฉันชวนนายไปดูหนัง หวังว่านายจะไม่ปฏิเสธอย่างโหดร้ายอีก” ชุยเสี่ยวซินยิ้มมุมปาก และพูดออกมาอย่างสวยงามและมีเสน่ห์
“……………………..”
หลี่เหยียนพ่อของหลี่มู่หยางไปทำเรื่องขอลาเรียนให้กับหลี่มู่หยางที่โรงเรียน ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ทางโรงเรียนอนุมัติเร็วมาก
หลี่มู่หยางติวหนังสืออยู่ที่บ้าน ทุกวันชุยเสี่ยวซินจะมาติวหนังสือตัวต่อตัวให้หลี่มู่หยางที่บ้านของเขา
หลี่ซือเหนียนดีใจมาก ทุกวันหลังเลิกเรียนเธอก็จะหาผลไม้ไม่ก็ขนมมันฝรั่งอบกรอบมานั่งกินอยู่ข้างๆ
เธอไม่พอใจกับการที่หลี่มู่หยางให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากกว่าน้องสาวของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้เธอพยายามจะช่วยติวหนังสือให้หลี่มู่หยาง ต้องการจะช่วยดึงให้คะแนนผลการเรียนของพี่ชายสูงขึ้น แต่ทุกครั้งที่เธอพูดจนคอแห้งก็จะได้ยินเสียงกรนของหลี่มู่หยาง
เรื่องที่เธอทำไม่ได้ แต่ชุยเสี่ยวซินกลับทำได้ นี่ทำให้เธอรู้สึกสงสัยในเสน่ห์ของตัวเอง ทำให้หลายๆครั้งเธอจะพยายามกวาดสายตามองใบหน้าและรูปร่างของตัวเองในกระจกห้องน้ำ………หน้าอกของเธอก็ไม่ได้เล็กนี่นา
ทุกครั้งที่หลัวฉีแม่ของหลี่มู่หยางกลับมาจากร้านขนมปัง เธอก็จะเอาเค้กต่างๆมาฝากชุยเสี่ยวซิน เมื่อเห็นว่าชุยเสี่ยวซินชอบกินแบบไหน ครั้งต่อไปเธอก็จะเอาแบบนั้นมาเยอะขึ้น
ตอนที่หลัวฉีกำลังทำอาหารอยู่ในครัว หลี่เหยียนผู้เป็นสามีก็เดินเข้ามา
“กลับมาแล้วหรอ?” หลัวฉีกล่าวทักทายสามี ในขณะเดียวกันก็มองออกไปนอกหน้าต่างดูเด็กทั้งสองคนที่กำลังติวหนังสือกันอยู่ สายตามีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่
“ใช่” หลี่เหยียนหันไปมองข้างนอกและพูดว่า ” เด็กผู้หญิงคนนั้นมาอีกแล้ว? นี่คงไม่ได้มีความรักก่อนวัยอันควรกันใช่มั้ย?”
“ถ้ามีความรักกันจริงๆก็ดีสิ” หลัวฉีสูดลมหายใจและพูดว่า ” เป็นเด็กผู้หญิงที่ดีมากๆเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าหน้าตาสวยขนาดไหน ที่สำคัญคือบุคลิกดี เรียนดี นิสัยดี อีกทั้งได้รับการปลูกฝังที่ดี ทุกวันเธอจะมาช่วยมู่หยาง แต่เธอไม่เคยอยู่กินข้าวที่บ้านเราเลยซักครั้ง……….ผู้หญิงแบบนี้ถ้าไม่จองไว้ก่อนล่วงหน้า กลัวว่าต่อไปจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมู่หยางแล้วมั้ง?”
“แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะตัดสินใจกันเองได้ เพราะมู่หยางคือ……” หลี่เหยียนพูดออกมา
“หุบปาก” หลัวฉีจ้องสามีของตัวเองด้วยสายตาดุร้าย เหมือนหมาป่าที่หวงลูก ” ก่อนหน้านี้หลี่มู่หยางเป็นลูกชายของฉัน ต่อไปก็ยังเป็นลูกชายของฉัน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เอา ต่อไปนี้ใครหน้าไหนก็อย่าคิดจะมาแย่งเขาไปจากฉันอีก”