กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess 39 เฝ้ามองหญิงสาว

ตอนที่ 39 เฝ้ามองหญิงสาว

เมื่อฉู่เซียวซูออกจากห้องลับ หนึ่งในลูกน้องของเขากำลังรอต้อนรับเขาอยู่ มือขวาของผู้ใต้บังคับบัญชาทับตรงหน้าอก และก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพ

 

เสียงกรีดร้องที่ทุกข์ทรมาน ยังคงดังออกมาจากภายในห้อง อย่างไรก็ตาม ลูกน้องของเขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆต่อเสียงกรีดร้องนั้น เขาดูเฉยชาราวกับว่าได้ยินใครบางคนร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา

 

“เจ้ากำลังกล่าวว่า คุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน ออกไปพบหญิงสาวผู้หนึ่งหรือ?”

ฉู่เซียวซู กล่าวถามผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ในขณะที่เขาถือผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดอีกผืน

เพื่อเช็ดมือ

 

เขาตัดสินใจมอบหมายให้คนของเขาติดตามการเคลื่อนไหวของหลินเสี่ยวเฟย และรายงานทุกอย่างให้เขาทราบ

 

ซายี่พยักหน้าและรายงานต่อ

 

หลังจากได้ยินรายงานของชายี่ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ปากของฉู่เซี่ยวซูโค้งเล็กน้อยขณะที่เขาเลิกคิ้ว ดูเหมือนกำลังสนุก

 

เขาแปลกใจเล็กน้อย ที่หลินเสี่ยวเฟยเชิญหญิงสาวจากหงเป่ยโหลว ให้ขึ้นมานั่งในรถม้าของเธอ แม้จะใช้เวลานานกว่าจะแยกจากกัน เเต่เขาอดคิดไม่ได้ว่าคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน คงจะเปลี่ยนความชอบของเธอ หลังจากที่เธอโดนยกเลิกการหมั้นหมาย

 

“เจ้าได้ยินที่พวกเขาคุยกันในรถม้าหรือไม่” เขากล่าวถามซายี่ด้วยความสนใจอย่างโจ่งแจ้ง

 

อย่างไรก็ตาม ซายี่ส่ายหัวและกล่าวว่า “หญิงสาวพบ มีผู้ติดตามที่มีทักษะที่ยอดเยี่ยมเพราะกลัวว่าจะถูกค้นพบ ผู้ต่ำต้อยจึงไม่กล้าเข้าใกล้อย่างข้า”

 

ฉู่เซียวซูพยักหน้า ขณะที่เขาประสานมือไว้ด้านหลัง เขาเดินต่อไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ความคิดของเขา มักจะเหนือความคาดหมายของผู้คนเสมอ เเม้ลูกน้องของเขา ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับราชวงศ์ ซายี่ไม่กล้าที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเพียงแค่เดินตามเจ้านายของเขาอย่างเงียบๆ

 

จากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเซิงทั้งหมด เจ้านายของเขา ฉู่เซียวซูเป็นคนดีอย่างแท้จริง คงจะเป็นอะไรที่ดีมากที่เขาได้ติดตามเจ้านายเช่นนี้ต่อไป แม้ขุนนางต่างๆก็แสดงความเคารพต่อเขา ตระกูลต่างๆพร้อมที่จะยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเขา

 

เนื่องจากศักดิ์ศรีของท่านนายกคนก่อนซึ่งเป็นปู่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว และชื่อเสียงที่เขาได้รับในช่วงสงครามเมื่อไม่กี่ปีก่อน ดยุคเซียวจึงเทียบได้กับเจ้าชายจากสี่อาณาจักร ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาและร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ใครๆที่พบเห็นก็สามารถคลั่งไคล้ได้เพียงแค่เห็นหน้า แม้แต่เหล่าบริวาร ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง

 

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถจ้องมองทุกอย่างที่ต้องการได้ เพราะกลัวว่าจะถูกปลดออกโดยฉู่เซียวซู

 

คฤหาสน์ตระกูลหลิน

 

…..เมื่อออกมาจากลานบ้าน หวู่จิงหยานพาคนใช้ของเธอไปที่ลานเล็กๆ แต่ตกแต่งอย่างหรูหราเธอเห็นคนใช้ที่หน้าลาน คำนับเธอด้วยความเคารพ เพราะ เธอเป็นแม่ของคนที่อยู่อาศัยที่นี่

 

เมื่อเธอเข้าไปในที่พัก หวู่จิงหยานเห็นลูกสาวของเธอที่ข้างหน้าต่าง ขณะที่ก้มศีรษะลงขณะอ่านหนังสือ มือของเธอกำลังจดอะไรบางอย่าง ลงบนกระดาษ

 

“มันรวดเร็วเกินไป แต่โหลวเอ๋อของข้ากำลังขยันเรียนอยู่” หวู่จิงหยานกล่าว ขณะที่เธอนั่งข้างหลินฮัวโหลว “ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนไม่มีอะไรจะสอนเจ้าอีกแล้ว”

 

หลินฮัวโหลวหัวเราะเบาๆ วางพู่กันลงและมองดูแม่ของเธอ “ท่านเเม่ล้อข้าเล่นแล้ว หนังสือเพียงแค่นี้จะสามารถเทียบกับความฉลาดของท่านแม่ได้อย่างไร ข้าดีใจที่สุดที่ท่านเเม่จะมาสอนข้าที่นี่”

 

หวู่จิงหยาน ยิ้มเบาๆกับคำพูดของลูกสาวเธอ ขณะที่เธอยกมือขึ้นโอบลูกสาวด้วยความรัก

 

หลินฮัวโหลวเอียงศีรษะ เเละรู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ที่ท่านเเม่ของเธอมาเยี่ยมเธอถึงที่นี่ เธอจึงกล่าวถามว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่ ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ?”

 

หวู่จินหยานตกใจ เเละส่ายหัวทันที และกล่าวว่า “ทำไมโหลวเอ๋อลูกถึงคิดเช่นนั้น พ่อกับแม่ปฏิบัติต่อกันอย่างดี”

 

“ท่านแม่…” หลินฮัวโหลวรู้สึกขัดแย้ง เเละเธอควรบอกท่านแม่ของเธอให้พูดตรงๆ

 

ในคฤหาสน์ตระกูลหลิน ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าหลินเฟิงและหวู่จิงหยานอยู่ในสงครามเย็นกันนับตั้งแต่นางสนมเข้ามาในบ้าน

 

แม้ว่าทั้งสองจะไม่ยอมให้เเสดงให้ผู้ใดรู้ แต่คนรอบข้างก็สามารถสังเกตและรู้สึกว่าพวกเขาปฏิบัติต่อกันอย่างเย็นชา เเละไม่เหมือนในอดีต

 

ในฐานะลูกสาวของพวกเขา หลินฮัวโหลวไม่ใช่คนโง่ ที่เพิกเฉยต่อสัญญาณการแต่งงานที่ล้มเหลวของพ่อแม่ของเธอ

 

อย่างไรก็ตาม ในฐานะหญิงสาวจากตระกูลที่มีชื่อเสียง เธอไม่สามารถโวยวายเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อแม่เธอได้ มิฉะนั้น ผู้อื่นจะคิดว่าเธอมีอคติมากเกินไป

 

หลินฮัวโหลว เป็นที่รู้จักในฐานะหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบและอ่อนโยน เธอไม่สามารถเสี่ยง

เอาภาพลักษณ์ของเธอ ลากลงไปในโคลนเพียงเพราะพ่อแม่ของเธอ ดังนั้น เธออาจดูเหมือนกังวลเรื่องอาการของแม่ แต่ความจริงแล้ว เธอกังวลเรื่องภาพลักษณ์ตัวเองมากกว่า เธอแค่อยากจะทำทุกอย่างให้สำเร็จ และสมบูรณ์แบบ

 

หวู่จิงหยาน ไม่ได้เห็นว่าอารมณ์ในดวงตาของลูกสาวเธอเปลี่ยนไปกี่ครั้ง เพราะเธอก้มศีรษะลง ขณะที่เธอจ้องมองมือของเธอ ด้วยความละอาย

 

ความจริงที่ว่า ลูกสาวของเธอสังเกตเห็นปัญหาที่ทำให้เธอปวดหัวไม่รู้จบ ทำให้เธอรู้สึกอนาถใจมากขึ้นทุกวันนี้ นางสนมเริ่มมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าพวกเขากินความกล้าของเสือดาว พวกเขายังคงเอาหัวโขกกับหวู่จินหยาน เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างภรรยาที่ถูกกฎหมายและนางสนม

 

เธอรู้สึกขมขื่น หวู่จิงหยานตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง และกล่าวว่า ” โหลวเอ๋อ ลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามีบางอย่างเปลี่ยนไป”

 

“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร” หลินฮัวโหลวเงยหน้าขึ้น เมื่อใดก็ตามที่หลินเสี่ยวเฟยถูกกล่าวถึง พวกเขามักจะกล่าวถึงเธอว่า เป็นผู้ที่ชอบก่อปัญหาที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวด

 

“เเม่บอกเจ้าไม่ได้ว่าตรงไหน แต่เเม่คิดว่าเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ”

 

“คนเรามักจะเปลี่ยนไป ท่านแม่”

 

“แต่ไม่ใช่เช่นนั้น” หวู่จิงหยานส่ายหัวและเตือนเธอ “อย่างไรก็ตาม อย่าพยายามเข้าใกล้เธอ”

 

หลินฮัวโหลว ถอนหายใจและไม่คัดค้านแม่ของเธอ เนื่องจากเธอยืนกรานต่อต้านความคิดที่จะเข้าใกล้ลูกพี่ลูกน้องที่โง่เขลาและไร้ค่าอยู่เเล้ว

หลังจากที่ชูชูออกไป หลินเสี่ยวเฟยก็ถอนหายใจอย่างหนัก ขณะที่เธอเอนหลังศีรษะลงบนผนังไม้ของรถม้า

 

หากมีวิธีอื่น เธอจะไม่ยอมให้เพื่อนของเธอ ชูชู เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เพราะเธอเกรงว่าจะเป็นทำร้าย ชูชู หากแผนการทั้งหมดล้มเหลว อย่างไรก็ตาม หากเป็นเรื่องของคนที่เธอรัก เธอไม่ปรารถนาให้อันตรายเกิดขึ้นแก่พวกเขา

 

ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

“คุณหนู?” เฉินโม่เคาะประตูรถม้าจากด้านนอก

 

“มีอะไร?” หลินเสี่ยวเฟยถาม

 

“เราจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน ตอนนี้เลยหรือไม่?”

 

หลินเสี่ยวเฟย ใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ ดวงตาของเธอปิดลงเเละกำลังครุ่นคิด

 

เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเธอก็ดังขึ้นจากในรถม้า “ยังไม่กลับ ข้าต้องการเห็นอะไรบางอย่างก่อนจะกลับ”

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดของห้องลับ มีผู้ที่ถูกล่ามโซ่ไว้บนผนังและกำลังคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขากึ่งเปลือยเปล่า  และมีหย่อมเลือดแห้งไปทั่วร่างกาย

ในขณะเดียวกัน บาดแผลที่ผิวหนังหลายส่วนของเขา ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา

 

นอกจากนี้ หากมองใกล้ๆ ใบหน้าของเขาก็บวมและเปื้อนไปด้วยเลือด

ชายผู้นั้นถูกล่ามโซ่ไว้บนผนัง ดูคล้ายกับผีพยาบาท  แต่ดวงตาของเขาไม่เเสดงถึงความเกลียดชังหรือความโกรธ

 

มีเพียงความกลัวเท่านั้นที่เห็นได้ชัดในขณะที่แววตาของเขาจ้องมองไปที่ชายผู้หนึ่ง ที่นั่งอย่างเฉยเมยอยู่ตรงหน้าเขา

 

ด้วยเล็บมือที่ตัดเเต่งอย่างสวยงาม ชายผู้นั้นพลิกหน้าหนังสืออีกหน้าหนึ่ง จากหนังสือที่เขากำลังอ่านอยู่ ตรงหน้าเขามีโต๊ะวางชาร้อนหนึ่งถ้วย และจานขนมวางอยู่  หากมีใครมาเห็นคงคิดว่าเขากำลังนั่งปิกนิกอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะบรรยากาศที่น่าขนลุกภายในห้อง

 

ทันใดนั้น ชายผู้ที่นั่งอยู่ ก็กล่าวขึ้นว่า

 

“ข้าได้ยินมาว่า สายลับที่ได้รับการว่าจ้างมาจากราชวงศ์ ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความจงรักภักดีต่อเจ้านายของพวกเขาเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นแล้ว ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน เป็นการเสียเปล่าที่ข้าไม่สามารถใช้สายลับ เช่นนี้เป็นคนของข้าเองได้ ” เขาส่ายหัวราวกับว่าเขาผิดหวัง แต่รอยยิ้มที่สวยงามบนใบหน้าของเขา บอกเล่าเรื่องราวที่ตรงกันข้าม

 

“เจ้าคิดอย่างไร ข้าควรจ้างเจ้าให้เป็นหนึ่งในคนของข้า ดีหรือไม่”

 

เป็นอีกครั้ง ที่ชายผู้ถูกคุมขังสั่นสะท้านด้วยความกลัว ขณะที่เขาพยายามดิ้นหนีออกจากโซ่โลหะที่รั้งเขาไว้ ข้อมือของเขาถูกรัดจนแน่น เเละทำให้ผิวหนังของเขาได้รับบาดแผลมากขึ้น ในขณะที่เขายังคงเคลื่อนไหวต่อไป

 

หัวใจของเขากรีดร้องออกมาด้วยความเสียใจ ที่ยอมรับภารกิจในการสอดแนมผู้ที่โหดเหี้ยมเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม เขาจะรู้ได้อย่างไร ว่าชายที่เขาจะต้องมาสอดแนม เป็นผู้ที่น่ากลัวและโหดเหี้ยมที่สุด? ชายผู้นั้นสามารถจับและทรมานเขาได้ทันที เมื่อพบว่าเขาเป็นสายลับ

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีปัญหาเจ้าชื่ออะไรนะ… ปรมาจารย์ชาง?” ชายผู้นั้นลุกขึ้นจากที่นั่ง

และเดินเข้าไปใกล้นักโทษมากขึ้น “ชายหลายพันคน ขอให้ข้ารับพวกเขา แต่เจ้ากลับปฏิเสธที่จะตอบ

 

ปรมาจารย์ชาง ส่ายหัวด้วยความหวัดกลัว เขาต้องการจะพูด แต่มีเพียงคำพูดพล่อยๆเท่านั้นที่ออกมาจากปากของเขา เขาจะตอบคำถามของชายผู้โหดร้ายได้อย่างไร ในเมื่อลิ้นของเขาถูกตัดขาด?

 

ในฐานะสายลับที่มีชื่อเสียง ปรมาจารย์ชางเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุด ที่ผู้คนจากสี่อาณาจักรต้องการตัวเขา และมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเขามาถึงอาณาจักรเซิง เขาได้รับเงินจำนวนมหาศาลจากราชวงศ์

 

เขามีความสุขมาก ที่ได้รับทองคำเเละเงินจำนวนมหาศาลในภารกิจเดียว การที่เขาได้รับเงินจำนวนมหาศาลนี้ เขาจะต้องทำงานไม่หยุดเป็นเวลาหนึ่งปี จากนั้นราชวงศ์เเห่งอาณาจักรเซิง

ก็เต็มใจที่จะมอบทองคำเเละเงินอีกมหาศาลให้กับเขา เพื่อไปทำภารกิจสอดแนมดยุคเซียว

 

ถูกต้อง บุคคลที่เป็น เป้าหมายของภารกิจนี้คือชายที่อยู่ตรงหน้าก็ดยุคเซียวเเละเป็นคนๆเดียวกันกับฉู่เซียวซู

 

ปรมาจารย์ชาง ยังคงไม่อยากเชื่อเลยว่าชายผู้คนคิดว่าหายตัวไปจากสายตาของสาธารณชน และเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก ตอนนี้กำลังสนุกจากการทรมานใครสักคน

 

ตลอดทั้งคืนปรมาจารย์ชาง อยู่ภายใต้แรงกดดันและความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก โดยได้รับความอนุเคราะห์จากฉู่เซียวซู ซึ่งอยู่ในห้องที่มืดและสกปรก ราวกับว่ามันเป็นของเขาเอง

 

เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงด้วยการออกแบบสีเงินที่สลับซับซ้อนซึ่งบิดเป็นเกลียวและม้วนงอที่แขนเสื้อและปกเสื้อ ฉู่เซียวซูเป็นชายที่มีเสน่ห์ ที่สามารถทำให้หญิงสาวทุกคนคุกเข่าต่อหน้า เพื่อขอความรักจากเขา ผมสีดำของเขาพาดบ่า และดูเหมือนเขาจะไม่ได้รีบร้อนที่จะมัดมัน แม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

 

ฉู่เซียวซูใช้มือที่สะอาดและแข็งแรงของเขา จับเข้าไปที่คอของปรมาจารย์ชางอย่างแรง

เขาใช้กำลังมากพอที่จะทำให้ปรมาจารย์ชางหายใจไม่ออก แต่ไม่มากพอที่จะฆ่าเขาหรือทำให้เขาหมดสติไป

 

ใบหน้าของเขายิ้มอย่างชั่วร้าย น้ำเสียงขี้เล่นของฉู่เซียวซูเริ่มดังขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่เขาเข้าใกล้สายลับ เเละกล่าวว่า “หรือข้อเสนอของราชวงศ์ นั้นดีต่อเจ้ามากกว่าข้า?”

 

ดวงตาของปรมาจารย์ชางเบิกกว้าง เมื่อชายตรงหน้ากล่าวถึงราชวงศ์

 

ตลอดเวลานี้ เขาไม่เคยมีโอกาสเปิดปากเลย เขาไม่ปรารถนาที่จะทรยศต่อราชวงศ์ด้วยความกลัวผลสะท้อนจากการกระทำของเขา

 

เขายังสูญเสียความสามารถในการพูดหลังจากถูกตัดลิ้นจากการทรมาน เล็บของเขาถูกดึงออก พร้อมกับการทำลายร่างกายของเขาอย่างไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทันทีที่เขาถูกจับ ดยุคเซียวได้มองเห็นผ่านหน้ากากของเขา และรู้ถึงตัวตนของ ผู้ว่าจ้างเขามานานแล้ว

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขาพบว่าดยุคเซียวไม่สนใจว่าราชวงศ์จะรู้เรื่องนี้หรือไม่ และพบว่าเขาคงจะสงสัยหลังจากสายลับของพวกเขาถูกจับ

 

มีข่าวลือว่า ดยุคเซียวยอมจำนนต่อราชวงศ์ แต่หลังจากได้เห็นและได้ประสบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปรมาจารย์ชางก็ตระหนักว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น ดยุคเซียวไม่ได้เกรงกลัวต่อราชวงศ์เลย

 

บางทีดยุคเซียวอาจจะเบื่อที่เขาไม่สามารถตอบสนองอะไรได้ จึงปล่อยคอของเขา เเละส่อแววตาที่รังเกียจปรากฏขึ้นขณะที่เขามองลงมาที่มือเขาเอง

 

ทันทีที่เขาปล่อยคอของปรมาจารย์ชาง ร่างที่ซ่อนอยู่ในความมืด ที่ไหนสักแห่งในห้อง ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆเขา และหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกจากกระเป๋า

 

ฉู่เซียวซูหยิบผ้าเช็ดหน้า แล้วเช็ดมือที่สกปรกของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเขาทำเสร็จ ดยุคเซียวก็ปล่อยผ้าเช็ดหน้าทิ้งลงบนที่พื้นสกปรก ราวกับว่ามันเป็นสิ่งของที่ไร้ค่า

 

เขาหันกลับมา และกำลังจะเดินออกจากห้อง ทันใดนั้น เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ว่า

 

“ทำความสะอาดห้องนี้ และอย่าทิ้งสิ่งสกปรกไว้ให้รกสายตา ข้าไม่ต้องการให้ ‘แขก’ คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาถูกละเลย หากพวกเขามาถึงที่นี่”

 

“ครับนายท่าน!”

“มันน่าสงสัยมาก ท่านเอาเเต่บอกข้าว่าไม่ต้องคิดมากอย่าตื่นตัว และให้ไว้ใจท่านได้” ชูชูกล่าว ขณะที่เธอจ้องมองหลินเสี่ยวเฟย

 

“ข้าเข้าใจ เเต่ไม่เป็นไร เพราะเราก็ค่อนข้างเหมือนกัน” หลินเสี่ยวเฟยถอนหายใจ

เเละตัดสินใจ ที่จะไม่บังคับให้ชูชูเชื่อเธอ ตรงกันข้าม เธอดีใจที่ชูชูคอยระวังตัวอยู่เสมอ และไม่เชื่อใจใครง่ายๆ เเต่เกรงว่ามันจะส่งผลเสียกับเธ

 

หลินเสี่ยวเฟย เปรียบได้กับหญิงสาวผู้นี้ จิตใจของพวกเขาปฏิเสธที่จะเชื่อใจใครง่ายๆ หลังจากถูกหักหลังมาแล้วหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเธอได้รับโอกาสครั้งที่สอง ภายในร่างของอีกคนหนึ่ง หลินเสี่ยวเฟยรู้ว่าเธอสามารถไว้วางใจชูชูได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าเธอจะไม่มีวันได้รับความไว้วางใจจากชูชูก็ตาม

 

เธอเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายและจากความยากจน โดยมีชูชูที่คอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ในขณะที่ประสบกับความโหดร้ายของโลก พวกเขามีชื่อเสียงในฐานะ ‘เจ้าหญิงแสนซนสองคน’ ในเมืองเล็กๆของพวกเขา ด้วยเหตุผลนั้น ผู้คนในเมืองจึงพยายามส่งพวกเธอออกไป เพราะพวกเขาไม่อยากให้พวกเธอสร้างความวุ่นวายให้แก่พวกเขา

 

หลินเสี่ยวเฟย เอามือเท้าคางขณะที่เธอมองดูกลีบดอกไม้ ที่กำลังลอยอยู่ในถ้วยน้ำชาของเธอ

 

ชูชู รู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงกล่าวว่า

 

“ท่านจะทำอะไรกับ ‘กล่อง’? ท่านอาจจะใช้มันเพื่อประโยชน์ของท่านเอง หรือปล่อยให้ผู้อื่นใช้มัน?” จากนั้น เธอก็พูดต่ออีกเล็กน้อยอย่างช้าๆว่า

 

“ข้าคงจะให้กล่องกับท่านไม่ได้ เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็รู้ว่ามีตัวตนแบบไหนอยู่เบื้องหลัง ท่านอาจไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะปกป้องผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์นี้ และสิ่งที่ท่านวางแผนไว้อาจล้มเหลวได้เช่นกัน”

 

เมื่อพิจารณาแล้วว่า หลินเสี่ยวเฟยเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์จากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง

ในอาณาจักรเซิง แผนการที่เธอวางไว้ อาจจะส่งผลกับคนอื่น

 

ชูชู เพียงแค่กลัวว่าผู้บริสุทธิ์จะเดือดร้อนจากสิ่งที่พวกเขาวางแผนไว้ในอนาคต

นอกจากนี้ หลินเสี่ยวเฟยยังมีชื่อเสียงในเรื่องความงี่เง่าและความชั่วร้าย

ซึ่งอาจจะมีปัญหากับตัวเธอเองในภายหลัง

 

นั่นคือเหตุผลที่ชูชูมองว่ามันยาก ที่จะมอบกล่องให้กับหลินเสี่ยวเฟย ซึ่งจู่ๆเธอก็โผล่มาและอ้างว่ารู้จักกับเสี่ยวเฟยเพื่อนของเธอ

 

น่าแปลกใจที่ชูชูลืมไปเลย ว่าจะถามความเกี่ยวข้องระหว่างหญิงสาวตรงหน้ากับเพื่อนของเธอ พวกเธอพูดคุยกันถูกคอจนหน้าประหลาดใจ จนไม่สามารถหยุดพูดคุยกันได้

 

หลินเสี่ยวเฟย อ้างว่ารู้จักเสี่ยวเฟยเพื่อนของเธอ แต่ใครจะรู้ว่าเธอโกหกเรื่องทั้งหมด

 

ดังนั้น ชูชูจึงเริ่มไม่แน่ใจมากขึ้น ว่าเธอควรทำอะไรและพูดอะไรในตอนนี้

ชูชูไม่สามารถช่วยได้ เธอได้เเต่ระวังคำตอบของหลินเสี่ยวเฟย ในขณะที่ หลินเสี่ยวเฟยตอบเธอในทันที

 

“ข้าจะใช้มันด้วยเหตุผลส่วนตัว หรือให้ผู้อื่นใช้มันมันต่างกันอย่างไร เมื่อสิ่งของภายกล่องใช้ได้กับคนที่หวาดกลัวมันเท่านั้น” หลินเสี่ยวเฟยยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าถามถึงประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับข้าหรือไม่ถ้าข้าใช้มันเพื่อเป้าหมายของข้าเอง แล้วการที่ให้คนอื่นใช้มันล่ะ พวกเขาจะได้อะไรจากมันไหม”

 

“ไม่.” เธอโน้มตัวไปข้างหน้า และจ้องตรงไปที่ชูชู “ไม่มีใครได้อะไร เราจะสูญเสียบางสิ่งเมื่อสิ่งของในกล่องถูกนำออกมาเปิด หัวจะกลิ้งบนพื้นและอาณาจักรเซิงจะถูกกินทั้งเป็นโดยอาณาจักรที่กำลังจับจ้องเหมือนดังเดรัจฉาน”

 

“นั่นเป็นความอันตรายของสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในกล่อง”

 

“แล้วทำไม ท่านถึงยังต้องการมันอีก หลังจากที่รู้ถึงความเสี่ยงและผลที่จะตามมาจากสิ่งที่ผูกติดอยู่กับกล่อง” ชูชูขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ “ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะยอมสละทั้งทรัพย์สมบัติ และอยู่อย่างสงบสุขเพียงเพื่อสร้างความหายนะ และก่อความสับสนในอาณาจักร”

 

ในฐานะหญิงคนหนึ่งที่เคยทำงานในหอนางโลม  ชูชูรู้ว่าหญิงสาวมักเลือกที่จะอยู่อย่างสบายเเละสงบสุข พวกเขาต้องการแต่งงานกับขุนนางที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด เพื่อที่หลุดพ้นจากความตกต่ำที่พวกเขาอยู่ แม้แต่หญิงสาวจากตระกูลที่ดีก็ยังใฝ่ฝันที่จะได้ครองคู่กับคนที่จะทำให้ทุกคนอิจฉาเมื่อแต่งงานแล้ว

 

ดังนั้น หลินเสี่ยวเฟย ซึ่งเป็นคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน ควรพิจารณาเรื่องนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่ชูชูสามารถคาดเดาได้ว่า หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอไม่มี กลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย  หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่ฝันกลางวันถึงอนาคตในจินตนาการ

 

ด้วยคำพูดของหลินเสี่ยวเฟย ในที่สุดชูชูก็เข้าใจว่าทำไมกล่องถึงมีความสำคัญต่อเพื่อนของเธอมาก จนเธอเต็มใจที่จะรับการทรมานไม่รู้จบและตายโดยไม่เปิดปาก

 

ทันใดนั้น หญิงสาวที่นั่งตรงหน้าเธอยกมือขึ้นจิบชาจากถ้วย จากนั้น ขณะที่เธอค่อยๆลดถ้วยน้ำชาลง ใบหน้าของเธอก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อข้า” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวว่า “จะเสียสละเพื่ออะไรหรือผู้ใด ข้าคิดไว้แล้ว”

 

“ท่านจะทำ?” ชูชูกล่าวถามอย่างกังวล

 

“ใช่.” หลินเสี่ยวเฟยยิ้มอย่างชั่วร้าย ขณะที่เธอมองออกไปข้างนอก ผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย

 

 

เมื่อชูชูออกจากรถม้า เธอสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าตอนนี้มืดเล็กน้อย ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ที่จุดสูงสุดสูงสุดทันทีที่เธอเข้าไปในรถม้า ตอนนี้กำลังจะหายไป เมฆไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยแม้ว่าวันนั้นจะมืดเเล้ว แต่ยังมีโคมไฟที่สว่างสดใสและมีชีวิตชีวาของทุกๆร้านค้าที่ตั้งอยู่ตามถนน

 

เมื่อหันหลังกลับไปมอง ชูชูไม่แน่ใจว่าเธอควรรู้สึกอย่างไร กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถม้า

 

พวกเขาพูดคุยกันหลายเรื่อง และแต่ละกรณีที่หลินเสี่ยวเปิดปากของเธอ ชูชูไม่สามารถหยุดความรู้สึกสับสนพร้อมกับความรู้สึกหนาวเหน็บ ที่เธอได้รับจากการครุ่นคิดตลอดเวลา

 

เธอไม่เคยพบใคร ที่มีความคิดที่ชั่วร้ายได้เหมือนกับหลินเสี่ยวเฟย

 

แม้แต่เพื่อนของเธอเสี่ยวเฟย ซึ่งเธอเป็นที่รู้จักในเรื่องความชั่วร้าย ก็ยังคิดทบทวนสิ่งต่างๆ มากมาย และพยายามที่จะไม่เสียสละอะไรไปได้ เเต่หลินเสี่ยวเฟยคล้ายกับทหารพลีชีพ ที่สามารถเสียสละทุกอย่างได้ แม้กระทั่งชีวิตเพื่อบรรลุเป้าหมาย

เฉินโม่ นำทางชูชูไปยังรถม้าขนาดใหญ่ที่จอดอยู่ใกล้ร้านขายเครื่องประดับ รถม้านี้ไม่ได้ดูหรูหรามากนัก อย่างไรก็ตาม ขนาดของมันสามารถบดบังเเสงสว่างอย่างท่วมท้น ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกหวาดกลัว

 

ชูชู หยุดอยู่หน้ารถม้า และจ้องไปที่เฉินโม่ด้วยความไม่เต็มใจ เธอกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ หากเธอเข้าไปอยู่ในขอบเขตของรถม้า ดังนั้น เธอจึงสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัวเธออย่างระมัดระวัง

 

ข้างหลังเธอ คือคนธรรมดาๆที่พยายามสนุกกับวันที่สวยงามเช่นนี้ เธอมองไปรอบๆเเละไม่พบคนที่น่าสงสัยรอซุ่มโจมตีเธออยู่ จึงทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถหยุดความลังเลใจที่ค่อยๆเกิดขึ้นในตัวเธอได้ เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอเข้าไปในรถม้า

 

เมื่อสังเกตเห็น ความไม่สงบของเธอ เฉินโม่ก็สร้างความเชื่อใจให้กับเธอ และกล่าวว่า

“นายท่านของข้าอยู่ในรถม้า เจ้าไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด เพราะรถม้าจะไม่เคลื่อนย้ายไปไหนในตอนนี้”

 

ชูชูพยักหน้า วางเท้าบนเก้าอี้ที่ใช้ในการปีนขึ้นรถม้า จากนั้น เธอก็เปิดผ้าม่านที่ปิดหน้าต่างรถม้าออก ขณะที่เฉินโม่รออยู่ข้างนอกเพื่อคุ้มกัน

 

เมื่อชูชูเปิดผ้าม่าน ภาพแรกที่เธอเห็นเธอรู้สึกตกใจ มันทำให้เธอสงสัยว่า เธอกำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

 

ภายในนั้นสิ่งของตกเเต่งดูธรรมดาๆเหมือนกับห้องโดยสารอื่นๆ ที่เธอเคยเห็นมาก่อน เเต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจ

 

ภายในที่ของรถม้า มีหญิงสาว ที่มีใบหน้าอันงดงามนั่งอยู่อย่างเฉยเมย ดวงตาของเธอกำลังเหม่อมองไปยังถนนด้านนอก

 

เธอดูมีเสน่ห์มาก เธอสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ที่ประดับประดาด้วยลวดลายสีดำที่สลับซับซ้อน

และโดดเด่นที่ชายกระโปรงของเธอ แม้แต่ชูชู ซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง เเต่เธอยังคงตกตะลึง เมื่อได้มองดูหญิงงามตรงหน้าเธอ .

 

เมื่อได้ยินความวุ่นวายจากเฉินโม่และชูชู หลินเสี่ยวเฟยก็ยังไม่หันมองไปที่ชูชู ที่เพิ่งขึ้นรถ

 

เธอมองออกไปข้างนอก ราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นคนใหม่ ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในพื้นที่ของเธอเเละเธอยังคงเพิกเฉยต่อการปรากฏตัวของผู้มาใหม่

 

เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งนาที ชูชูตัดสินใจที่จะสลัดความคิดตัวเองออกจากภวังค์ ในตอนที่เธอได้เห็นหลินเสี่ยวเฟย

 

“ท่าน… ท่านคือชายหนุ่มที่มาพบข้าครั้งที่แล้วหรือ?” ชูชูกล่าวถาม เเต่ดวงตาของเธอก็ไม่ละทิ้งร่างของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า

 

แน่นอน ว่ามีบางกรณีที่เด็กผู้ชายบางคนมีรูปร่างคล้ายหญิงสาวเมื่อเขาอายุยังน้อย แต่ในตอนที่เขาค่อยๆโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในทันที รูปร่างหน้าตา ความสูง และเสียงของพวกเขาจะเปลี่ยนไป และพวกเขาจะสามารถแสดงออกถึงความเป็นชายโดยธรรมชาติของพวกเขาได้

 

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่เธอพบครั้งล่าสุด ไม่ได้ดูเหมือนผู้ชายสักเท่าไหร่ กิริยาท่าทางทุกอย่างที่เธอแสดงออกมา คล้ายคลึงกับผู้หญิง ดังนั้น ชูชูจึงรู้สึกว่าชายหนุ่มที่เธอพบในขณะนั้น ไม่เหมือนที่เขาแสดงออกมา

 

การคาดเดาของเธอ ได้รับการยืนยันอย่างรวดเร็ว เมื่อหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอพยักหน้าช้าๆ เเละรอยยิ้มเย็นชา ผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอ

 

“ใช่.” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวตอบ เพื่อขจัดข้อสงสัยของเธอ ขณะที่เธอชี้มือไปที่เก้าอี้ในรถม้า

และกล่าวว่า “นั่งลงก่อนเถิด”

 

ชูชู นั่งบนเก้าอี้และจ้องไปที่หลินเสี่ยวเฟย ด้วยใบหน้าที่รู้สึกแปลกๆ คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันราวกับว่าเธอกำลังพยายามไขปริศนา ขณะที่เธอได้มองไปที่ใบหน้าของหลินเสี่ยวเฟย

 

“ข้ากับท่าน เคยเจอกันมาก่อนหรือไม่” เธอกล่าว แต่เธอก็แก้ไขคำพูดของเธอ “ข้าหมายถึงก่อนหน้านี้ เราเคยพบกันที่ไป่ฮัวโหลว…”

 

หลินเสี่ยวเฟยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่จะส่ายหัวเป็นคำตอบ

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง หลินเสี่ยวเฟยก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย ขณะที่เธอคิดว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ใครจะนึกถึงความเป็นไปได้ ว่าเธอจะครอบครองร่างของหญิงสาวตระกูลหลินอยู่ มันทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

ฝ่ามือของเธอเริ่มเหงื่อออก ขณะที่เธอหลีกเลี่ยงดวงตาที่ซื่อสัตย์และชัดเจนของชูชู

ตรงข้ามกับดวงตาที่เย็นชาของเธอ ซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับ

 

ใบหน้าของเธอ ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียวและแข็งทื่อเหมือนเมื่อก่อน พวกเขาไม่ได้ทรยศต่อเธอและไม่ได้แสดงให้คนอื่นรู้ว่าเธอกำลังโกหก

 

“ข้าไม่คิด ว่าข้าจะมีโอกาสได้พบกับเจ้า แต่ข้าแน่ใจ ว่าเจ้าต้องเคยพบเห็นและเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับข้า ดังนั้น ความรู้สึกคุ้นเคยจึงมีอยู่” เธอกล่าว.

 

คำพูดของเธอ ดึงดูดความสนใจของชูชู “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

 

หลินเสี่ยวเฟย เพียงยิ้มและกล่าวว่า

 

“ข้าแน่ใจ ว่าเจ้าต้องเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน หญิงสาวที่มีบุคลิกหยิ่งยโสและโง่เขลา ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นความอัปยศของตระกูลหลิน หญิงสาวที่ข้ากำลังพูดถึง และหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เป็นคนๆเดียวกัน เจ้ายังคิดว่าเจ้ายังไม่เคยได้ยินชื่อข้าอีกหรือ?”

 

คำพูดของชูชู ติดอยู่ที่ลำคอของเธอ ขณะที่เธอมองหลินเสี่ยวเฟย ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ความสับสนของเธอก็ปรากฏชัด เเละทำให้เธอพูดไม่ออก

 

หลินเสี่ยวเฟย? นั่นคงไม่ใช่หญิงสาวคนเดียวกัน ที่เอาเเต่เก็บตัวอยู่ในบ้านของเธอเป็นเวลาสามปี ใช่หรือไม่?

 

ข่าวของคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน ไม่ได้ถูกปิดบังจากสาธารณะ เเละข่าวต่างๆก็ได้เเพร่กระจายมาถึงย่านหอนางโลมทุกแห่ง ทั่วเมืองหลวง ดังนั้น ชูชูพบว่า มันแปลกที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอ คือหลินเสี่ยวเฟยผู้มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน

 

นอกจากนี้ ยังเป็นชายหนุ่มคนเดิม ที่เธอพบเมื่อไม่กี่วันก่อน คนที่อ้างว่าเขาจะช่วยเธอในการแก้แค้น เเละเธอยังเป็นคนที่เพื่อนของเธอ เสี่ยวเฟยมอบหมายให้ดูแลเรื่อง ‘กล่อง’

 

ขณะที่มองดูหลินเสี่ยวเฟยอย่างวิตกกังกล เธอถามว่า “แม่ทัพหลิน สั่งให้ท่านพูดเช่นนั้นหรือ?”

 

“ไม่.”หลินเสี่ยวเฟย ตอบอย่างง่ายๆ ขณะที่เธอกล่าวต่อ “ท่านตาของข้า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เรากำลังจะพูดถึง ดังนั้น เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เมื่ออยู่ใกล้ข้า”

ถนนสายตะวันตก คึกคักเเละเต็มไปด้วยผู้คนและดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ เนื่องจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่กำลังใกล้เข้ามา ผู้คนในเมืองหลวงอาณาจักรเซิง จึงรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นอย่างมากกับเทศกาลนี้

 

เทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่ราชวงศ์จะออกจากพระราชวังราชวัง เพื่อเที่ยวชมเทศกาลและใกล้ชิดกับผู้คนในอาณาจักรเซิง แน่นอน ว่านี่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะต้องไปเดินปะปนกับคนอื่นๆ เนื่องจากราชวงศ์ จะมีแท่นที่สร้างขึ้นในถนนย่านการค้าของเมืองหลวง ขณะที่คนอื่นๆจะยืนอยู่ใต้แท่น ราวกับกำลังสักการะพระเจ้า

 

ทุกร้าน ที่มีขนาดแตกต่างกัน จะเปิดขึ้นโดยหวังว่าจะดึงดูดลูกค้าจำนวนมาก

ให้มาที่ร้านค้าของพวกเขา และได้รับกำไรอย่างมหาศาลจากเทศกาลนี้ บรรดาขุนนางและมหาเศรษฐี ก็จะออกมาและซื้อของที่พวกเขาถูกใจ ในขณะที่พวกเขา ถูกล้อมไว้ด้วยกลุ่มคนที่มีฐานะดีเช่นเดียวกัน สำหรับสามัญชนที่เกิดมาต่ำต้อยและยากจน พวกเขาสามารถชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงามและได้เห็นราชวงศ์

 

บนสะพานเล็กๆที่มีคลองอยู่ข้างใต้ หญิงสาวผู้หนึ่ง กำลังรออย่างใจจดใจจ่อ และมองดูผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนสะพานโดยไม่มีผู้ใดสนใจกัน

 

ทว่าสิ่งที่เธอคาดหวังกลับไม่มา

 

หากใครมองเธอใกล้ๆ พวกเขาจะสังเกตเห็นความงดงามโดยกำเนิดของหญิงสาวผู้นี้

อย่างไรก็ตาม เพราะเธอมีผิวพรรณที่ซีดเล็กน้อย และสวมเสื้อผ้าสีโคลนธรรมดา จึงไม่ค่อยมีผู้คนมองมาที่เธอ

 

หญิงสาวผู้ที่กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่มีใครอื่นนอกจากชูชู สาวงามที่เคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของไป่ฮัวโหลว เมื่อสามปีที่แล้ว

 

เมื่อวานนี้ ชูชูได้รับจดหมายจากผู้ส่งที่ไม่รู้จัก ผ่านนกส่งจดหมายที่ได้รับการฝึกฝนให้ส่งและรับจดหมาย และเมื่อเธอได้อ่านมัน เนื้อหาในจดหมายบอกว่าให้เธอไปพบในวันนี้ ที่ถนนตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของสะพาน

 

เธอไม่รู้ตัวตนของผู้ส่ง แต่เธอคิดว่าน่าจะต้องเป็นชายหนุ่มที่มาไป่ฮัวโหลวเเละพบเธอ

เธอไม่คิดว่าเป็นหยูเฟิงซูหรือคนของเขา เพราะเขาคงจะไม่สนใจเธอ เมื่อเขามีหลายสิ่งที่ต้องทำในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในฐานะองค์ชายสี่แห่งอาณาจักรเซิง

 

นอกจากพ่อค้าและคนรับใช้ที่ยุ่งอย่างมากเมื่อใกล้ถึงเทศกาล ราชวงศ์ก็ไม่มีเวลาพักผ่อนเพราะพวกเขามีหน้าที่ทำให้เทศกาลนี้ประสบความสำเร็จ และไม่อับอายต่ออาณาจักรเพื่อนบ้าน

 

ในฐานะองค์ชายที่ไล่ตามบัลลังก์ หยูเฟิงซูจะไม่ปล่อยให้โอกาสสร้างความประทับใจ

ให้กับสาธารณชนและจักรพรรดิซึ่งเป็นพ่อเขา ให้หลุดมือไป

 

ชูชู มองไปยังรอบๆอีกครั้ง และยังไม่เห็นชายหนุ่มที่เธอพบเมื่อครั้งที่แล้ว

เธอรอมาเกือบสองชั่วโมง แล้วและรู้สึกใจร้อน เธอคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะต้องโกหกเธอ

 

เธอรออีกสองสามนาที แต่ถึงกระนั้น คนที่บอกให้เธอมาก็ไม่ปรากฏเสียที

 

ชูชูกำลังจะลุกขึ้นเดินจากไป เเต่ในขณะนั้น เธอเห็นชายหน้าตาดี ที่มีใบหน้าสะอาดมาขวางทางเธอในทันที เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่ชายผู้นั้น และกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไปให้พ้นทางของข้า!”

 

อย่างไรก็ตาม ชายผู้นั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและกล่าวว่า “ข้าทำมิได้ นายท่านของข้า สั่งให้ข้าพาตัวเจ้าไปด้วย”

 

ชูชูตระหนักว่า ชายผู้นี้ไม่ได้พยายามจะหยุดเธอ แต่เขาอยากให้เธอไปพบนายท่านของเขา

 

ใครกันที่เป็นนายท่านของเขา ชูชูไม่เชื่อ และมองไปที่เขาอย่างสงสัย

 

ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มธรรมดาที่ไม่มีลวดลายใดๆเขายังมัดผมด้วยเข็มกลัดหยกและร่างของเขาตั้งตระหง่านสูงกว่าเธออย่างท่วมท้น  อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถมีอะไรบอกเธอได้ว่า เขาเป็นพวกขุนนางหรือไม่

 

ท่าทางที่เขายืนเปรียบเสมือนกับไม้เรียว เธอคิดว่า เขาคงไม่ใช่คนธรรมดาและคงจะเคยชินกับการให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการเขาให้ทำตามหน้าที่

 

เฉินโม่ ที่กำลังถูกจ้องมองด้วยความสงสัย ราวกับว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋น เขารู้ว่าเขาไม่มีใบหน้าที่ดูดีเหมือนชายหนุ่มที่หล่อเหลาในเมืองหลวง อย่างไรก็ตาม เขามีใบหน้าที่เรียบร้อยและปกติแล้วเพื่อนทหารของเขา จะชื่นชอบ เพราะเขามีใบหน้าที่เรียบร้อยและดูสะอาดตา

 

เฉินโม่ เมินเฉยต่อความสงสัย ที่เขาได้รับจากหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา

และกล่าวว่า “นายท่านของข้า สั่งให้ข้ามาบอกเจ้าว่า ‘ฝนจะมาล้างสิ่งสกปรกบนพื้นดินทั้งหมด’

 

ทันที ที่ชูชูเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น

 

ในอดีตเสี่ยวเฟยและชูชู มักจะพูดว่า ฝนจะล้างสิ่งสกปรกออกไปได้อย่างไร และเมื่อฝนหยุด

ดวงอาทิตย์และท้องฟ้าจะสว่างขึ้น และมีเพียงทิวทัศน์ที่สวยงามเท่านั้นที่มองเห็นได้

 

สำหรับคนอื่น คำเหล่านั้นไม่ควรค่าที่จะกล่าวถึง เพราะมันเหมือนกับการพูดถึงสภาพอากาศ

แต่เสี่ยวเฟย ได้บอกความหมายอื่นที่อยู่เบื้องหลังคำเหล่านั้นกับเธอ

 

เช่นเดียวกับฝน ที่จะชะล้างสิ่งสกปรกบนพื้นดิน เเต่ยังมีสิ่งอื่นๆที่สามารถแทนที่ฝน และขจัดความคับข้องใจและความชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกไปจากพื้นโลก

 

อย่างเช่นความตาย

 

เมื่อเสี่ยวเฟยบอกกับเธอเช่นนั้น ชูชูก็ขนลุกไปทั่วร่างกาย ขณะที่เธอเห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย

เริ่มก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนเธอ

 

ชูชู มองไปที่เฉินโม่ด้วยความไม่แน่ใจ เธอไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มที่เธอพบครั้งล่าสุด มีลักษณะนิสัยเป็นเช่นใด ที่เขาจะสามารถรับรู้เรื่องเหล่านี้ได้

 

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน

 

เธอสงสัย ว่าทำไมชายหนุ่มที่เธอพบในไป่ฮัวโหลว ถึงรู้จักเสี่ยวเฟยเป็นอย่างดีและพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรเกี่ยวข้องกัน เพราะไม่เช่นนั้น ทำไมเขาถึงรู้เกี่ยวกับกล่อง และคำพูดของหลินเสี่ยวเฟย ที่มักจะชอบพูดออกมา

 

“ไปกันเถอะ.” เธอกล่าวขึ้น หลังจากยืนยันความจริงข้อนี้แล้ว เเละเดินตามชายผู้ที่อยู่ตรงหน้าเธอไป

ไม่กี่วันต่อมา

 

เหตุการณ์ศพถูกแขวนอยู่บนคานก็ถึงหูของหลินเซียวเหมิง เขาโกรธอย่างมาก ที่มีคนบังอาจเอาศพไปแขวนไว้ในลานบ้านของคฤหาสน์ตระกูลหลิน โดยที่ทหารยามของเขา ไม่ได้ตรวจตราบริเวณรวบที่พักของตระกูลหลินให้ดี

 

ในวันเดียวกัน ทหารยามที่รับหน้าที่ลาดตระเวนในคืนนั้น ไม่สามารถหลีกหนีการถูกลงโทษได้ และหนึ่งในนั้นทหารยามคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้ฟังคำสั่งของหลินเสี่ยวเฟย

 

อย่างไรก็ตาม เขายังไม่อยากตาย ทหารยามเฉินโม่จึงปิดปากเงียบ และปฏิบัติตนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น

 

แต่เขาก็ดีใจเช่นกัน ที่หญิงสาวที่เขาพบในคืนนั้นไม่เรียกหาเขาอีก มันอาจจะเป็นโชคร้ายที่เขาได้พบกับเธอ เขารู้สึกดีกับเรื่องนี้มากแม้ว่าเขาจะถูกลงโทษก็ตาม

 

หลังจากถูกลงโทษ เฉินโม่ เเสดงรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของเขาและฮัมเพลงไปด้วย ขณะที่เขา ก้มลงผูกสนับเข่า ดวงตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงฉูดฉาด อยู่ข้างหน้าเขา

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเขาแข็งค้าง และเขาพยายามหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมองอย่างช้าๆอีกครั้ง เขาก็ไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไป ที่ตรงหน้าเขามีหญิงสาวคนเดิมในคืนนั้น และเธอก็ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มของเธอกลับเหมือนรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยอันตราย

 

เขาสะดุ้งทันที เมื่อหญิงสาวเดินมาถึงอย่างกะทันหัน เฉินโม่เกือบจะกระโดดด้วยความตกใจ

เขาสงสัยว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเลย เเละเมื่อเขารู้สึกตัวเธอก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

 

หญิงสาวผู้นี้ ไม่ใช่เทพธิดาแห่งความตายจริงๆหรอกหรือ?

 

เฉินโม่ ส่ายหัวและสลัดความคิดเรานั้นทิ้ง เขามองไปยังหญิงสาวในชุดสีแดง และกล่าวว่า

 

“คุณหนู” เฉินโม่ก้าวถอยหลังกลับไปในขณะที่กล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ  หลินเสี่ยวเฟย กล่าวกับเขาว่า

 

“สวัสดี…เเล้วเราก็ได้พบกันอีกครั้ง”

 

หลินเสี่ยวเฟย ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชุดสีแดงของเธอที่ทำให้ผิวของเธอดูสดใสและมีสุขภาพดี

สีของชุดที่เธอสวมใส่ในตอนนี้ คล้ายกับชุดที่สวมใส่ในงานแต่งงาน อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นเจ้าสาวในวันนี้ และเธอก็ชอบสวมเสื้อผ้าที่มีสีเเดงกับสีดำเท่านั้น เนื่องจากเลือด จะไม่ค่อยเห็นเด่นชัดนัก เมื่อมันสาดใส่ชุดของเธอ

 

“ครับคุณหนู! เราพบกันอีกแล้ว!” เฉินโม่ กล่าวอย่างประหม่า

 

หลินเสี่ยวเฟยเอียงศีรษะเล็กน้อย และกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกลงโทษ”

 

“ครับคุณหนู!” เขาตอบเสียงดัง จนทำให้หลินเสี่ยวเฟยก็ขมวดคิ้วใส่เขาเล็กน้อย

และเฉินโม่ก็กล่าวเสริมทันที  “พร้อมกับทหารคนอื่นๆครับ”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว…” เธอพยักหน้า

 

เฉินโม่ มองไปรอบๆและพบว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ และมีเพียงพวกเขาสองคนที่อยู่ด้านหลังลานบ้านเท่านั้น  เขาจึงถามเธอว่าสาวใช้ของเธออยู่ที่ใด

 

“ข้าทิ้งพวกนางไว้ที่ลานบ้านของข้า” หลินเสี่ยวเฟย ตอบคำถามของเขา เเละมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา

 

เฉินโม่พยักหน้า เเละเกาจมูกขณะที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เขาหวังว่าเขาจะเดินหนีหญิงสาวตรงหน้าเขาไป แต่มันทำให้เขาคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

 

เมื่อได้เห็นความโหดร้ายของเธอ และความเจ็บปวดที่เธอทำกับเค่อซ่งแล้ว เฉินโม่ ก็รู้เลยว่า

เขาต้องเปลี่ยนมุมมองของเขา เกี่ยวกับคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน

 

เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณหนูสี่ เธอเป็นความอับอายของตระกูลหลิน และพวกเพื่อนทหารของเขา เคยล้อเลียนและหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของหลินเสี่ยวเฟย พฤติกรรมของเธอ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลิน หรือเป็นหลานสาวของหลินเซียวเหมิง เเม่ทัพของพวกเขา

 

ทหารทุกคนของหลินเซียวเหมิง ต่างก็รู้สึกเทิดทูนเขา และหวังว่าพวกเขา จะสามารถเป็นเหมือน

เเม่ทัพหลินได้ในอนาคต และนั่นเป็นสาเหตุ ที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ว่า แม่ทัพผู้กล้าหาญและเกรียงไกร จะต้องมีหลานสาวเช่นนี้

 

นั่นคือสิ่งที่ เฉินโม่คิดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ มุมมองของเขาเกี่ยวกับหลินเสี่ยวเฟยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เมื่อเขาพบหลินเสี่ยวเฟยกลางดึก เขาคิดว่าเขาเห็นปีศาจปรากฏตัวต่อหน้าเขา เพราะกลิ่นอายแห่งการฆ่าและโหดเหี้ยมถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายเธอ และด้วยเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้าของเธอ  จึงทำให้เขาคิดว่าเทพีแห่งความตายกำลังจะมาปลิดชีพเขา

 

และหลังจากที่ได้ฟังคำสั่ง และในสิ่งที่เธอต้องการให้เขาช่วยเหลือเเล้ว เฉินโม่ก็เกือบจะเป็นลมในทันทีเพราะเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นเเละได้ยิน เมื่อเขาตามเธอไปเขาเห็นว่ามีปิ่นปักผมโผล่ออกมาจากดวงตาของชายผู้นั้น เเละไม่รู้ว่าชายผู้นั้นมาอยู่ในลานบ้านของเธอได้อย่างไร เขาสงสัยว่าใครกันที่เป็นคนทำเช่นนี้ แต่เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของหลินเสี่ยวเฟย ขณะที่เธอกล่าวว่า:

 

“มีหนอนตัวหนึ่ง คลานเข้ามาในบ้านของข้า และข้าต้องการให้เจ้าช่วยทุบตีมันให้ตาย”

 

เมื่อเฉินโม่ได้ยินเช่นนั้น คนทั้งร่างของเขาก็ชูชันขึ้นทันที เมื่อได้เห็นด้านใหม่ของคุณหนูสี่ ซึ่งพวกเขาเคยหัวเราะเยาะเพราะความโง่เขลาของเธอ เเละเขาไม่เคยคิดว่าลูกไม้จะตกไม่ไกลต้น จากนั้นเขาก็ไม่สงสัยอีกต่อไปว่าหลินเสี่ยวเฟย เขารู้ว่าเธอเป็นสายเลือดของหลินเซียวเหมิงอย่างเเท้จริง

 

เมื่อหลุดจากความคิด เขากล่าวถามหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา เเละคำถามนี้ เขาหวังว่าเขาจะไม่ถามอีก

“คุณหนู มีอะไรที่ท่านต้องการให้ข้ารับใช้อีกหรือไม่”

 

ไม่นาน หลังจากที่เขากล่าว รอยยิ้มที่แท้จริงก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอ ตรงกันข้ามกับรอยยิ้มที่เธอแสดงก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มันไม่เข้ากับเธอเลย อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนี้นำมาซึ่งความน่ากลัวและความเสียใจที่เฉินโม่มิอาจปฏิเสธได้

 

“ทหารเฉิน ไม่เพียงแต่ทำงานอย่างหนัก แต่ยังฉลาดอีกด้วย ข้าดีใจที่ข้าเลือกคนไม่ผิด”

 

“คุณหนู หมายความว่าอย่างไรหรือครับ” เฉินโม่ ถามอย่างกังวล ขณะที่เขามองดูรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของเธอ

 

เธอเดินเข้าไปใกล้เขา เเละกล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้ามากับข้า”

เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน หลินเสี่ยวเฟย ก็ถูกไป่ลู่เเละซูถัง สาวใช้ทั้งสองของเธอ  รีบนำตัวเข้าไปในลานด้านใน และถูกตั้งคำถามจากสาวใช้มากมาย

 

“คุณหนู! ท่านไปไหนมา” ไป่ลู่สูดกลิ่นและจับมือคุณหนู ขณะที่เธอตรวจดูอาการบาดเจ็บหรือสิ่งสกปรกตามร่างกายของหลินเสี่ยวเฟย ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

“ได้โปรด ต่อไปคุณหนูอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ  หากคุณหนูออกไปเพียงลำพัง จะไม่มีผู้ใดรับรู้เลยว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับคุณหนู” ซูถังกล่าวอย่างกังวล เนื่องจากเธออายุมากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน ซูถังจึงเป็นคนที่น่าเชื่อถือที่สุดของหลินเสี่ยวเฟย ถัดจากเธอคือไป่ลู่ ซึ่งเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดจากพวกเขาทั้งหมด

 

เมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่เปียกของหลินเสี่ยวเฟย ซูถังจึงรีบไปหาเสื้อผ้าตัวใหม่ มาให้คุณหนูของเธอสวมใส่ ขณะที่ไป่ลู่ก็ออกไปต้มน้ำเพื่อให้เธออาบ

 

หลินเสี่ยวเฟยนั่งรอบนเก้าอี้ในห้องของเธอ ในขณะที่สาวใช้ของเธอ ยุ่งอยู่กับการดูแลคุณหนูของพวกเขา เธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อเห็นสาวใช้วิ่งไปมาราวกับผึ้ง

 

เมื่ออาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หลินเสี่ยวเฟยก็ไปหยิบหนังสือมาอ่าน จนทำให้สาวใช้ของเธอรู้ประหลาดใจ เเละยืนงงอยู่ตรงมุมห้อง

 

ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง เมื่อเห็นคุณหนูของพวกเขา พลิกหน้ากระดาษและให้ความสนใจกับหนังสือ ราวกับว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นน่าสนใจมาก ในขณะที่สาวใช้ทั้งสองยืนตกใจอยู่นั้น

คุณหนูของพวกเขากลับไม่ได้สนใจอะไรเลย

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขารับใช้คุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน, ไป่ลู่และซูถังซึ่งอยู่ข้างๆคอยรับใช้หลินเสี่ยวเฟยมาโดยตลอด พวกเธอไม่เคยเห็นคุณหนูของเธอแตะต้องหนังสือเลยสักครั้งนับประสาอะไรกับการหที่จะอ่านมัน

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!

 

ไป่ลู่กัดริมฝีปากล่างของเธอ และมองไปที่ซูถังด้วยใบหน้าที่ตกตะลึงและประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม ซูถังก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับไป่ลู่ และปากของเธอก็เปิดเล็กน้อยแสดงถึงความตกใจอย่างแรง

 

ไม่มีใครรู้ดีกว่าสาวใช้ทั้งสองคนนี้ ว่าหลินเสี่ยวเฟยเกลียดหนังสือยังกับอะไรสิ้นดี

ย้อนกลับไป เมื่อเธอเข้าเรียนในสถานศึกษาสำหรับหญิงสาวเพียงแห่งเดียวในเมืองหลวง

เสี่ยวเฟยทนไม่ได้แม้แต่วันเดียว ก่อนที่เธอจะกระทืบเท้าและรีบเดินจากไป

 

ข่าวลือที่ว่า เธอทำลายอุปกรณ์การเขียนในชั้นเรียน ในไม่ช้าข่าวก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น แต่หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้มีความเขินอายเเต่อย่างใด และไม่ได้ปฏิเสธกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่เธอออกไปเดินเล่นในเมืองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

แต่ตอนนี้ คุณหนูของพวกเขากำลังอ่านหนังสือราวกับว่าการกระทำเหล่านี้ เป็นสิ่งทำเป็นประจำและถูกจารึกไว้ในกระดูกของเธอ

 

หลินเสี่ยวเฟยที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น เธอก็ครุ่นคิดอยู่ลึกๆถึงเรื่องราวในอดีต การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่เธอเคยทำ ในที่ประทับขององค์ชายสี่ เนื่องจากเธอเป็นนางสนมเเละไม่มีสิ่งใดต้องทำมากสำหรับเธอ นอกจากการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์และอุบายกับหญิงสาวคนอื่นๆของหยูเฟิงซูการอ่านหนังสือจึงกลายกิจวัตรประจำวันของเธอ ในการผ่านเวลาไปเเต่ละวัน

 

แผนการของเธอในการก่อวินาศกรรมต่อถ้ำของหยูเฟิงซู มีความเสี่ยงสูง

เนื่องจาก หลินเสี่ยวเฟยรู้ดีว่าหยูเฟิงซู จะใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อปกป้องพื้นที่รอบๆถ้ำ และการที่เธอจะเข้าไปวางระเบิดภายในนั้น คงจะเป็นไปไม่ได้

 

และเป็นไปได้สูงว่าแผนของเธอจะล้มเหลวเมื่อพบกับฉู่เซียวซู เเละใครจะรู้ ว่าเขาอาจจะเป็นศัตรู หรือไม่ก็เป็นพรรคพวกเดียวกันกับหยูเฟิงซู หรือใครก็ตามในราชวงศ์ และหากคำพูดของเธอผ่านหูของเขา ฉู่เซียวซูก็อาจจะพูดเรื่องนี้ให้กับพวกเขาฟัง

 

นั่นคือสิ่งที่หลินเสี่ยวเฟยจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น มิเช่นนั้น แผนการของเธอที่ตั้งใจไว้จะถูกทำลายอย่างแน่นอน เนื่องจากการเพิ่มศัตรูที่น่าเกรงขามไว้ในรายชื่อของเธอ อาจจะทำให้เธอลำบากมากยิ่งขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้ว่าฉู่เซียวซูจะกลายเป็นศัตรูของเธอ

 

อะไรคือความแตกต่าง จากการมีศัตรูเพียงหนึ่งเดียวหรือมากกว่านั้น?

 

หลินเสี่ยวเฟย กำลังจะพลิกหนังสือหน้าอื่น เเต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น และเห็นความตกใจที่อยู่บนใบหน้าของสาวใช้ ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิด ว่ามันจะเกิดขึ้น

 

“พวกเจ้าเป็นอะไร?” หลินเสี่ยวเฟยกล่าว ขณะที่เธอขมวดคิ้วและทำออกมา

 

ซูถังส่ายหัว และกล่าวว่า “เปล่าเจ้าค่ะคุณหนู อ่านหนังสือต่อเถอะเจ้าค่ะ” เธอดึงแขนเสื้อไป่ลู่ เเละกล่าวว่า “ข้าลืมไปเอาเสื้อผ้าของคุณหนู ที่เราเอาไปตากไว้ พวกเราจะไปเอาให้คุณหนูเดี๋ยวนี้”

 

ไป่ลู่จ้องมองที่ซูถังด้วยท่าทางงุนงง เธอไม่รู้ว่าเพื่อนของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ และเสื้อผ้าที่พวกเขาได้ซักทำความสะอาดและแขวนไว้ข้างนอกก็ถูกนำเข้าไปข้างในแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ฝนจะเริ่มตกหนัก

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ซูถังดึงเธอออกไปข้างนอก แล้วปิดประตูห้องนอนของคุณหนูทันที

 

หลินเสี่ยวเฟยถอนหายใจ และวางคางไว้บนหลังฝ่ามือ ขณะที่เธอตระหนักว่า เหตุใดสาวใช้ของเธอ จึงกระสับกระส่ายและรีบออกจากห้องไป พวกเขาคงไม่อยากรบกวนเธอ

 

เธอลืมไปว่าเจ้าของคนก่อน เป็นหญิงสาวที่โง่เขลา ที่ขึ้นชื่อในเรื่องขี้เกียจและหยาบคาย เธอจึงไม่แปลกใจเลย ที่ซูถังและไป่ลู่จะตกใจมากและอาจกลัว จนทำให้พวกเขาหลีกตัวออกห่างจากเธอ

 

ไม่ว่าในกรณีใด หลินเสี่ยวเฟย ขี้เกียจเกินกว่าจะสร้างความประทับใจให้ใคร หรืออธิบายว่าทำไมเธอถึงมีความปรารถนาที่จะอ่านอย่างกะทันหัน เธอไม่อยากเสียเวลากับการเป็นหลินเสี่ยวเฟยตัวจริง เธอจึงตัดสินใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใดๆ เพราะมันจะไร้ประโยชน์กับตัวเธอ

 

ในช่วงชีวิตนี้ เธอจะทุ่มเทเพื่อจัดการกับหยูเฟิงซูให้ทนทุกข์ทรมานนับพันเท่าจากที่เธอเคยได้รับ

และจัดการกับทุกสิ่ง ที่ทำให้มันตกลงไปยังจุดต่ำสุด เหมือนกับที่มันเอาทุกอย่างจากเธอ

และทรมานเธอมาเป็นเวลานาน เพื่อความบันเทิงของตัวมันเอง

 

ถ้ำเป็นสิ่งแรกที่เธอจะนำมันไปจากมัน แต่เธอจะทำให้มันสูญเสียมากกว่านี้

 

หลินเสี่ยวเฟยเพียงหวังว่า มันคงจะเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

หลินเสี่ยวเฟย ก้าวออกจากหงเป่ยโหลว

 

เธอหันศีรษะและมองขึ้นไป ราวกับว่าเธอสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในและรู้สึกว่าชายหนุ่มที่เธอเพิ่งพบ เขากำลังยืนอยู่ตรงนั้นและมองดูเธอขณะที่เธอเดินจากไป

 

สิ่งที่พวกเขาพูดถึงก่อนหน้านี้ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพูดคุยกันอย่างเปิดเผยได้ โดยเฉพาะต่อหน้าราชวงศ์ ใคร ๆ ก็รู้ว่าราชวงศ์กลัวการจลาจลมากแค่ไหน พวกเขาคอยเฝ้าระวังอยู่เสมอ แม้กระทั่งกับเจ้าหน้าที่ที่น่าเชื่อถือที่สุด หากใครก็ตามที่พวกเขารู้ว่ากำลังวางแผนก่อการจลาจล  พวกเขาจะจัดการประหารชีวิตในทันที

 

ดังนั้น หากคำพูดของใครก็ตามที่ต้องการจะซื้อระเบิด ได้ผ่านหูของโอรสสวรรค์ บุคคลนั้นต้องโดนประหารชีวิตอย่างแน่นอน

 

นอกจากนี้ หงเป่ยโหลว ที่ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลาง จะไม่สามารถหลบหนีชะตากรรมเดียวกันกับผู้ซื้อได้ ดังนั้น หลินเสี่ยวเฟยจึงมั่นใจว่าหงเป่ยโหลวและผู้จัดการที่เธอพบเเละพูดคุยก่อนหน้านี้ เขาคงจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ เพราะเขากลัวว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้

 

อย่างไรก็ตาม เธอไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ดยุคเซียวและหงเป่ยโหลวคืออะไร

เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ ที่จู่ๆชายหนุ่มที่สวมหน้ากากก็แนะนำให้เธอ ไปตามหาสิ่งที่ต้องการจากดยุคเซียว? เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เขาพูด ดูเหมือนว่าเขากำลังเร่งรีบ เเละโยนดยุคเซียวไปที่ศูนย์กลางในหัวข้อของพวกเขาแทน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำการติดต่อกับดยุคหนุ่มผู้นั้นให้

 

ไม่ว่าอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เป็นเช่นไรหลินเสี่ยวเฟยได้ตัดสินใจไปแล้ว

 

สมมติว่าจะต้องไปพบ ดยุคเซียว เขาต้องถามเธออย่างแน่นอนว่าเธอจะใช้ระเบิดเพื่อจุดประสงค์อะไร หลินเสี่ยวเฟยรู้ว่าเธอคงจะไม่สามารถโกหกต่อสายตาที่เฉียบแหลมของผู้มีประสบการณ์ในการต่อสู้และเคยผ่านสงครามมามากมาย และคนเช่นเขายังต้องต่อสู้ระหว่างข้าราชการที่ชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ในราชสำนัก

 

ในฐานะที่เธอ เคยเป็นคนที่ต้องเผชิญกับอันตรายถึงตายเกือบทุกวัน หลินเสี่ยเฟยรู้ว่ามีอันตรายและความตายซ่อนอยู่รอบๆดยุคเซียวอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เธอยอมที่เสี่ยงเพื่อที่จะได้พบเจอกับเขา เพียงเพื่อจะต้องการระเบิดและนำมาดำเนินการตามแผนของเธอ

 

ระเบิดที่เธอจะนำมาใช้นั้น ไม่ได้นำมาใช้เพื่อก่อกบฏต่อราชวงศ์ แต่จะทำบางสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่า และนั่นจะทำให้อาณาจักรเซิงทั้งอาณาจักรจะต้องสั่นสะเทือนด้วยความ หวาดกลัว

 

เมื่อตอนหลินเสี่ยวเฟยยังเด็ก เธอมักจะเดินผ่านภูเขาระหว่างอาณาจักรเซิงและอาณาจักรฉู่ และจะหยุดพักผ่อนบนกระท่อมเล็กๆที่ถูกทิ้งร้างที่เชิงเขา ในเวลานั้น หลินเสี่ยวเฟยยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะที่เธอกำลังพักผ่อน เธอเห็นทหารและทาสสองสามกลุ่ม เดินขึ้นไปบนภูเขาราวกับกำลังเดินอยู่ในสวน

 

หลินเสี่ยวเฟย เด็กสาวที่ต้องการมีความ อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกโดยธรรมชาติ เธอได้เเอบติดตามพวกเขาไป แล้วซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้อย่างลับๆ เเละเเอบเดินติดตามพวกเขาไปเรื่อยๆ พวกเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าปากถ้ำขนาดใหญ่ และที่นั่น เธอก็พบเห็นกับสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น

 

ในสี่อาณาจักร จักรวรรดิเซิงได้รับการพิจารณาว่าร่ำรวยที่สุด และสามารถแข่งขันกับสามอาณาจักรอื่นๆได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้เบื้องหลังเเละความจริงว่าทำไมอาณาจักรเซิง ถึงต้องดิ้นรนมาหลายศตวรรษเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด เเละก็บุกเข้าสู่อันดับสูงและสร้างชื่อเสียงได้มากมายขนาดนี้?

 

แน่นอนว่า หลินเสี่ยวเฟยยังเด็กมากในเวลานั้น เธอไม่ได้วิเคราะห์หรือคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเห็น แต่หลังจากแต่งงานกับหยูเฟิงซู เธอก็เข้าใจถึงความสำคัญของถ้ำแห่งนั้น

 

ในถ้ำมีอัญมณีทุกชนิดอยู่ทุกหนทุกแห่ง และลึกเข้าไปในถ้ำ มันเหมือนกับสมบัติที่เต็มจนล้น ที่ถึงแม้ว่าจะขุดลงไปที่ก้นบึ้ง เเต่ขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในนั้นก็มีไม่สิ้นสุด

 

ถ้ำที่เป็นเปรียบเสมือนคลังสมบัติที่ไร้ก้นบึ้งนั้น ถูกสร้างเป็นเหมือง และด้วยคำสั่งของราชวงศ์ ผู้คนถูกรวบรวม เพื่อขุดอัญมณีและวัสดุอื่นๆที่พวกเขาหาได้

 

และถึงแม้ว่าการขุดวัสดุเหล่านี้ จะทำได้ยากและสามารถดึงดูดความสนใจของสาธารณชนได้ แต่ก็ไม่มีใครค้นพบสิ่งที่พวกเขากำลังทำ เนื่องจากมันถูกเก็บเป็นความลับและมีเพียงไม่กี่คนที่รู้

 

การที่หลินเสี่ยวเฟย ได้เจอกลุ่มคนที่เดินขึ้นไปบนภูเขา และได้เเอบติดตามพวกเขาไป

แต่ถ้าหากพวกเขาพบเธอในเวลานั้น หลินเสี่ยวเฟยมั่นใจว่าหัวของเธอจะหลุดออกจากบ่าเเละตกลงบนพื้นในทันที

 

พวกเขา ไม่สามารถเปิดเผยถ้ำที่พวกเขาค้นพบได้ และที่สำคัญพวกเขาไม่สามารถปล่อยให้อาณาจักรเพื่อนบ้าน อย่างอาณาจักรฉู่ รู้ถึงการมีอยู่ของมันและมีส่วนร่วมกับสมบัติเหล่านั้น เนื่องจากถ้ำตั้งอยู่ในภูเขา ที่มีทั้งสองอาณาจักรเป็นเจ้าของนั้นคืออาณาจักรเซิงและอาณาจักรซู

 

เเละนี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงต้องการระเบิด

 

เธอต้องการวางระเบิดถ้ำ และทำให้ถ้ามันไร้ประโยชน์และหายไป และปล่อยให้อาณาจักรฉู่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน จากนั้นพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาถูกปล้นโดยอาณาจักรเซิงมาโดยตลอด

 

ด้วยแหล่งความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติเช่นนี้ หลินเสี่ยวเฟยสงสัยว่าราชวงศ์จะเป็นอย่างไร เเละหยูเฟิงจูจะทำอย่างไร เพื่อแก้ปัญหานี้?

 

ตอนใช้ชีวิตอยู่กับเขา หลินเสี่ยวเฟยพนันได้เลยว่าเขาปฏิบัติต่อถ้ำนี้เสมือนกับเป็นทรัพย์สินของเขา

 

หยูเฟิงซู ชายผู้ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากอยู่เหนือทุกคน หลินเสี่ยวเฟย ต้องการดูว่าใบหน้าของเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด พังทลายกลายเป็นฝุ่นที่ไร้ประโยชน์

 

หลินเสี่ยวเฟย รู้สึกถึงหยดน้ำที่หยดลงบนแก้มของเธอ และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างไสวและรู้สึกอบอุ่นในตอนเช้า ด้วยเมฆสีเทาเข้มที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ก่อนที่ฝนกำลังจะตกลงมาอย่างเเรง

ระเบิด ไม่ได้ถูกซื้อขายกันในที่สาธารณะและมันยังเป็นสิ่งของที่หายากอีกด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพ่อค้าบางคนที่มาจากตะวันตก จะไม่ขายดินปืนให้กับสี่อาณาจักรด้วยเงินจำนวนมหาศาล

 

หลินเสี่ยวเฟยได้ยินมาวว่าได้ยินมาในอดีตว่าชาวต่างชาติที่มาจากยุโรปจอดเรือเทียบท่าในดินตะวันออกเพื่อค้าขายและขายสินค้าของพวกเขาเช่น ทอง กระจก เครื่องประดับ ขนสัตว์ เหล็ก และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาบรรทุกวัสดุจำนวนมากในเรือของพวกเขา และพยายามขายมันในราคาดีหรือซื้อของเก่าหรืออัญมณีหายากที่หาได้เฉพาะในภาคตะวันออกเท่านั้นกลับไปอีกด้วย

 

ไม่เพียงแค่นั้น เป็นเวลาหลายสิบปี ที่ชาวตะวันตกได้มาเยือน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์ตะวันออก และอยากจะทำให้จักรวรรดิโจว กลายเป็นพันธมิตรของพวกเขา

 

พวกเขาต้องการเข้าถึงอีก 3 อาณาจักร แต่น่าเสียดายที่ทั้งสามจักรวรรดิปฏิเสธ และติดต่อกับคนตะวันตกในการค้าขายเท่านั้น

 

เมื่อเวลาผ่านไปมีการค้าขายมากยิ่งขึ้น และความต้องการของสี่อาณาจักรตะวันออก ก็สูงขึ้นเช่นกัน

 

ไม่เพียงเเต่สิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น ชาวตะวันตกนำสิ่งของบางอย่างที่สี่อาณาจักรต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้าม

 

นั่นคือ ยุทโธปกรณ์ในด้านการทำสงครามเพื่อใช้ในการต่อสู้กับอาณาจักรอื่น

 

ยุทโธปกรณ์ ด้านสงคราม ไม่ว่าจะเป็น ปืน เหล็ก และระเบิด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หายากมาก และผู้ปกครองหลายคนแสวงหา เพื่อให้พวกเขาได้รับอำนาจเหนือผู้ปกครองคนอื่นๆ

 

เเต่น่าเสียดาย ที่เมื่อชาวต่างชาติที่กำลังจะส่งมอบอุปกรณ์ ที่มีความต้องการสูงเหล่านั้น พวกเขากลับถูกดักปล้นโดยโจรสลัด ที่เเอบซุ่มอยู่ในทะเล และล่มเรือของพวกเขา พร้อมกับผู้คนและอุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่ในนั้น

 

ด้วยความเกรงกลัวต่ออำนาจของโจรสลัด ที่เชี่ยวชาญในเส้นทางของทะเล ชาวตะวันตกจึงไม่ได้ดำเนินการตามจุดประสงค์ ในการค้าขายและความสัมพันธ์อันดีกับชาวตะวันออกอีกต่อไป

 

ปัจจุบัน มีพ่อค้ารายย่อยเพียงไม่กี่คนจากตะวันตก ที่ไม่ค่อยได้มาค้าขาย และพ่อค้ารายย่อยเหล่านี้ นำเฉพาะเรือลำเล็กๆที่บรรทุกได้อย่างจำกัด และสามารถซ่อนตัวจากสายตาของราชสำนักตะวันตกได้มาเท่านั้น

 

เพราะเหตุใด หลินเสี่ยวเฟยจึงตัดสินใจถามผู้จัดการหงเป่ยโหลวอย่างกระทันหัน ว่าเธอสามารถซื้อระเบิดได้หรือไม่ซึ่งมันเป็นเป็นสิ่งหนึ่งที่หายากที่สุด และยังเป็นที่ต้องการมากของหลายๆคน

 

เมื่อตอนที่หลินเสี่ยวเฟยมาถึงบนชั้นสาม เธอสังเกตเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างรวดเร็วและประหลาดใจที่เห็นว่าเครื่องเรือนทั้งหมดในห้องและทางเดิน มันอาจดูเหมือนไม่มีอะไรพิเศษและจะพบได้ในทุก ๆ ชั้นเหมือนสิ่งของปกติ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้แม้แต่ที่พำนักของตระกูลขุนนางยังเป็นสิ่งที่หาได้ยาก

 

เครื่องเรือนแต่ละชิ้นมีความเหมือนกันกับเครื่องเรือนที่ทำมาจากตะวันออก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลินเสี่ยวเฟยมีโอกาสได้รับสิ่งของที่มาจากตะวันตกอยู่บ้าง เธอจึงรู้ถึงลักษณะเฉพาะและความแตกต่างของสิ่งของตกแต่งที่มาจากสองสถานที่ที่แตกต่างกัน

 

นอกจากนี้ ถ้วยที่เธอเพิ่งจิบชานั้น ดูแตกต่างไปจากถ้วยที่พบได้ทั่วไป ในสี่อาณาจักรอย่างสิ้นเชิง

 

ถ้วยเป็นกระเบื้องสีขาวและมีหูสำหรับจับด้านข้าง รสชาติของชาก็แตกต่างและแปลกใหม่สำหรับต่อมรับรสของหลินเสี่ยวเฟย อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ได้เกินจากการคาดเดาของเธอ

เนื่องจากผู้ที่ผลิตชาในอาณาจักรเซิง ต้องผลิตชาชุดใหม่ ที่ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาขายในพื้นที่สาธารณะ

 

”ระเบิด… เจ้าต้องการระเบิดจริงหรือ?” ฉู่เซียวซู ต้องพูดซ้ำในคำพูดของเธอ เพราะเขาคิดว่า

เขาอาจจะได้ยินสิ่งต่างๆผิดไป และเมื่อเขาเห็นเธอพยักหน้า เขาก็เอนหลังราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

 

“คือ..มันเป็นไปไม่ได้หรือที่จะจัดหาระเบิดอย่างน้อยหนึ่งลูก?” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวถาม เธอรู้สึกประหม่าเเละกังวลเล็กน้อย เเละรอให้เขาตอบ

 

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่า หงเป่ยโหลวของข้ามีระเบิดอยู่ในมือ?” ฉู่เซียวซูกล่าวถาม แทนที่จะตอบเธอ

 

“ข้าไม่ได้…” เธอโกหกในทางเทคนิค เเละเธอไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะพิสูจน์การคาดเดาของเธอเกี่ยวกับหงเป่ยโหลว อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังต้องการ เเละเชื่อว่าพวกเขาจะมีความสามารถในหาระเบิด

 

“ข้าแค่อยากรู้ เพราะโรงเตี๊ยมเเห่งนี้เต็มไปด้วยนักฆ่า” หลินเสี่ยวเฟยกล่าว

 

ฉู่เซียวซูถอนหายใจและส่ายหัว “หงเป่ยโหลวของข้า ไม่ได้ขายของที่อันตรายขนาดนั้น”

 

ถูกต้อง หากหงเป่ยโหลว รวมดินปืนและระเบิดไว้ ก็คงจะเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างมากในหมู่คนและคงจะเป็นสร้างกำไรมากมายแก่พวกเขา เเต่เขาไม่อย่างให้มีปัญหามาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน และทำลายแผนการของเขาเพียงเพราะเขาต้องการเงิน .

 

เงินไม่ใช่สิ่งที่เขาขาด ในทางตรงกันข้าม ฉู่เซียวซูมีเงินมากกว่าอาณาจักรเซิงทั้งหมดรวมกันเสียอีก ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธเงินของหลินเสี่ยวเฟย ธุรกิจที่แท้จริงของหงเป่ยโหลวคือแหล่งรวมนักฆ่าที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันที่แตกต่างกัน เเต่พวกเขาก็ไม่เคยรับเงิน สำหรับการบริการนี้

 

หลินเสี่ยวเฟย หลับตาลงเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เธอผิดหวังที่ไม่สามารถได้สิ่งที่ต้องการ ตามที่เธอคาดหวังไว้

 

เธอสันนิษฐานว่าหงเป่ยโหลว อาจมีระเบิดที่เธอสามารถซื้อสำหรับแผนการในอนาคตของเธอได้ แต่น่าเสียดาย ที่ดูเหมือนว่าเธอต้องเปลี่ยนเเผนการและลืมเรื่องราวของวันนี้ไป

 

เธอคิดว่า มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ระเบิดจะตกอยู่ในมือของเธอ เธอเข้าใจเรื่องนี้ดีและไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา

 

ทั้งสองคนเงียบไป เพราะมีความคิดมากมายอยู่ในหัวของคนทั้งสอง

 

และเมื่อหลินเสี่ยวเฟยคิดได้ดังนั้น เธอจึงกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอให้ท่านคิดว่าการสนทนานี้ไม่เคยเกิดขึ้น” เธอยืนขึ้นและพร้อมที่จะจากไป “ข้าหวังว่าเส้นทางของเรา คงจะไม่บรรจบกันในอนาคต”

 

หมายความของเธอคือ เธอจะไม่มาหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับหงเป่ยโหลวอีกต่อไป และหวังว่าผู้จัดการของ หงเป่ยโหลว จะไม่พยายามสืบและค้นหาตัวตนของเธอ หรือสั่งให้คนของเขาติดตามเธออีก

 

ฉู่เซียวซู เข้าใจความหมายของเธอและพยักหน้า

 

หลินเสี่ยวเฟยหยิบธนบัตรที่วางไว้บนโต๊ะ ทันใดนั้น ก็มีมือที่ หยาบกระด้างและอบอุ่น จับไปที่ข้อมือเธอไว้อย่างแน่น

 

เมื่อทั้งสองสบตากัน หลินเสี่ยวเฟย พยายามดึงมือของเธอออกจากมือของเขา เธอขมวดคิ้วและกำลังจะตำหนิเขา แต่หยุด เมื่อได้ยินเขาพูดขึ้นอีกครั้ง

 

ฉู่เซียวซู ไม่ยอมปล่อย และกล่าวว่า: “แต่ข้ารู้จักใครบางคนที่สามารถช่วยเจ้าได้”

 

หลินเสี่ยวเฟย ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น หยุดดึงมือออกจากเขาและถามว่า “ใคร?”

 

เธอรอคำตอบจากเขา ด้วยความคาดหวังและไม่ละสายตาไปจากเขา

เธอดีใจ ที่ถึงแม้หงเป่ยโหลว จะหาในสิ่งที่เธอต้องการไม่ได้  แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะช่วยเธอหาทางจัดการเรื่องนี้

 

หลินเสี่ยวเฟย จ้องไปที่ ใช่ผู้สวม หน้ากากปีศาจที่อยู่ข้างหน้าเธอ และลืมเรื่องมือเขาที่กำลังกุมข้อมือของเธออยู่ ทันใดนั้นเขาก็กล่าวว่า: “ดยุคเซียว”

หลินเสี่ยวเฟย จ้องมองเขา

 

เธอไม่อยากเชื่อเลย ว่าชายหนุ่มสวมหน้ากากที่นั่งตรงข้ามเธอ จะเปรียบเทียบเธอกับสุนัข

 

เธอต้องการลุกขึ้นไปตบเขา แต่เธอมีเป้าหมายที่เธอจะต้องทำให้ได้ และชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเธอ ก็เป็นคนเดียวที่จะช่วยให้เเผนการของเธอ บรรลุเป้าหมายได้

 

แน่นอนว่ากองธนบัตรบนแขนเสื้อของเธอ จะมีบทบาทอย่างมากในการยื่นเสนอข้อตกลงเช่นกัน

 

“ทำไมเราไม่เลิกพูดถึงเรื่องไร้สาระ แล้วเริ่มคุยเรื่องธุรกิจกันเสียที และได้โปรด อย่าพูดว่าท่านไม่รู้ว่าว่าข้ามาที่นี่เพื่ออะไร” เธอหยิบธนบัตรจากกระเป๋าแขนเสื้อของเธอ แล้ววางลงบนโต๊ะ “ข้ามีเงิน”

 

ในที่สุดเขาก็ประหลาดใจ ที่เธอรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่ซ่อนอยู่ที่หงเป่ยโหลว เพราะมีเพียงไม่กี่คนในเมืองหลวงที่รู้เรื่องนี้ และไม่มีทางที่หญิงสาวเจ้านิสัยเสียที่เอาเเต่ขังตัวเองให้ห่างจากฝูงชนเป็นเวลาสามปี จะรู้อะไรเกี่ยวกับหงเป่ยโหลวสถานที่เเห่งนี้

 

หรือ..หลินเซียวเหมิงเเห่งตระกูลหลิน อาจจะส่งเธอมาหรือไม่?

 

หรือบางทีอาจมีคนบอกหลินเสี่ยวเฟย และขอให้เธอเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเขา

 

ฉู่เซียวซู มองลงไปที่กองธนบัตรบนโต๊ะ และรู้สึกสนใจในสิ่งที่เธอต้องการ เขาโน้มตัวลงไปข้างหน้า เเต่ไม่ใช่เพื่อจะหยิบธนบัตร แต่เพื่อให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลแดงของเธอชัดเจนขึ้น

 

ภายใต้แสงสีเหลืองอบอุ่นจากโคมไฟบนผนัง ดวงตาสีน้ำตาลแดงของหลินเสี่ยวเฟย ดูเหมือนพระอาทิตย์ตกที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาใกล้

 

ฉู่เซียวซู ส่ายหัวและไม่แม้แต่จะมองไปที่กองธนบัตรที่อยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าเงินจำนวนมหาศาลนั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา และไม่อาจดึงดูดเขาได้

 

“คุณหนู ท่านกำลังเข้าใจผิด ในเรื่องของเรา”

 

“ท่านหมายถึงอะไร?” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวถาม

 

ในชีวิตที่แล้ว เธอได้รู้ถึงการมีอยู่ของโรงเตี๊ยมหงเป่ยโหลว เมื่อตอนที่เธอกำลังจะแต่งงานกับหยูเฟิงซู

 

แม่ของเธอที่เสียชีวิตไปเเล้ว เคยบอกกับเธอว่าให้มาที่หงเป่ยโหลว ถ้าหากเธอต้องการความช่วยเหลือ แต่เเน่นอนว่ามันต้องเเลกด้วยเงิน

 

เเต่น่าเสียดาย ที่เธอลืมสิ่งที่แม่บอกกับเธอไว้ ก่อนที่ท่านกำลังจะตาย และเธอก็กระตือรือร้นที่จะแต่งงานกับองค์ชายสี่ ผู้สง่างามของอาณาจักรเซิง จนลืมเรื่องนี้ไป

 

หลังจากแต่งงานและต้องต่อสู้กลับสนมคนอื่นในลานด้านในไม่กี่ปี

 

เมื่อมองแวบแรก เธอคิดว่ามันเป็นแค่ร้านอาหารเส็งเคร็งและราคาถูก ที่มีการออกแบบด้วยสีที่ฉูดฉาด เเละไม่ค่อยมีผู้คนที่เข้าไปกินอาหารหรือพักอยู่เลย อย่างไรก็ตาม แม่ของเธอยังบอก

อีกว่า อย่าไปที่โรงเตี๊ยมหงเป่ยโหลว หากไม่มีเหตุจำเป็น

 

ดังนั้น หลินเสี่ยวเฟยจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะตรวจสอบกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น

เป็นเรื่องยากที่จะค้นหาความลับของหงเป่ยโหลว เนื่องจากทุกครั้งที่เธอพยายามส่งคนไปสอบถาม แต่คนเหล่านั้นก็กลับหายตัวไปอย่างลึกลับ

 

หลินเสี่ยวเฟย ไม่ใช่คนโง่ที่คิดว่าพวกเขาจะหลอกลวงเธอและหายตัวไปพร้อมกับเงินที่เธอจ่าย เเต่เธอแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับคนที่เธอจ้างวาน

 

ไม่มีทางเลือกอื่น หลินเสี่ยวเฟยตัดสินใจมาที่นี่เป็นการส่วนตัว เธอปลอมตัวเป็นพ่อค้าและพยายามคลุกคลีกับลูกค้าของที่นี้เป็นเวลาหลายวัน

 

และด้วยความพยายามและความอยากรู้อยากเห็นของเธอ ในที่สุดเธอก็ทำให้เธอพบกับคำตอบ

 

เธอสังเกตว่า ลูกค้าที่มา อาจจะเป็นลูกจ้างประจำของหงเป่ยโหลวทั้งหมด พวกเขาไปที่นั่นบ่อยๆ และนั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่เธอสังเกตเห็น

 

ในเวลานั้น เธอไม่ได้อ่อนไหวกับกลิ่นที่หอมหวานและกลิ่นฉุนของเลือด

แต่ด้วยประสบการณ์ของเธอ เธอรู้สึกเหมือนมีเจตนาฆ่าอยู่ทุกหนแห่งส่งมายังเธอ

หลินเสี่ยวเฟยก็พบว่าโรงเตี๊ยมทั้งหมด ถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่อันตราย ราวกับการออกแบบด้วนสีที่ฉูดฉาด ดูตั้งใจทำขึ้นเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง

 

หลินเสี่ยวเฟย ยังพบว่าลูกค้าที่มาในสถานที่เเห่งนี้ ทุกคนยังพกมีดหรืออาวุธที่สามารถใช้ฆ่าคนได้

 

ดังนั้น การตระหนักรู้ จึงเกิดขึ้นกับหลินเสี่ยวเฟย

 

หงเป่ยโหลว ไม่ได้เป็นเพียงโรงเตี๊ยมที่มีเเค่อาหารให้เเก่ลูกค้า แต่ยังให้บริการสำหรับผู้ที่เคยชินกับการฆ่า และบางที ลูกค้าทุกคนที่มาที่นี่คือผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด

 

“แค่นี้ ยังไม่พออีกหรือ?” หลินเสี่ยวเฟยถาม ขณะที่มองดูเขาผ่านหน้ากากปีศาจ ที่ชายหนุ่มผู้นั้นสวมอยู่

 

ฉู่เซียวซู หัวเราะเบาๆหลังหน้ากากของเขา และกล่าวว่า “อย่างที่ข้าพูดไป เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่

หงเป่ยโหลวของข้าทำ” เขาหยุด แต่ไม่รอให้เธอพูดอะไร และกล่าวต่อ “เงินไม่ใช่ปัญหาของที่นี่ คุณหนู เเละข้าก็ไม่ได้ต้องการมัน”

 

“บางทีท่านอาจไม่ต้องการ แต่โรงเตี๊ยมหงเป่ยโหลวของท่าน อาจต้องการเพื่อปรับปรุงใหม่ ข้าเห็นชั้นล่าง มีการออกแบบด้วยสีที่ไม่ฉูดฉาดเหมือนเมื่อก่อน มันอาจทำให้สัตว์จรจัดที่กินเพียงเศษอาหารกลัวสถานที่เเห่งนี้”

 

ฉู่เซียวซู สำลักคำพูดของเธอ ใบหน้าของเขายังคงว่างเปล่า นอกเหนือจากความสนุกสนานในดวงตาของเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ยินเธอบอกว่า การออกแบบในหงเป่ยโหลวของเขาดูน่าเกลียดและไม่น่าพอใจ ที่แม้แต่สัตว์ก็ยังอยู่ห่างจากมัน

 

“ท่านเคยมาที่นี่ในอดีต ใช่หรือไม่?” จู่ๆเขาก็ถาม

 

หลินเสี่ยวเฟย ปิดปากเงียบเพราะกลัวความผิดพลาดของเธอ แต่เธอไม่ได้ให้คำตอบเเก่เขา

และหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงมัน ในขณะที่เธอกล่าวว่า “เรากำลังเบี่ยงเบนประเด็นของเรา ถ้าไม่ใช่เงินแล้วผู้จัดการของหงเป่ยโหลว ต้องการอะไรเล่า?”

 

เมื่อเห็นว่า เธอไม่ต้องการพูดถึงความจริง ว่าเธอเคยมาที่หงเป่ยโหลว

ฉู่เซียวซู ก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้และไม่พูดถึงมันอีก เขาสามารถให้คนของเขาไปตรวจสอบในภายหลัง ว่าคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน เคยก้าวมาที่นี่ได้อย่างไร

 

ฉู่เซียวซู เอนตัวและนั่งท้าวคางคาง เบื้องหลังของหน้ากากนั้นมีใบหน้าที่แสดงรอยยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็กล่าวว่า”มาฟังกัน ว่าสิ่งที่ท่านต้องการคืออะไร ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจ ว่าท่านต้องจ่ายค่าบริการเท่าใด”

 

หลินเสี่ยวเฟยพยักหน้า และคำพูดที่เธอพูดออกมากลับเป็นสิ่งที่ทำเขาไม่คาดคิด ว่ามันจะออกมาจากปากของเธอ

 

“ระเบิด” เธอยิ้มหลังผ้าคลุม ดวงตาของเธอเปลี่ยนไปและกล่าวต่อ “ข้าต้องการซื้อระเบิด”

“ ไม่เป็นไรนะ ตาอยู่ที่นี่เเล้ว”

 

เสี่ยวเฟยตื่นขึ้นจากอาการตกใจ  ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เธอก็ไม่ได้กล่าวคำใดๆออกมา

 

อะไรกัน!?

 

ชายชราคนนี้เป็นใครกันนะ?

 

ด้วยน้ำตาที่ยังคงไหลอาบเเก้มและมือที่สั่นเทา เสี่ยวเฟยจึงรีบผลักตัวเองออกจากคนที่กำลังลูบหัวเธอ

 

ความสับสนของเธอไม่สามารถปิดบังสายตาใครได้ เธอยังได้เเสดงความรู้สึกประหลาดใจออกมา ขณะที่เธอมองไปยังรอบๆ ตัวเธอ

 

ไม่ คนเหล่านี้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ

 

ก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้สนใจเเละสังเกตว่าเธออยู่กับใครและอยู่ที่ไหน อารมณ์ของเธอที่อดกลั้นไว้ระเบิดออกมาหลังจากที่เธอลืมตาตื่น

 

ที่อยู่ตรงหน้าเธอคือหลินเซียวเหมิง แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเซิง เขากำลังนั่งอยู่ข้างๆเธอ สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ เขาทำตัวใกล้ชิดกับเธอราวกับว่าเธอเป็นคนที่เขารู้จัก

 

เท่าที่เธอจำได้ครั้งที่เสี่ยวเฟยได้พบกับหลินเซียวเหมิง ก็ตอนงานเลี้ยงของราชวงศ์และเนื่องจากเธอเป็นนางสนมที่องค์ชายสี่โปรดปราน เธอจึงสามารถนั่งในห้องโถงเดียวกันกับคนสำคัญเหล่านี้ได้

 

หลินเซียวเหมิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยเพราะพวกเขาไม่เคยพูดคุยกัน เพราะตำแหน่งของเขาสูงกว่านางสนมในที่พำนักขององค์ชายสี่อย่างมาก เขาอาจจะเคยเห็นเธอผ่านๆตา ตอนงานเลี้ยงของราชวงศ์บ้างเท่านั้น

 

หยูเฟิงซูเคยบอกกับเธอว่า หลินเซียวเหมิงเป็นคนที่พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้เนื่องจากเขาเป็นคนพิเศษของจักรพรรดิองค์ก่อน และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งอาณาจักรซึ่งแม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ยังทำตัวเป็นกันเองและให้เกียรติเขา

 

การเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรเซิง หลินเซียวเหมิงเปรียบเสมือนผู้อาวุธโสของข้าราชการทหารทุกคนเคารพเขา เเต่อย่างไรก็ตาม ตามข่าวลือ เบื้องหลังเสื้อคลุมสีทองของเขา มีหลานสาวที่เเสนจะไร้ประโยชน์อยู่

 

หลินเสี่ยวเฟยเป็นไข่ในหินของหลินเซียวเหมิง เพราะเธอเป็นลูกสาวของหลินหยุน ลูกสาวที่มีค่าต่อแม่ทัพหลินที่สุดซึ่งเสียชีวิตไปหลังจากให้กำเนิดเสี่ยวเฟย  ด้วยชื่อเสียงของตระกูลหลิน ทุกคนต่างก็หวังว่า หลินเสี่ยวเฟยจะเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสามารถ

 

เเต่อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟย เป็นสิ่งที่เกินความคาดหวังของทุกคน เธอเกิดมาพร้อมกับหน้าตาที่งดงาม แต่เป็นเพราะว่าเธอหยาบคาย นิสัยเสียและหยิ่งยโส ใบหน้าที่สวยงามของเธอ จึงถูกมองข้ามเพราะการกระทำอันเลวทรามที่เธอเคยก่อไว้

 

อีกทั้งเธอยังเคยรังแกหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ในวัยเดียวกัน สร้างปัญหาให้ทั้งตระกูลหลินและเหยื่อ ทำให้ต้องเปลืองเงินทองภายในห้องสมบัติของตระกูลหลินไปมากมาย ทุกคนทำได้เพียงส่ายหัวและพูดไม่ดีเกี่ยวกับตัวเธอ

 

ดังนั้น ชื่อเสียงของหลินเสี่ยวเฟยจึงทำให้ชื่อเสียงตระกูลหลินตกต่ำอย่างมาก แม่จะมีแม่ทัพหลินผู้ยิ่งใหญ่อยู่ก็ตาม

 

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเฟยในชีวิตก่อนเกลียดผู้หญิงคนนี้มาก เพียงเพราะว่าพวกนางใช้ชื่อที่เหมือนกัน และทั้งคู่ก็มีใบหน้าที่งดงาม แตกต่างกันตรงที่คนหนึ่งมีความสามารถและใครหลายคนต่างชื่นชม ในขณะที่อีกคนเป็นผู้หญิงที่งี่เง่าเอาใจเเต่ใจที่ทุกคนต่างพากันเกลียดชัง

 

ไม่รู้ว่าการกระทำหรือนิสัยที่ก้าวร้าวของหลินเสี่ยวเฟย อาจจะมีผลมาจากการหย่าร้างของพ่อแม่หรือไม่ก็มาจากการตายของแม่เธอ ไม่ว่าอย่างไรบุคลิกของเธอก็ช่างทำให้ใครๆรังเกียจเธออยู่เสมอ

 

ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรก็ตาม แม่ทัพหลินก็ยังคงรักเธอ

 

หลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิต ตระกูลหลินได้นำหลินเสี่ยวเฟยมาจากตระกูลโจวซึ่งเป็นครอบครัวฝั่งบิดา และได้เปลี่ยนนามสกุลจากตระกลูโจว เป็นตะกูลหลิน เป็นเรื่องยากสำหรับหญิงสาว

ที่ยังไม่ได้แต่งงานจากครอบครัวอันทรงเกียรติที่จะเปลี่ยนนามสกุลโดยกะทันหัน แต่เนื่องจากหลินเสี่ยวเหมิง ได้พูดคุยกับจักรพรรดิและขออนุญาตให้เธอเปลี่ยนนามสกุลเป็นการส่วนตัว จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไร

 

แต่ข่าวลือที่แพร่กระจายเกี่ยวกับตัวเธอ กลับดูไม่น่าฟังเลยสักนิด เธอไม่เพียงเเม้แต่มีบุคลิกที่น่ารังเกียจเท่านั้น หลินเสี่ยวเฟยยังถูกกล่าวขานว่าเป็นเด็กอกตัญญู เพราะการละทิ้งครอบครัวบิดาของเธอ

 

หลังจากเธออายุได้ 13 ปี หลินเสี่ยวเฟยได้หายตัวไปอย่างลึกลับจากสายตาของผู้คน ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นเพราะสาเหตุอันใด จะมีก็เเต่ข่าวลือมากมายที่ถูกกล่าวขาน เเละหนึ่งในนั้นก็คือหลินเสี่ยวเฟย ที่ทำสิ่งที่น่าละอายจนถูกตระกูลหลินลงโทษ ให้ไปอยู่ที่วัดปิงซัง

 

อีกข่าวลือ คือหลินเสี่ยวเฟยได้ประสบอุบัติเหตุและทำให้ใบหน้าของเธอเสียโฉม จนไม่กล้าออกไปไหน อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเหล่านี้ไม่มีมูลความจริง แต่ผู้คนต่างเชื่อว่าใบหน้าของหลินเสี่ยวเฟยเสียโฉมไปและไม่มีใบหน้าที่งดงามอย่างอย่างเคย เธอจึงไม่กล้าที่จะแสดงตัวต่อหน้าสาธารณชน และสืบเนื่องมาจากหลินเสี่ยวเฟยได้ทำสิ่งที่น่าละอายไว้มากมายในอดีต เธอจึงคิดว่า หากเธอไม่มีใบหน้าที่งดงาม อย่างที่เธอเคยภูมิใจ มันคงจะดีกว่าที่เธอจะต้องตายมากกว่ามีชีวิตอยู่

 

เสี่ยวเฟยขมวดคิ้ว หลังจากถอยตัวเองเองออกห่างจากหลินเซียวเหมิงเล็กน้อย “แม่ทัพหลินท่านมาทำอะไรที่นี่?”

 

หลินเซียวเหมิง รู้สึกประหลาดใจเมื่อเขาเห็นเด็กน้อยทำตัวห่างเหินจากเขา เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจที่เธอพูดกับเขาเหมือนกับว่าเขาเป็นเพียงคนรู้จัก

 

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าคิดว่าว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้าควรทำเช่นนี้กับตาของเจ้าหรือไม่ ในขณะที่ตาของเจ้ากำลังปลอบโยนเจ้าอยู่?”

 

ตา?

 

เสี่ยวเฟยจ้องตาของเขา เเละเธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงเรียกแทนตัวเองว่าเป็นตาของเธอ ในเมื่อปู่ย่าตายายของเธอนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ก่อนที่เธอนั้นจะจำความได้เสียอีก

 

หลินเซียวเหมิง ขมวดคิ้ว และเริ่มเแปลกใจ หลังจากที่ได้เห็นปฏิกิริยาของเธอ

 

“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน แม่ทัพหลินคงเข้าใจผิดเเน่ๆว่าข้าเป็นหลานสาวของเขา หลานสาวของเขาก็ต้องอยู่ในบ้านของเขาสิ ไม่ใช่ …”  เสี่ยวเฟยหยุดคิดทันที เละไม่สามารถคิดต่อได้อีกเมื่อเธอตระหนักว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ

 

เธอหมกมุ่นอยู่กับการโวยวายและระบายอารมณ์ออกมา จนเธอไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยเพราะเธอคิดว่าเธอตายแล้วและได้ไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่เมื่อมองไปยังรอบๆห้องที่เธออยู่อีกครั้ง เธอก็เห็นห้องที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่มีแต่ในตระกูลขุนนางชั้นสูง

 

เสี่ยวเฟยสูดอากาศเต็มปอด ราวกับว่าเธอถูกเติมด้วยอากาศที่บริสุทธิ์อย่างเต็มที่

 

เธอไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่เธอก็ยังลังเลกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันน่าเหลือเชื่อเกินไป

 

ทันใดนั้น เสี่ยวเฟยก็รีบลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆ เพื่อมองหากระจกและเธอก็พบมัน เธอเห็นมือที่บอบบางขาวนวล มือของเธอก็เริ่มสั่น ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นเเต่อย่างใดเเต่เป็นเพราะความหวาดกลัว

 

หลินเซี่ยวเหมิงมองดูพฤติกรรมแปลกๆของหลานสาวของเขาเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจู่ๆเธอก็เงียบไปทันทีหลังจากทำเรื่องยุ่งวุ่นวาย

 

“เฟยเอ๋อ มานั่งนี่สิ เจ้ายังไม่หายดี!” เสียงของหลินเซี่ยวเหมิง ได้กลบความดังของเสียงหัวใจที่กำลังเต้นอย่างหนักของเธอ

 

เสี่ยวเฟยมองไปที่กระจก และเห็นใบหน้าที่แปลกแต่คุ้นเคย จมูกแหลมเล็ก ริมฝีปากแดง และฟันขาว ขนตายาวพลิ้วสะไหว ราวกับปีกของจักจั่น ตาสองชั้นที่ดึงดูดใจใครก็ตามที่ได้จ้องมองเธอ

 

ทันใดนั้น เสี่ยวเฟยก็จำได้ว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยเห็นหญิงสาวที่ยืนหยิ่งยโสอยู่ข้างๆ เเม่ทัพหลินในงานเลี้ยงของจักรพรรดิ

 

เธอมองไปยังกระจกในมือของเธอ เสี่ยวเฟยที่เห็นภาพในกระจกก็ปล่อยมือจากกระจกทันที เเละในไม่ช้าเสียงกระจกที่แตกนั้นก็ดังขึ้นในห้องที่เงียบงัน ในขณะที่กระจกแตกกระจายไปทั่วพื้นห้อง

 

ความเป็นจริงที่เสี่ยวเฟยเห็น ทำให้เธอไม่สามารถปฏิเสธที่จะยืนยันและยอมรับกับภาพที่ปรากฏต่อหน้าเธอได้

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

Score 10
Status: Completed

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

“เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เราเป็นหุ้นส่วนในอาชญากรรม หากเจ้าเป็นแม่มด ข้าก็จะเป็นพ่อมดของเจ้า”

หลังจากการตายอย่างโหดร้ายของเธอ เสี่ยวเฟยพบว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของคุณหนูที่งดงามจากตระกูลหลินผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเดียวกันกับเธอ

เธอเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอันงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ เอาชนะใจชายทุกคนและแม้แต่ผู้หญิงก็ต่างอิจฉาในชีวิตที่แล้วของเธอ

แต่เธอกลับตกหลุมรักองค์ชายอย่างโง่เขลา และถูกลิขิตให้ตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของคนที่เธอรัก

ในชีวิตและร่างกายใหม่นี้ กลอุบายอันชั่วร้ายและเรื่องอื้อฉาวก็ยังวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ แม้จะเกิดใหม่แล้วก็ตาม

เธอก็เริ่มทำแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้นและจะโหดเหี้ยมต่อผู้ที่คิดต่อต้านเธอ

ชายหนุ่มและและหญิงสาวต้องโค้งคำนับ

บัลลังก์ทองคำต้องถูกส่งต่อ

อาณาจักรจะต้องถูกพิชิตและเผาทำลาย

หัวใจต้องถูกแย่งชิง

ด้วยยุคอันโหดร้ายเช่นนี้ ผู้คนทำได้เพียงพยายามบังคับและป้องกันตนเองจากอันตราย

อย่างไรก็ตาม ใครจะคิดว่าชายที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเย่อหยิ่งจะเข้ามาในชีวิตของเสี่ยวเฟยอย่างกะทันหัน? และเขายังกระซิบข้างหูของเธออย่างไร้ยางอายว่า “ศัตรูของภรรยาข้าก็คือศัตรูของข้า และความปรารถนาของภรรยาข้าก็คือความปรารถนาของข้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้ายังมีความปรารถนาอีกอย่างหนึ่งที่มีแต่ภรรยาข้าเท่านั้นที่จะมอบให้แก่ข้าได้”

“นั่นคือภรรยาข้าต้องกลายเป็นอาหารเช้า กลางวัน เย็น ให้แก่ข้า”

เสี่ยวเฟย: “……”

Options

not work with dark mode
Reset