กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess 19 หลับให้สบาย

ตอนที่ 19 หลับให้สบาย

เมื่อหลินเสี่ยวเฟยกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิน เธอก็สั่งให้คนรับใช้ทุกคนในลานบ้าน ห้ามมารบกวนเธอและไล่ให้พวกเขาออกไปทั้งหมด

 

หลังจากที่เธอปิดประตู ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนรับใช้ที่เดินจากไป หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกว่าพลังงานของเธอถูกระบายออกไปทั้งร่าง และนั่งลงบนพื้นอย่างเฉยเมย

 

ภายในห้องสว่างไสวด้วยเทียนหอมที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ความเจ็บปวดในใจของเธอ ทำให้ร่างกายของเธอเย็นลงไปถึงกระดูก

 

เหตุผลที่เธอไปที่ไป่ฮัวโหลว ก็เพื่ออยากไปดูว่าชูชูเป็นอย่างไร และพูดคุยเกี่ยวกับกล่องที่เธอขโมยมาจากพระสนมเซียน อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเพื่อนของเธออยู่ในสภาพเช่นนั้น หลินเสี่ยวเฟยไม่รู้เลยว่าเธอจะหันไปร้องไห้กับใครได้

 

เธออยากจะบอกกับชูชู ว่าเธอคือเสี่ยวเฟย แต่เธอคิดว่ามันจะทำให้ชูชูสับสน หลินเสี่ยวเฟยจึงไม่ได้ดำเนินการตามแผนของเธอ

 

ใครจะเชื่อ ว่าเธอได้เกิดใหม่ และกลายเป็นคุณหนูหลินเสี่ยวเฟย?

 

แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอที่อยู่กับเธอมาเป็นเวลานานต้องมีสภาพเป็นเช่นนี้ มันทำให้จิตใจของหลินเสี่ยวเฟยรู้สึกแตกสลาย

 

น้ำตาในดวงตาของเธอไหลอาบแก้ม เธอพยายามปกปิดความเจ็บปวดและความโศกเศร้าด้วยการหนีออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มันยากที่เธอจะสงบสติอารมณ์ลงได้

 

เธอคร่ำครวญอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน

 

ทั้งชีวิตที่ยุ่งเหยิง เเละความยากจนของเธอเมื่อตอนเธอยังเด็ก เธอยังต้องมาเจอกับชีวิตที่แสนทรมานหลังจากแต่งงานกับหยูเฟิงซู ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนมากนัก เธอยังคงต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด มองหาที่พักพิง และหัวใจของเธอยังคงเจ็บปวดเสมอ

 

มันคงไม่เป็นไรมากนัก หากมีเพียงเธอผู้เดียวจะที่ได้รับความความเจ็บปวด แต่หยูเฟิงซูไม่ละเว้นชูชู เธอไม่รู้สาเหตุว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกับชูชู แต่เธอรู้ถึงวิธีการของหยูเฟิงซูมันคงจะส่งคนของมันไปทำร้ายจิตใจของชูชูโดยการบอกเล่าเรื่องราวจุดจบของเสี่ยวเฟย

 

เธอสูญเสียสิ่งต่างๆมากมายในชีวิตที่แล้ว แต่การสงบสติอารมณ์และคงสติไว้ยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ดี แม้หลังจากเธอเกิดใหม่แล้วก็ตาม

 

และกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกหมดหนทาง

 

หลังจากนั้นไม่กี่นาที หลินเสี่ยวเฟยก็ลุกขึ้นยืนและล้มตัวนอนลงบนเตียงของเธอ โดยที่ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า

 

เธอบังคับตัวเองให้หลับใหลเพื่อหนีจากความเจ็บปวด

 

 

ในลานตะวันตก

 

ฮูหยินสองซงหยานยี่ และฮูหยินหนึ่งหวู่จิงหยาน กำลังทานอาหารว่างที่ลานบ้านของฮูหยินสอง

 

บ้านหลังนี้ เป็นที่ที่ซงหยานยี่และหลินซาง อาศัยอยู่กับลูกสองคนของพวกเขา

 

ลานบ้านของพวกเขานั้นหรูหรา และเต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม เมื่อเทียบกับลานตะวันออกที่หลินเซียวเหมิงอาศัยอยู่ มีของเก่าและเฟอร์นิเจอร์มากมาย ที่ประดับประดาอยู่ในลานบ้าน ทำให้สามารถบอกได้ว่าตระกูลหลินสาขาสองของหลินซางนั้น เขากำลังรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของการเป็นตระกูลผู้สูงศักดิ์ระดับสูง

 

อย่างไรก็ตาม ฮูหยินหนึ่งหวู่จิงหยานอาศัยอยู่อยู่ส่วนแรกของคฤหาสน์และอยู่ตรงข้ามกับลานที่สอง แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่กับฮูหยินสองในเวลานี้?

 

ก่อนหน้านี้เมื่อซงหยานยี่ไปที่ลานตะวันออก ข่าวที่เธอทะเลาะกับหลินเสี่ยวเฟยได้แพร่กระจายไปในทันทีราวกับไฟลามทุก ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลหลินก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว แต่เขาอยากรู้รายละเอียดทั้งหมด เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในลานตะวันออก ดังนั้น หวู่จิงหยานจึงอยากมาถามเธอ

 

“น้องสอง จริงหรือไม่ที่ตระกูลซู มายกเลิกการหมั้นหมาย?” หวู่จิงหยานกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งมันฟังดูขัดแย้งกับน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลของเธอ

 

เรื่องทีตระกูลซูได้มายกเลิกการหมั้น ได้แพร่กระจายออกไปแล้ว หลังจากที่สาวรับใช้ในคฤหาสน์ตระกูลหลินได้นำเรื่องนี้ไปซุบซิบกันระหว่างที่พวกเขาทำงาน และซงหยานยี่ก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้เธอกล่าวว่า “ใช่ ข้าได้ยินเรื่องนี้จากท่านพ่อเช่นกัน ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ได้รู้ว่าคุณหนูสี่อาจไม่ได้แต่งงานเพราะสาเหตุนี้”

 

“เป็นข่าวที่แย่มากจริงๆ” หวู่จิงหยาน ยกถ้วยชาขึ้นและจิบพร้อมกล่าวต่อว่าจิบชา “แต่นี่เป็นข่าวดีสำหรับเรา”

 

เมื่อซงหยานยี่ได้ยินสิ่งนี้ เธอเลิกคิ้วขึ้นแต่เธอก็ไม่ได้คัดค้านคำพูดนี้

 

ในเมื่อการหมั้นของหลินเสี่ยวเฟยพังทลาย หลินเสี่ยวเฟยคงไม่สามารถหาตระกูลผู้สูงศักดิ์ระดับสูงมาแต่งงานกับเธอได้อีกต่อไป

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสาขาแรกและสาขาที่สองของตละกูลหลิน กำลังปวดหัวกับเรื่องการหมั้นของหลินเสี่ยวเฟยกับบุตรชายของตระกูลซู

 

พวกเขาต่างตกใจเมื่อได้ยินว่าตระกูลซูมาเยี่ยมหลินเซียวเหมิงและต้องการยกเลิกการหมั้นของหลินเสี่ยวเฟย แต่ด้วยข่าวการหมั้นถูกยกเลิกไป ทำให้ทั้งสาขาหนึ่งและสาขาสอง ต่างก็มีความสุขเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีภาระหนึ่งของพวกเขาได้ถูกยกออกจากบ่าของพวกเขาแล้ว ตอนนี้พวกเขาสามารถทำอะไรอย่างเปิดเผยมากขึ้น หากต้องรับมือกับหลินเสี่ยวเฟย

 

“นี่คงจะเป็นเวลาที่ดี ที่จะทำอะไรบางอย่าง” จู่ๆ หวู่จิงหยานจึงกล่าวถามซงหยานยี่”เจ้าคิดจะทำเช่นไร”

 

ทั้งฮูหยินหนึ่งและฮูหยินสอง จึงรวมตัวกันเพื่อวางแผน พวกเขาเปรียบเสมือนพี่น้องกัน หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาเกือบสองทศวรรษในคฤหาสน์ตระกูลหลิน

 

และด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ดูจะสนิทสนมกัน จึงทำให้พวกเขากล้าที่จะบอกกันถึงแผนการชั่วร้ายของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีเเผนการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกับหลินเสี่ยวเฟย

 

ดังนั้น หวู่จิงหยาน จึงไม่ปิดบังเจตนาอันชั่วร้ายของเธอและบอกกับซงหยานยี่โดยตรง

 

ไม่กี่นาทีต่อมา ซงหยานยี่กับหวู่จิงหยาน ใบหน้าของเขาทั้งคู่ได้ฉีกยิ้มออกมา เเละรอยยิ้มของพวกเขาดูเป็นที่น่าสยดสยองอย่างมาก เเละเป้าหมายยิ่งดูชัดเจนมากขึ้นเมื่อพวกเขายังคงพูดคุยกันต่อไป

หลังจากเห็นปฏิกิริยาที่ดูรุงเเรงของชูชู  หลินเสี่ยวเฟยตัดสินใจที่จะยุติเรื่องราวเหล่านี้โดยเร็วที่สุด

 

เธอเดินไปที่โต๊ะ ซึ่งมีพู่กัน หมึก และกระดาษที่เตรียมไว้สำหรับแขก เธอได้เขียนข้อความลงในกระดาษแล้วขยำ ก่อนที่จะโยนให้ชูชูอย่างนุ่มนวล

 

ก้อนกระดาษกลิ้งลงบนพื้น และหยุดที่เท้าของชูชูและ จากนั้นหลินเสี่ยวเฟยก็กล่าวว่า “ข้าอยากให้เจ้าอ่านข้อความในกระดาษเเผ่นนี้เมื่อข้าจากไป และก่อนที่เจ้าจะเผามัน ข้าหวังว่าเจ้าจะให้คำตอบกับข้าในครั้งต่อไปที่เราพบกัน”

 

หลินเสี่ยวเฟย ทำได้เพียงใช้วิธีนี้เพื่อถ่ายทอดแผนการของเธอ เนื่องจากชูชู ไม่เต็มใจที่จะฟังและขู่ที่จะฆ่าตัวตาย ทำให้หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกลังเลและอึดอัดใจ

 

ดังนั้น หลินเสี่ยวเฟยจึงตัดสินใจออกไป หลังจากที่หยิบเสื้อคลุมและหมวกของเธอแล้ว

 

 

ในห้องโถง ซูถังยังคงเจรจากับผู้จัดการของไป่ฮัวโหลว เมื่อเธอเห็นคุณหนูของเธอเดินลงบันไดมาด้วยใบหน้าที่เย็นชา

 

ซูถังลังเล ที่จะเข้าไปหาคุณหนูของเธอ และเมื่อเธอเข้าใกล้หลินเสี่ยวเฟยมากขึ้น เธอจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

จนกระทั่ง พวกเขาก้าวออกจากประตูของไป่ฮัวโหลว ซูถังถึงจะสามารถที่จะกล่าวในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดออกมาได้ “ตอนเเรกคุณหนูต้องการที่จะไถ่ตัวชูชู แล้วตอนนี้คุณหนูเปลี่ยนใจเเล้วหรือ?”

 

ก่อนหน้านี้ หลินเสี่ยวเฟยสั่งให้ซูถังไปจ่ายเงินให้กับผู้จัดการ เพื่อแลกกับชูชู อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่นาที คุณหนูของเธอก็จากไปพร้อมกับกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวรอบๆตัวเธอ

 

ดังนั้น ซูถังจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูของเธอและชูชู

 

แทนที่จะตอบ หลินเสี่ยวเฟยกลับไม่สนใจในคำพูดของเธอ และก้าวเข้าไปในรถม้าพร้อมกับกล่าวว่า “กลับคฤหาสน์ กันเถอะ!”

 

ทันทีที่พวกเขาได้ยินคำสั่งของเธอ คนขับและผู้ติดตามที่หลินเซี่ยวเหมิงส่งมา ก็ออกรถม้ามุ่งหน้ากลับคฤหาสน์ตระกูลหลินทันที พวกเขาไม่ได้คัดค้านอะไรและนั่งอยู่ในรถมาอย่างเงียบๆ

 

 

ภายในห้อง ชูชูปล่อยกริชในมือและทรุดตัวลง เข่าของเธอรู้สึกอ่อนแรงและรู้สึกเจ็บปวดที่คอ หลังจากที่เธอเอาปลายกรีชแทงลงไป

 

เธอพร้อมที่จะตายจริงๆ

 

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ในอดีตของชูชูเคยเป็นคนที่ร่าเริง แต่หลังจากที่รู้ว่าเสี่ยวเฟยเสียชีวิตและต้องใช้ชีวิตอย่างน่าสังเวชอยู่ในคุกใต้ดิน เเละยังถูกทำร้ายโดยคนของหยูเฟิงจู ชูชูจึงไม่มีความปรารถนาที่จะให้บริการลูกค้าและเธอรู้สึกว่าความสุขในชีวิตนี้ของเธอนั้นหายไป

 

เสี่ยวเฟย เป็นผู้เดียวที่คอยช่วยเหลือเธอมาโดยตลอด และเป็นเหตุผลเดียวที่ชูชูต้องการมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเธอรู้ว่าเสี่ยวเฟยได้จากไปแล้ว ชูชูก็ไม่พบความหวังที่จะดำเนินชีวิตอีกต่อไป

 

หยูเฟิงจู โหดร้ายกับเธอเช่นกัน เมื่อหลายเดือนก่อน เขาส่งชายสองสามคนปลอมตัวมาเป็นแขกของเธอ แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะเป็นสัตว์ร้ายในคราบของมนุษย์

 

พวกเขาทำกับเธออย่างไร้ความปราณีและเหยียดหยามเธอ พวกเขาทุบตีเธอโดยไม่รู้สึกผิดหรือความเมตตาเเต่อย่างใด และพวกเขายังบอกเธอเกี่ยวกับสิ่งที่หยูฟางจูกระทำต่อเสี่ยวเฟย

 

หากชูชูไม่มีความเกลียดชังอยู่ในใจและตั้งใจที่จะแก้แค้น เธอคงจะไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกนานหลายเดือน และคงจะกลายเป็นกองกระดูกไปเเล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ ชูชูก็ยังคงไม่ได้ล้างแค้นให้กับเสี่ยวเฟย

 

ชูชูรู้สึกว่างเปล่าและไร้วิญญาณ เธอกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยากและปฏิเสธที่จะกินอาหาร เธอไม่มีอารมณ์แม้แต่จะตอบโต้กับหญิงงามหน้าใหม่ๆที่ชอบการเยาะเย้ยเธอ และเหตุผลทั้งหมดที่เธอยังคงต้องอยู่ที่นี่ ก็เพราะการจ้างงานของไป่ฮัวโหลว

 

เป็นเวลาหลายเดือนที่เธอเป็นเช่นนี้จนกระทั่งเด็กหนุ่มคนนั้นเพิ่งพูดชื่อของเสี่ยวเฟยต่อหน้าชูชู เธอราวกลับกลายเป็นบ้าและขู่เขาว่าเธอจะฆ่าตัวตาย

 

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างต่างจากที่เธอคิด เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย และเขายังรู้สึกโกรธอย่างมากกับการกระทำของเธอ และยังกล่าวออกมาอย่างเย็นชา จึงทำให้ชูชูรู้สึกลังเลใจที่จะปลิดชีพตัวเอง

 

เมื่อมองลงไปที่ก้อนกระดาษที่อยู่บนพื้น ชูชูก็เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาและยังคงลังเลที่จะอ่านมัน

 

เธอควรจะเป็นคนโง่อีกครั้งหรือไม่ และเธอความจะอ่านสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนั้นเขียนไว้ให้เธอหรือไม่?

 

ชูชู ตัดสินใจอย่างเเน่วเเน่ เธอตั้งใจที่จะดูสิ่งที่เขาเขียนลงในกระดาษ

 

ทันใดนั้น เสียงหายใจก็ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัด ขณะที่ชูชูได้อ่านสิ่งที่เขาเขียนลงในกระดาษ และน้ำตาของเธอก็ค่อยๆเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง

 

ในกระดาษเหล่านี้ ถูกเขียนเล่าเรียงได้อย่างสวยงาม:

 

‘ข้าเป็นเพื่อนของเสี่ยวเฟยและมีเป้าหมายเช่นเดียวกับเจ้า ข้ารู้ว่ากล่องนั้นอยู่ที่ไหน และข้าต้องการให้เจ้าย้ายของสิ่งนั้น  เพราะฉะนั้น ข้าจึงไม่สามารถทำสิ่งนี้ผู้เดียวได้ ศัตรูของเรามีจิตใจที่โหดเหี้ยม หากพวกมันรู้ เราก็จะต้องถูกกำจัดทิ้ง’

 

ในประโยคแรก ชูชูยังคงไม่เชื่อ แต่หลังจากที่อ่านทุกคำที่เขาเขียน ชูชูรู้สึกประหลาดใจอย่างมากและมองออกไปที่ประตู ที่เด็กหนุ่มผู้นั้นเดินจากไป

 

‘กล่อง’ ที่เสี่ยวเฟยแอบเอามามอบให้กับชูชูนั้น มีเพียงเเค่สองคนเท่านั้นที่รู้

 

แม้แต่หยูเฟิงซู ที่ฆ่าเสี่ยวเฟยอย่างไร้ปราณี และทำให้ชีวิตของชูชูต้องพบกับความทุกทรมาน ก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้ มันยังคงกำลังมองหากล่องใบนั้นอย่างไร้จุดหมาย อย่างไรก็ตาม ทั้งชูชูและเสี่ยวเฟยซ่อนมันไว้อย่างดี จนเขาไม่สามารถหามันเจอได้ แม้ว่าเขาจะพลิกอาณาจักรเซิงทั้งหมดก็ตาม

 

อย่างไรก็ตาม จู่ๆมีอีกคนที่รู้ตำเเหน่งของกล่องนั่นปรากฏตัวขึ้น และบอกให้ชูชูเคลื่อนไหว นอกจากนั้น เด็กหนุ่มคนนั้นยังได้กล่าวอีกว่า เขาต้องการกำจัดศัตรู

 

แต่ศัตรูของใคร?

 

ของเธอและของเสี่ยวเฟย? แต่ทำไม?

 

ชูชู ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางเดิน และเธอก็ลุกขึ้นยืนทันที

 

เธอเดินไปที่มุมหนึ่งของห้อง ซึ่งมีตะเกียงวางอยู่และเธอก็มองดูกระดาษในมือของเธอ ก่อนจะจับมันเผาในตะเกียงจนไฟลุกโชน กระดาษเเผ่นนั้นจะกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำ

 

ตอนนี้เธอมีคำถามมากมาย ที่อยากจะถามเด็กหนุ่มผู้นั้น ถ้าเด็กหนุ่มผู้นั้นมีเป้าหมายเช่นเดียวกันกับเธอจริงๆ ชูชูก็จะรอให้เขามาคุยเรื่องนี้กับเธออีกครั้ง

 

ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะโกหกหรือไม่ก็ตาม ชูชูจะตัดสินใจเมื่อได้พบกับเขาอีกครั้ง

 

แต่สำหรับตอนนี้ ความปรารถนาในการแก้แค้นของเธอ กลับถูกจุดฉนวนขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความหวังเล็กๆเหมือนแสงที่ริบหรี่ที่ปรากฏต่อหน้าเธอ

ทุกสิ่งดูเหมือนว่าไม่เป็นตามที่เธอคิด ชูชูไม่ตอบสนองเธอเเต่อย่างใด และยังคงยืนเหม่อลอยเหมือนกับเธอไม่สนใจอะไรในโลกใบนี้อีกแล้ว

 

หลินเสี่ยวเฟยถอนหายใจ เธอสามารถเดาได้ว่าอะไรที่ทำให้ชูชูกลายเป็นเช่นนี้

 

ในฐานะคนที่ทำงานในธุรกิจกลางคืน ชูชูคงได้ยินเรื่องซุบซิบและการสนทนาของเหล่าขุนนางทุกคน และนั่นอาจรวมถึงคนที่ใกล้ตัวของหยูเฟิงซูด้วย

 

เธอคงเคยได้ยินเรื่องราวของเสี่ยวเฟย ที่ชีวิตต้องจบลงอย่างเลวร้ายและเธอคงใจเสียใจมาก ที่เธอไม่สามารถช่วยเสี่ยวเฟย เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอได้

 

ทั้งเสี่ยวเฟยและชูชู เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน และอยู่ด้วยกันจนผูกพันเเละเปรียบเสมือนพี่น้อง แม้กระทั่งหลังจากที่เสี่ยวเฟยแต่งงาน เธอเเละชูชูก็ยังคงมีความเกี่ยวข้องและพูดคุยกันอยู่เสมอ

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถพบปะกันในที่สาธารณะได้ หากหญิงโสเภณีและนางสนมขององค์ชายที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานและออกไปไหนมาไหนด้วยกัน คงจะออกมาเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

 

นั่นคือเหตุผล ที่หยูเฟิงซูห้ามเสี่ยวเฟยไม่ให้ใกล้ชิดกับผู้ใดอีกเลย จากอดีตและชีวิตที่น่าสงสารของเธอ ในเวลานั้น เสี่ยวเฟยซึ่งหลงรักองค์ชายสี่อย่างบ้าคลั่ง เธอเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่เขาพูดโดยไม่ตั้งคำถามแม้แต่น้อย เเละยังพยักหน้าให้กับทุกสิ่งที่เขาพูด ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

แต่เสี่ยวเฟย ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการมองหาใครสักคน ที่จะมารับฟังปัญหาของเธอได้ เธอจึงแอบพบกับชูชู และบอกเธอเกี่ยวกับการโดนทำร้ายอย่างนับไม่ถ้วน ภายในลานที่พักชั้นในขององค์ชายสี่ มีนางสนมที่แข่งกันแย่งชิงความโปรดปราน มีทั้งภรรยาที่ถูกกฎหมายที่แอบวางแผนที่จะทำร้ายคู่แข่งของเธอ และแอบปล่อยความลับของหยูเฟิงจู

 

ก่อนที่เสี่ยวเฟย จะถูกสอบปากคำและทรมาน เธอแอบส่งนกพิราบเพื่อส่งจดหมายสองสามฉบับถึงชูชู ทั้งหมดเป็นความลับ หลินเสี่ยวเฟยทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้หยูเฟิงซูและคนของเขารู้ตัว

 

และเมื่อเสี่ยวเฟยถูกจับ และถูกนำตัวไปที่ห้องขัง เธอไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้อีกต่อไป และถูกปิดกั้นจากทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น อาหาร น้ำ เเละที่อาบน้ำ แม้กระทั่งเสื้อผ้าเพื่อใช้ปกปิดร่างกายเธอจากความหนาวเย็น

 

อาหารและน้ำที่พวกเขาส่งให้เธอนั้น ถูกใส่ด้วยชามไม้และเป็นอาหารที่มีไว้สำหรับสัตว์ เเต่ยังดีกว่าที่เธอจะไม่มีอะไรกิน อย่างไรก็ตาม ชูชูก็เข้าใจทุกอย่างที่เธอบอก และเธอยังหวังให้เสี่ยวเฟยมีชีวิตรอดและยังไม่รังเกียจกับสิ่งที่เธอได้พบเจอ

 

หลินเสี่ยวเฟย เอื้อมมือไปจับชูชู มือของหลินเสี่ยวเฟยดูขาวและแข็งแรง ต่างจากมือของชูชูที่มีสีเหลืองและดูบอบบาง

 

ทันใดนั้น หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกว่าดวงตาของเธอมีน้ำตาไหลออกมา ขณะที่เธอมองไปที่ชูชูราวกับว่าเธอกำลังค้นหาจิตวิญญาณของน้องสาวเธอจากภายใน

 

“ชูชู ข้าคือเสี่ยวเฟย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?” เธอพูดเบาๆ

 

ชูชูที่รู้สึกว่างเปล่าและไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทันทีที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเธอ ยื่นมือออกมา ชูชูก็เหวี่ยงมือออกไปและผลักเขาทันที

 

‘ปัง!’

 

หลินเสี่ยวเฟยที่ถูกผลักถอยหลังกระแทกกับโต๊ะโต๊ะที่อยู่ข้างหลังเธอทันที และเธอก็รู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาของชูชูอย่างมาก

 

“เเกเป็นบ้าไปเเล้วหรือไง!” เธอจ้องไปที่หลินเสี่ยวเฟย และกล่าวต่อว่า “เเกเป็นพวกมันใช่หรือไม่  ไอ้สารเลวนั่น ส่งเเกมาที่นี่เพื่อเล่นงานข้า? พวกเเกพรากน้องสาวของข้าไป ยังไม่เพียงอีกหรือหรือไง!”

 

ทันใดนั้น ชูชูก็หยิบกริชเล็กๆออกมาจากเข็มขัดของเธอ แล้วจ่อไปที่ต้นคอ ความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายที่กระทบใจคือเพื่อนสนิทที่เปรียบเสมือนเป็นน้องสาวของเธอได้เสียชีวิตอย่างไร้ค่าด้วยน้ำมือของชายที่เธอรัก จนหน้ามืดตามัว

 

น้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมาราวกับก๊อกน้ำ เเละตัวของเธอก็เริ่มสั่น

 

เมื่อเห็นภาพนี้ หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกราวกับว่าเท้าของเธอถูกฝังอยู่ในน้ำแข็ง และการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเธอหยุดลง เธอสามารถมองเห็นความกลัวและความเกลียดชังที่ปรากฎในสายตาของชูชูได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันเธอรู้สึกว่าชูชูตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำเช่นนี้จริงๆ

 

“ชูชู… ชูชู ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้ เชื่อข้าเถอะ ข้าไม่ได้มาที่นี่เพราะมีคนส่งข้ามา เเละข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้ายเจ้า–”

 

หลินเสี่ยวเฟย ยังกล่าวไม่ทันจบ เธอเห็นกรีชเริ่มฝังลงในคอของชูชู และเห็นปลายกรีชเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา

 

“อย่านะ!” หลินเสี่ยวเฟยตะโกนออกมา

 

“ทำไม? มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเเจ้า? พวกมันทำอะไรกับเจ้า ชูชู?” หลินเสี่ยวเฟยเกือบจะเป็นลมอีกครั้ง แต่เธอก็พยายามพยุงตัวเอง ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา ว่า “ได้! งั้นเจ้าก็ฆ่าตัวตายไปเลย เจ้าจะได้บรรเทาความเจ็บปวด กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าเอง แต่ข้าอยากบอกเจ้าว่าการตายไม่ใช่ทางออกของความเกลียดชัง และหากเจ้าตายคนที่เจ้ารักจะไม่มีวันได้เห็นหน้าเจ้าอีก”

 

เธอรีบกล่าวคำเหล่านั้นออกมา ด้วยลมหายใจที่รุนเเรง หลังจากนั้นหลินเสี่ยวเฟย ใช้สายตาของเธอจ้องมองที่ไปชูชู ด้วยความโกรธและความรู้สึกผิด

 

เธอโกรธในสิ่งที่หยูเฟิงจูได้กระทำต่อชูชู ในขณะที่เธอถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินและเธอรู้สึกผิดที่เธาไม่สามารถช่วยชูชู จากการกระทำอันชั่วร้ายของหยูเฟิงจูได้

 

อย่างไรก็ตาม เธอจะหยุดชูชูได้อย่างไร ถ้าหากเธอต้องการฆ่าตัวตายจริงๆ? บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะการอยู่ในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ มันคงจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

 

หลินเสี่ยวเฟย อาศัยอยู่สองช่วงชีวิตแล้ว แต่นี่ก็เป็นหนึ่งในความโชคร้ายของเธอเช่นกัน เธอต้องการสละชีวิตที่สองของเธอ เพื่อแก้แค้นหยูเฟิงจูและพวกของมัน คนที่ทำให้ชีวิตของเธอตกอยู่ในความอัปยศ แต่นั่นไม่รวมถึงการที่เธอจะต้องมานั่งดูคนที่เธอรักที่สุด ต้องทนทุกข์ทรมานราวกับความตายด้วยน้ำมือของศัตรู

 

หลินเสี่ยวเฟยกัดริมฝีปากของเธอเเละหลับตาลง เธอพยายามทำให้หัวใจของเธอรู้สึกสงบลง เเละในขณะเดียวกัน เธอก็ปรารถนาที่จะเห็นหยูเฟิงจูต้องกินอาหารของสุนัข และเธอก็ต้องสับร่างของเขาเป็นชิ้นเล็กๆ ทำทุกอย่างเหมือนที่เขาเคยกระทำต่อเธอและคนที่เธอรัก

 

เธอต้องการดูศัตรูของเธอ ถูกกลืนกินทั้งเป็นในขณะที่สัตว์ร้ายกำลังเล่นงานพวกเขา

 

ท่ามกลางความเงียบงัน หลินเสี่ยวเฟยลืมตาขึ้น พร้อมกับดำเนินเเผนการที่เธอตั้งใจไว้

 

เธออดใจรอไม่ไหวแล้ว

 

เธอต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อดับความกระหายความแค้นภายในใจของเธอ ก่อนหน้านี้หลินเสี่ยวเฟยวางแผนที่จะยืดอายุความสุขของศัตรูของเธอ แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอไม่สามารถรอได้อีกต่อไป

 

เป็นการดีที่สุด หากข้าได้ถอนรากถอนโคนพวกมันทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกเหน็บหนาวจากปลายผมของเธอที่ด้านหลังศีรษะ ความรู้สึกเช่นนี้ของเธอเหมือนกับกำลังถูกนักล่าที่เฝ้ามองเหยื่ออย่างเงียบๆ ขณะที่มันกำลังถูกสัตว์ร้ายจอมตะกละไล่ตามอย่างไม่รู้ตัว

 

ตอนนี้ เธอสัมผัสถึงอันตรายที่อยู่รอบตัวเธอ ทำให้หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกไม่สบายใจและเงยหน้าขึ้นมอง

 

ดวงตาที่เย็นชาและไร้ความปรานีของเขาสบกับดวงตาฟีนิกซ์ที่สูงส่งและงดงามอย่าง ดวงตาที่เย็นชาคู่เปล่งประกายแห่งความสนุกสนาน

 

หลินเสี่ยวเฟยขมวดคิ้ว

 

ชายคนนี้ แอบมองเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

 

หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ละสายตาของเธอและมองดูอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว เธอรู้สึกประหลาดใจที่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของชายผู้นี้

 

เธอมีชีวิตอยู่มาสองชีวิตเเล้ว และได้พบเห็นชายที่หน้าตาดีมามากมาย  เเละหยูเฟิงซูก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตาม ชายที่อยู่ตรงข้ามเธอเป็นชายที่ดูดีที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเห็นมา ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ

 

ทุกคนต้องมีปฏิกิริยาเช่นหลินเสี่ยวเฟย  หากพวกเขาได้เห็นบางสิ่งที่สวยงามหรือน่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าหลินเสี่ยวเฟยจะโง่เขลาเหมือนที่เธอเคยเป็นในอดีต และมองเพียงเเค่รูปลักษณ์ภายนอกของคนเท่านั้น

 

นอกจากนี้ หลินเสี่ยวเฟยยังเคยเคยพบกับชายผู้นั้นในชีวิตก่อน เขาคือดยุคเซียวของอาณาเซิง, ที่มีนามว่าฉู่เซียวซู

 

ในอดีต ที่อาณาจักรเซิงเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดาสี่อาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยอาณาจักรเซิง อาณาจักรฉู่ อาณาจักรต้าเหลียง และอาณาจักรเรย์ อย่างไรก็ตาม สองรุ่นที่สืบทอดบัลลังก์ทองคำมีจิตใจอ่อนแอและไม่มีความสามารถในการปกครอง ส่งผลให้ทั้งสามอาณาจักรที่เหลือมีเเนวคิดที่จะบุกโจมตีอาณาจักรเซิง

 

เนื่องจากมีข้าราชการที่ประมาทและทรยศจักรวรรดิเซิง ตลอดเวลาสองชั่วอายุคนที่ผ่านมา สามัญชนจึงกลัวเกิดปัญหาเเละส่งผลกระทบต่อพวกเขา และคิดว่าอาณาจักรนี้ใกล้จบสิ้นแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เป็นดยุคซินเฒ่าผู้ให้ทุนและช่วยเหลือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ค้นหาเยาวชนและทหารที่มีความสามารถ และทำให้ดยุคหนุ่มได้ต่อสู้เคียงข้างแม่ทัพหลิน

 

ดยุคหนุ่มฉู่เซียวซู มีอายุเพียงสิบสี่ปีในขณะนั้น แต่เขายังสามารถต่อสู้และรอดชีวิตจากสงครามและการนองเลือดมาได้

 

หลังสงครามจบลง ดยุคหนุ่มได้รับรางวัลจากผลงานที่มีเกียรติพร้อมกับเเม่ทัพหลิน เขายังได้รับตำแหน่งจากดยุคซิน ปู่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้วในหนึ่งปีให้หลัง

 

หลังจากที่เขาได้รับตำเเหน่งดยุคจากปู่ของเขา ฉู่เซียวซูก็มิได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะมากนักและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องภายในราชสำนักและราชวงศ์ เขาหันหลังกลับเมื่อเห็นว่าจักรวรรดิในตอนนี้สงบสุขและแข็งแกร่ง

 

ในอดีตหลินเสี่ยวเฟยอยากรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของชายผู้นี้ ที่หายตัวไปจากสายตาของสาธารณชนหลังจากสงคราม และต้องการถามหยูเฟิงซู แต่เธอก็หยุดคิดสิ่งนั้นทันที หลินเสี่ยวเฟยแทบไม่เชื่อสายตาของเธอเมื่อเธอเห็นความกลัวที่เห็นได้ชัดในสายตาของหยูเฟิงซู และเขาได้เตือนเธออีกว่าอย่าถามเขาในเรื่องนี้อีก และเขาก็หันหลังจากไปอย่างโกรธเคือง หลังจากพูดจบ

 

แต่ทำไม?

 

หลินเสี่ยวเฟย ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีกเพราะหยูเฟิงจูไม่เคยกลัวใครมาก่อน เขากลัวเเค่ว่าตัวตนที่มืดมนของเขาจะถูกเปิดเผยเเละเเผนการของเขาจะถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ฉู่เซียวซูชายผู้นี้กลับทำให้เขากลัวจนตัวสั่น เหมือนเด็กที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน

 

ทันใดนั้น หลินเสี่ยวเฟยก็มีความคิดบางอย่าง หากฉู่เซียวซูได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นศัตรูของหยูเฟิงจู การรักษาศัตรูของศัตรูไว้ใกล้ตัว ไม่ใช่ว่าจะทำให้แผนการของเธอง่ายขึ้นหรอกหรือ?

 

หลินเสี่ยวเฟยจ้องกลับไปที่ชายผู้นั้นอย่างเย็นชาก่อนที่จะพยักหน้าให้เขาเพื่อเป็นคำทักทาย และไม่รอให้อีกฝ่ายตอบโต้กลับ เธอหันหลังกลับและปิดหน้าต่างทันที

 

ในขณะนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก และหญิงวัยกลางคนก่อนหน้านี้เดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวอีกหนึ่ง

 

หญิงสาวคนนั้นสวมชุดราตรีสีฟ้าอ่อน ชุดของเธอปักด้วยดอกบีโกเนียตรงกลางและขอบกระโปรง ผมของเธอปลิวไสวไปข้างหลังและใบหน้าของเธอถูกเติมเเต่งเพื่อให้ดูมีชีวิตชีวา

 

เมื่อเทียบกับความสูงของหลินเสี่ยวเฟย หญิงสาวผู้นั้นดูผอมกว่าและเตี้ยกว่าครึ่งฟุต ผิวของเธอดูไม่ดีนัก แม้ว่าจะขาวเเละไร้ที่ติ แต่รูปร่างของเธอกลับดูผอมราวกับเนื้อติดกระดูก ใครก็ตามที่ได้พบเห็นเธอ คงจะคิดว่าเธอคงไม่ได้กินอาหารมานาน

 

นอกจากนี้ เธอยังใส่เครื่องประดับเพียงเล็กน้อยเเละไม่มีไว้เพื่อประดับประดาที่คอและผมของเธอ ซึ่งทำให้ผู้คนที่พบเห็นเธออาจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

 

เมื่อซูถังพบหญิงสาวอันดับที่หนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว เธอตกใจกับความแตกต่างเป็นอย่างมากของหญิงงามในอดีต ในช่วงเทศกาล นางรับใช้ของทุกบ้านจะได้รับเงินสงเคราะห์และได้รับอนุญาตให้ออกไปด้านนอก

 

และในช่วงเทศกาล ซูถังและไป่ลู่ได้เคยพบเพียงผ่านๆของหญิงสาวอันดับหนึ่ง เมื่อสามปีก่อนและพวกนางก็ตกตะลึง นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อเธอมองดูชูชู เธอได้ยกมือขึ้นเพื่อปิดปากไม่ให้แสดงอาการออกมา

 

หลินเสี่ยวเฟย ที่อยู่ด้านข้างก็เเสดงปฏิกิริยาคล้ายกับซูถัง เธอรู้สึกประหลาดใจ มันดูช่างดูเเตกจากจากเมื่อก่อนที่เธอเคยเจอ วันนี้ชูชูเธอกับเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากในรูปลักษณ์ของเธอ และในวินาทีต่อมาดวงตาของเธอก็ดูเย็นชา ขณะที่เธอพูดกับหญิงวัยกลางคนว่า

 

“นี่มันอะไรกัน หมายความว่าอย่างไร ไป๋ฮัวโหลวเป็นสถานที่บันเทิงที่มีชื่อเสียงใช่หรือไม่ เเต่ทำไมถึงปล่อยให้คนของท่านกลายเป็นเช่นนี้”

 

หญิงวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขื่นแสดงท่าทางที่เจ็บปวด “นายท่านอย่าเข้าใจผิด ชูชูเคยเป็นความภาคภูมิใจและเป็นหน้าตาให้กับสถานที่เเห่งนี้ แต่ ณ ตอนนี้ ชูชูไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะให้บริการแขก ”

 

“ก็ได้ เจ้าออกไปได้แล้ว” หลินเสี่ยวเฟยไม่ต้องการคุยกับหญิงวัยกลางคนอีกต่อไป ขณะที่หญิงวัยกลางคนก็โค้งคำนับและเดินออกไปในทันทีเเละอ้างว่ามีลูกค้าอีกหลายท่านที่เธอต้องดูแล

 

หลินเสี่ยวเฟย สังเกตชูชูที่เงียบตลอดเวลา แก้มทั้งสองข้างของเธอหย่อนลงเล็กน้อยและใต้ตาของเธอมีรอยคล้ำจากการอดนอน อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยมองเห็นความว่างเปล่าในสายตาของชูชูมันดูคล้ายกับปลาที่ตายแล้ว

 

เธอถอนหายใจ เเละมองไปยังซูถังและกล่าวว่า  “เจ้าออกไปข้างนอกและไปเจรจากับผู้จัดการของเขา เเละบอกว่าข้าต้องการซื้อตัวหญิงสาวผู้นี้และถามเขาไปว่าไป๋ฮัวโหลวต้องการเงินเท่าไหร่”

 

ซูถังเบิกตากว้างและกล่าวว่า “คุณหนูวางแผน ที่จะไถ่ตัวหญิงสาวผู้นี้ใช่หรือไม่”

 

หลินเสี่ยวเฟยขมวดคิ้วให้กับของซูถัง เมื่อเธอพูดถึงชูชู ราวกับว่าเธอเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา แต่เธอก็ไม่ได้ตำหนินาง เนื่องจากหลินเสี่ยวเฟยรู้ว่าปฏิกิริยาของซูถังเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนที่จะต้องดูถูกอาชีพของชูชู

 

“เจ้าเพียงแค่ออกไปทำตามที่ข้าสั่ง.”

 

“และใช้เวลาของเจ้า เพื่อทำในสิ่งข้าบอก” หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้กล่าวคำเหล่านี้ออกมาดังๆ ขณะที่เธอมองดูซูถังที่ดูไม่ค่อยเต็มใจที่จะออกจากห้องไป

 

ขณะนี้มีเพียงเเค่พวกเขาสองคนที่อยู่ข้างใน ทันใดนั้น ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงันเหมือนกับก่อนที่สงครามกำลังจะมาเยือน

 

“ชูชู”

หญิงสาวที่พาพวกเขาไปที่ห้องชั้นบนนั้นช่างพูดอย่างมาก และยังแนะนำสาวงามให้พวกเขาอีกสองสามคน

 

“คุณชายได้มาถูกจังหวะจริงๆ ไป่ฮัวโหลวของเราเพิ่งได้รับสาวงามหน้าใหม่มา”

 

“พวกเขายังเด็กและใหม่สำหรับงานนี้ แต่พวกเขามีพรสวรรค์ต่างๆมากมายเพื่อตอบสนองความต้องการของคุณชาย”

 

ใบหน้าของซูถังเริ่มแดงเมื่อได้ยินเรื่องนี้และก้มศีรษะลง มือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยยังคงไร้ความรู้สึก จนกระทั่งพวกเขามาถึงห้องพัก

 

ห้องนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย และเข้าไปได้เพียงไม่กี่คน ในนั้นมีเตียงข้างในด้วย

 

แม้ว่าไป๋ฮัวโหลวจะไม่เหมือนกับหอนางโลมทั้ง 9 ในเมืองหลวง แต่ไป๋ฮัวโหลวก็ยังคงเป็นซ่องโสเภณี และแน่นอนว่าพวกเขาจะมีธุรกิจเกี่ยวกับการค้าประเวณีหญิงสาว อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาจะใช้บริการนี้ได้ ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากหญิงสาวหรือไม่ลูกค้าก็ต้องจ่ายเงินก้อนโตเพื่อซื้อหญิงงามเหล่านี้

 

หญิงวัยกลางคนมองไปที่หลินเสี่ยวเฟยและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อไม่ได้รับปฏิกิริยาใดๆจากเธอ “ห้องนี้ถือว่าเป็นรสนิยมของคุณชายหรือไม่?”

 

หลินเสี่ยวเฟยพยักหน้าและหยิบธนบัตรออกมาหนึ่งใบ ก่อนจะมอบให้กับหญิงวัยกลางคนและกล่าวว่า “เพียงพอแล้ว”

 

เมื่อเธอได้รับธนบัตรจากหลินเสี่ยวเฟย หญิงวัยกลางคนก็รู้สึกพอใจอย่างมาก และกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปตามหญิงสาวมาให้ท่านเดี๋ยวนี้”

 

หลินเสี่ยวเฟยหยุดเธอและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าจะนำหญิงสาวมาให้ข้า ข้าอยากพบคนคนหนึ่ง ข้าได้ยินมาว่าครั้งหนึ่งมีหญิงงามอันดับหนึ่งในไป๋ฮัวโหลว ที่มีนามว่าชูชู”

 

หญิงวัยกลางคนผู้นั้นดูตกใจและกล่าวว่า “แต่ท่านชายหญิงสาวที่ชื่อชูชู เป็นเพียงหญิงงามอันดับ1 เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และในตอนนี้นางก็ไม่ได้รับความนิยมอีกเเล้ว”

 

“ข้าอยากรู้จักกับหญิงงามอันดับหนึ่งคนนี้ และข้าต้องการพบเธอ ดีเเล้วที่เยี่ยมตอนนี้เธอไม่โด่งดังเหมือนเมื่อก่อน ข้าจะได้ไม่มีคู่เเข่งเเละสามารถใช้เวลากับนางได้อย่างเต็มที่ นี้ทำให้ข้าอยากได้นางมากยิ่งขึ้น” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้กับหญิงวัยกลางคน

 

เธอดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติและตอนนี้เธอปิดบังตัวตนโดยการสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษ หลินเสี่ยวเฟยตอนนี้ดูเหมือนกับคุณชายเจ้าสำราญ

 

รอยยิ้มของเธอมีเสน่ห์มาก จนหญิงงามคนนั้นมองไม่ออกเพราะความหล่อของคุณชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ หัวใจของเธอยังเต้นไม่เป็นจังหวะ

 

น่าเสียดาย ที่คุณชายท่านนี้กลับกำลังมองหาหญิงงามที่มีนามว่าชูชู ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในไป่ฮัวโหลว อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป รสนิยมของลูกค้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน และในเวลาเพียงหนึ่งเดือน หญิงงามอันดับหนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว ก็ถูกแทนที่ด้วยหญิงงามหน้าใหม่ๆ

 

ไป่ฮัวโหลวยังได้รับหญิงงามคนใหม่อีกมากมาย และในที่สุดชูชูก็ตกอันดับลงไป

 

หลังจากนั้น ชูชูก็ไม่สามารถหาลูกค้าใหม่ได้ แม้แต่ลูกค้าเก่าของเธอก็ยังขอลดค่าตัวเธอลง เเละเมื่อพวกเขาได้พบหญิงสาวคนใหม่ๆ ในท้ายที่สุด ชูชูก็ไม่ค่อยถูกเรียกออกไปข้างนอกเลย

 

อย่างไรก็ตาม วันนี้นายหนุ่มน้อยก็ปรากฏตัวขึ้น และขอใช้บริการจากเธอ ทำให้หญิงวัยกลางคนถอนหายใจแต่เธอก็ยังปฏิบัติตามความต้องการของเขา

 

เมื่อหญิงวัยกลางคนเดินจากไป หลินเสี่ยวเฟยก็นั่งบนเก้าอี้ใกล้หน้าต่าง เธอมองลงไปที่ถนนด้านล่าง มีผู้คนพลุกพล่านและจอแจเต็มหน้าหอนางโลมไป่ฮัวโหลว

 

อย่างไรก็ตาม เธอมองไม่เห็นชายหนุ่มในร้านอาหารที่อยู่ตรงหน้าไป่ฮัวโหลว ในร้านอาหารชั้นบนตรงข้ามห้องของหลินเสี่ยวเฟย ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวกำลังมองมายังเธอ

 

ข้างหลังชายหนุ่ม มีชายชราในชุดคลุมสีน้ำเงิน กำลังจะกล่าวว่า “เมืองหลวงของอาณาจักรเซิงเปลี่ยนไปมากในเวลาเพียงหนึ่งปีที่จากไป ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือไม่ขอรับ?”

 

ชายหนุ่มไม่ได้หันไปมอง อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาทำให้หลายคนรู้สึกอยากอยู่ใกล้เขาโดยไม่อาจปฏิเสธได้ ในขณะที่เขาเฝ้ามองดูเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องตรงข้าม เขาก็กล่าวออกมา

 

“การเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวงไม่สำคัญ แผนของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงเพียงเพราะเมืองหลวงเปลี่ยน” ชายหนุ่มยกถ้วยชาและดื่ม

 

“แน่นอนครับนายท่าน” ชายชราพึมพำและเห็นว่าเจ้านายของเขายังคงมองไปที่ไป่ฮัวโหลวและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “นายท่านของข้าสนใจหญิงงามในไป่ฮัวโหลว ใช่หรือไม่?”

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น”

 

ชายชราลูบเคราของเขา และพูดในสิ่งที่เขากำลังคิดออกมา “ข้าเห็นนายท่านมองไปที่ไป่ฮัวโหลวตั้งแต่เรามาที่ห้องนี้ ข้าควรจัดเตรียมหญิงงามไว้ให้ท่านหรือไม่”

 

เมื่อชายชราเห็นเขามองออกไปข้างนอก ไม่ใช่เพียงแค่มองภายนอกเท่านั้นแต่เขายังมองไปยังหอนางโลมไป๋ฮัวโหลว

 

นายท่านของเขาละเลยสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิงและหลีกเลี่ยงเหล่าหญิงสาวเหมือนโรคระบาด และเมื่อผู้หญิงบางคนที่พยายามล่อลวงนายท่านของเขา ผู้หญิงเหล่านี้ก็จะหายตัวไปอย่างลึกลับ

 

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวังในขณะที่นายท่านของเขากำลังมองไปยังหอนางโลมไป่ฮัวโหลวด้วยความสนใจ

 

ทันใดนั้น ที่พักส่วนตัวที่พวกเขาอยู่ก็เหมือนถูกจุ่มลงในน้ำร้อน เมื่อบรรยากาศในอากาศเปลี่ยนเริ่มไปอย่างมาก

 

“โม่ถิง บางทีเจ้าอาจต้องการให้เจ้านายคนนี้เตรียมโลงศพให้เจ้าพร้อมกับสาวงาม ที่เจ้าต้องการ?” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชา

 

โม่ถิง ย่อตัวและส่ายหัว “ไม่ใช่ขอรับนายท่าน ข้าแค่ถาม เพราะข้าเห็นนายท่านมองดูไป่ฮัวโหลว เป็นเวลานานแล้ว” เขาไม่รอให้เจ้านายตำหนิเขา เขารีบกล่าวเสริมไปว่า “นายท่านต้องการให้ข่าวออกไปก่อนหรือไม่ขอรับ”

 

“ไม่จำเป็น.” จู่ๆ ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้น ทำให้โม่ถิงมองมาที่เขาอย่างสงสัย “ข้ากำลังจับตามองคนผู้หนึ่ง”

 

เขาสงสัยว่าทำไมนายท่านของเขาจึงพูดเช่นนี้ โม่ถิงลุกขึ้นจากเก้าอี้และยืนอยู่ข้างหลังชายหนุ่มที่กำลังมองออกไปข้างนอก เเละมองไปยังหน้าต่างฝั่งตรงข้ามของพวกเขา

 

ฝั่งตรงข้ามที่พักเขา ที่มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ พระอาทิตย์กำลังตกดินและโคมไฟรอบๆ ถนนก็สว่างแล้ว อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ในห้องหนึ่งของไป๋ฮัวโหลวนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษและเขาก็น่าดึงดูดมาก เมื่อดวงตาสีน้ำตาลแดงของเขากำลังจ้องมองไปบนถนน.

 

อย่างไรก็ตาม โม่ถิงก็ยังสงสัย เจ้านายของเขากำลังมองใคร? โม่ถิง เอียงคอเพื่อมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบหญิงงามผู้ใดเลย มีเพียงเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาเท่านั้น

 

หรือว่ามันอาจจะเป็น…

 

โม่ถิง ส่ายหัว และถามเพื่อมองหาคำตอบจากเจ้านายของเขา แต่เจ้านายของเขาเลือกที่จะไม่ตอบ ทำให้โม่ถิงทรมานมากขึ้น ‘ไม่ มันเป็นไปไม่ได้!!!!’

 

หรือนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเจ้านายถึงปฏิเสธและทำลายหัวใจของหญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วน?

 

โม่ถิงรู้สึกสิ้นหวัง ใครบอกว่าเจ้านายของข้าไม่ชอบความงาม? แน่นอนว่าเขาชอบ! เเต่เขาคงจะชอบความงามของสายพันธุ์เดียวกับเขา!

 

ในขณะนี้ หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกว่ามีดวงตาของใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่เธอ เธอเงยหน้าขึ้นมอง และสบตากับดวงตาที่มืดมิดของอีกฝ่าย

หลินเสี่ยวเฟยหยุดและหันมามองเขา “อ่อ สิ่งที่ข้ากล่าวไปนั้น ท่านตาไม่จำเป็นต้องกังวลกับสิ่งที่ข้าได้กล่าวมากเกินไป”

 

เธอมีแผน ที่จะไม่ให้ตัวเองต้องถูกบังคับให้แต่งงาน หรืออาจจะควรจะคิดมากกว่านั้น เเต่เธอที่เธอได้วางแผนทั้งหมด ก็เพราะว่าจะช่วยบรรเทาความกังวลของหลินเซียวเหมิง เนื่องจากทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนของเธอ

 

“เอ่อ ท่านตา ข้าอยากออกไปข้างนอกแต่ข้าได้ยินมาว่า ข้าจะออกไปไหนไม่ได้ หากข้าไม่ได้รับอนุญาตจากท่านตา วันนี้อากาศดีมาก เเต่มันคงจะน่าเบื่อถ้าหากข้าใช้เวลาอยู่เเต่ในลานบ้านของข้า”

 

‘แล้วที่เจ้ากล่าวในตอนแรก?’ หลินเซียวเหมิงมองดูเธออย่างมึนงง ก่อนหน้านี้ เธอเพิ่งบอกกับตระกูลซูว่าวันนี้เธอเหนื่อยมากเเล้วและพวกเขาควรจะต้องกลับไป แต่ ณ ตอนนี้เธอกลับมาบอกว่า เธอจะออกไปชื่นชมกับสภาพอากาศภายนอก?

 

หลินเซียวเหมิง ดูหมดหนทาง “แต่!! เฟยเอ๋อ เจ้าจะออกไปที่ใด เจ้าไม่ได้ออกจากลานบ้านมาเป็นเวลาสามปีแล้ว เเล้วนี่!เจ้าอยากจะออกไปได้อย่างไร”

 

” ที่ไหนก็ได้เจ้าค่ะ ” เธอตอบอย่างคลุมเครือ

 

เธอกล่าว อย่างไม่ต้องการให้หลินเซียวเหมิงสงสัยในการกระทำของเธอ เธอเเค่บอกว่าเธอจะไปที่ไหน ตั้งเเต่ที่เธอออกไปนอกบ้านครั้งล่าสุด ก็ผ่านไปสามปีแล้ว

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้คนของข้าไปคอยปกป้องเจ้าด้วย เพราะเจ้าไม่ได้ออกไปไหนเป็นเวลานานเกินไปเเละอาจจะมีอันตรายมากมาย ที่คนคนหนึ่งจะพบเจอระหว่างทาง เป็นการดีกว่าที่เจ้าจะต้องมีคนคุ้มกัน เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง” หลินเซียวเหมิง ถอนหายใจและกล่าวต่อ “ข้าจะให้เงินเเก่เจ้า เพื่อเจ้าจะได้เอาไปใช่จ่าย ในสิ่งที่เจ้าต้องการ”

 

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านตา” หลินเสี่ยวเฟยยิ้มให้เขา

 

“ข้าขอตัวก่อน”

 

หลังจากที่เขาพูดว่า

 

หลินเสี่ยวเฟย หันมองกลับไปเเละมองไปยังเเผ่นหลังของหลินเซียวเหมิง รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆหายไปราวกับว่า มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

เธอเสียเวลาไปมากในการเผชิญหน้าทั้งฮูหยินสองและตระกูลซู  หลินเซียวเหมิงทำให้เธอหันเหออกจากแผนแรกของเธอ เพราะพวกเขาและเธอจึงต้องระวังเมื่อออกไปข้างนอกและไม่ให้ใครรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเธอ

 

เเละเธอไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น

 

แต่เธอยังคงต้องการผู้ติดตาม ที่หลินเซียวเหมิงจัดเตรียมไว้ให้เพราะอันตรายจากข้างนอกเป็นสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเธอจะไม่เสี่ยง เเละเธอจะทำตามคำแนะนำของเขา

 

 

“คุณหนู เราควรจะทำเช่นนี้จริงหรือ ท่านผู้อาวุโสจะคิดอย่างไรถ้าเขารู้เรื่องนี้” ไป๋ลู่กระซิบเบา ๆ

 

ขณะนี้ พวกเขาอยู่ในรถม้า ที่หลินเซียวเหมิงเตรียมไว้ หลังจากที่หลินเซียวเฟยได้กล่าวกับเธอว่า

เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนรถม้าของเธอ โดยไม่มีสัญลักษณ์รูปเสือ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของตระกูลหลิน

 

ตระกูลขุนนางชั้นสูงแต่ละตระกูล ต้องมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่เเตกต่างจากกัน มังกรและนกฟีนิกซ์เป็นของราชวงศ์ สิงโตเป็นของดยุค นกอินทรีเป็นของข้าราชการ และไก่ฟ้าเป็นของสามัญชน

 

เเต่เสือ จะเป็นสัญญาณของตระกูลหลินเท่านั้น เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ สุจริตและความจงรักภักดีเเละความเข้มแข็ง ซึ่งจะประเคนให้แก่ราชวงศ์จักรพรรดิ และเนื่องจากเป็นสิ่งที่จักรพรรดิองค์ก่อนมอบให้หลินเซียวเหมิง สำหรับการรับใช้ที่มีคุณค่าสำหรับอาณาจักร

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยเลือกที่จะนั่งรถม้าที่ไม่มีเครื่องหมาย ซึ่งระบุว่าเธอไม่ได้อยู่ในตระกูลขุนนางใด ๆ

 

“ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขายังไม่รู้” หลินเสี่ยวเฟยกล่าว เสียงของเธอค่อนข้างดัง ซึ่งคนขับรถม้าที่หลินเซียวเหมิงส่งมาอาจจะได้ยิน

 

เธอต้องการบอกให้พวกเขารู้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือไปที่ไหน คนขับรถม้าก็จะไม่พูดอะไรกับหลินเซียวเหมิง และคงจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่ให้ผู้ใดรู้

 

พวกเขาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะถึงที่หมาย

 

ข้างหน้าพวกเขาคือไป๋ฮัวโหลว หอนางโลมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง หอนางโลมนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงและมีเหล่าขุนนางผู้มั่งคั่งหลายคน มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก

 

ต่างจากหอนางโลมอีกเก้าเเห้ง ที่ธุรกิจของพวกเขาขายเนื้อเท่านั้น (หญิงโสเภณี) ไป๋ฮัวโหลวมีผู้หญิงมากมายที่มีความเชี่ยวชาญในวรรณกรรมทั้งสี่ และกริยาท่าทางพวกนางเทียบได้กับหญิงสาวจากตระกูลผู้สูงศักดิ์

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาความสุข ความบันเทิง เเต่เธอมาที่ ไป๋ฮัวโหลว เพื่อ ‘กล่อง’ ที่เธอขโมยมาจากพระสนมเซียน

 

หลินเสี่ยวเฟยรู้ว่า ชีวิตของเธอจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หลังจากที่ขโมยกล่องนี้ไป หลินเสี่ยวเฟยจึงมอบกล่องนี้ให้กับคนที่เขาไว้ใจ

 

‘คนที่เธอไว้ใจนั้น’ คนนี้ๆเป็นคนที่เธอรู้จักในอดีตของเธอ และเธอค่อนข้างที่จะสนิทสนมกับคนคนนั้นมาก ก่อนที่จะแต่งงานกับหยูเฟิงซู

 

เเละเมื่อเธอกำลังจะก้าวเข้าไปในประตูของไป๋ฮัวโหลว ซูถังก็หยุดชะงัก และกล่าวอย่างกังวลว่า “คุณหนู จะเข้าไปที่นี่จริงๆหรือ?”

 

นอกจาก หลินเสี่ยวเฟยดูมั่นใจ ที่จะก้าวเข้าไปในประตูของไป๋ฮัวโหลว แล้วซูถังซึ่งเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างๆเธอ เธอกังวลอย่างมาก เกี่ยวกับชื่อเสียงของคุณหนูของเธอ

 

เธอกังวลว่า ถ้าหากมีผู้พบเห็นกล่าวลือเกี่ยวกับหลิวเสี่ยวเฟยที่เข้าไปในไป๋ฮัวโหลว แม้แต่หลินเซียวเหมิงที่เป็นห่วงเป็นใยเธอ ก็อาจจะหมดสติไปด้วยความตกใจกับเหตุการณ์นี้

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ซูถัง ต้องกล่าวถามหลินเสี่ยวเฟย ว่าเธอต้องการเข้าไปข้างในนั้นจริงๆใช่หรือไม่

 

หลินเสี่ยวเฟย เพียงแค่เหลือบตามองเธอ เเละกล่าวว่า “ใช่”

 

“แต่คุณหนู นี่ไม่ใช่สถานที่ปกติ แต่เป็น…. แต่เป็น…” ซูถังทำหน้าบึ้ง “ยังไงก็ตาม คุณหนูไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปข้างในนั้นเอง เพียงเเค่สั่งให้ข้าเข้าไปข้างในนั้นเเทน”

 

“ไม่.” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวอย่างเย็นชา

 

น้ำเสียงของเธอทำให้ซูถังไม่เชื่อฟังเธอยาก

 

หลินเสี่ยวเฟย มาที่ไป๋ฮัวโหลวโดยสวมเสื้อผ้าผู้ชาย เธอพบว่าความกังวลของซูถังนั้นถูกต้อง แต่น่าเสียดาย ที่มันใช้ได้เฉพาะกับหญิงสาวที่ไร้เดียงสาและมีภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ  น่าเศร้าที่หลินเสี่ยวเฟยไม่ใช่หนึ่งในนั้น และเธอก็คิดว่า เธอเองก็ไม่ใช่หญิงสาวที่สมบูรณ์ทั้งทางจิตใจและจิตวิญญาณ

 

และเหนือสิ่งอื่นใด หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้ออกไปข้างนอกเป็นเวลาสามปี ใบหน้าของเธอน่าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย และถ้ามีใครเห็นเธอและจำเธอได้ พวกเขาอาจจะต้องสงสัยในสติของเธอเอง

 

แม้ว่าหลินเสี่ยวเฟยจะดูโง่เขลา แต่เธอก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเดินเข้าไปใน ไป๋ฮัวโหลว ซึ่งเป็นสถานที่เเปลกๆเช่นนั้น แล้วทำไมผู้คนถึงจะต้องคิดว่าเป็นเธอ

 

ด้วยเหตุนี้ หลินเสี่ยวเฟยจึงดูมั่นใจ เมื่อเธอเดินเข้าไปในประตูของไป๋ฮัวโหลว

 

เธอมีรูปร่างที่สูงกว่าหญิงสาวทั่วไปโดยธรรมชาติ เมื่ออายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปี และจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขุนนางหนุ่ม  เเละข้างหลังเธอซูถังได้สวมชุดบุรุษที่ทรุดโทรมเล็กน้อยและเดินก้มศีรษะลง

 

หญิงวัยกลางคนในห้องโถงที่ต้อนรับลูกค้า เห็นพวกเขาเข้ามาและรีบเข้าไปหาพวกเขา “นายท่าน! ท่านมาที่นี่ เพื่อเลือกหญิงสาวของเราใช่หรือไม่?” เธอใช้เวลาสักครู่เพื่อมองไปรอบๆ เเละหลินเสี่ยวเฟย ก็กล่าวว่า “ข้าพึ่งมาที่นี่เป็นครั้งเเรก เเละข้าต้องการสาวงามมาบริการเเก่ข้า”

 

หญิงคนนั้นสวมเสื้อผ้าสีแดงบางๆ และเสื้อคลุมไหล่ของเธอ เผยให้เห็นผิวที่ขาวนวลของเธอ ทำให้ชายใดที่เห็น ก็ต่างพากันจ้องมองเธอ

 

อย่างไรก็ตาม หลินเสี่ยวเฟยไม่ได้มองดูชุดบางๆของหญิงสาวผู้นั้น และพยักหน้า “ขอบใจ เจ้าช่วยจัดเตรียมที่พักให้ข้าก่อน ได้หรือไม่”

 

“ได้เจ้าค่ะ.” หญิงผู้นั้นจับมือเขา และพาพวกเขาไปยังห้องพักที่ถูกจัดเตรียม

 

ซูถัง ที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเสี่ยวเฟย ก็กล่าวขึ้น “ทำไมจู่ๆ คุณหนูถึงมองหาหญิงสาวสวยล่ะ เจ้าคะ?”

 

“มีเหตุผลอะไรอีกล่ะ แน่นอนว่าในฐานะที่ข้ามาใช้บริการที่นี่ ข้าก็ต้องการความสนุกจากเหล่าสาวงาม” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวตอบ ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

 

อย่างไรก็ตาม ซูถังก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอทำ ดังนั้น จิตใจของเธอก็รู้สึกสับสนเเละสงสัยเกี่ยวกับความชอบของคุณหนูของเธอ

 

เป็นไปได้ไหม ว่าตอนนี้คุณหนูของเธอมีรสนิยมที่ต่างไปจากเดิม หลังจากที่เธอต้องอยู่ในคฤหาสน์มานานถึงสามปี? ซูถังคิดและใบหน้าของเธอเริ่มแดง

เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูคล้ายกับกำลังสับสน เธอจึงยิ้มหวานที่สุดให้กับพวกเขา แต่ไม่ได้กล่าวอะไรเพื่อชี้แจงและอธิบายคำพูดของเธอ และกล่าวด้วยถ้อยคำที่ดูสบายใจ ว่า

 

“มันดึกมากแล้ว แขกที่เคารพ ท่านตาของข้าและข้าเหนื่อยมาก และคงจะไม่ส่งพวกท่านเเล้ว”

 

คำที่เธอกล่าวหมายถึง กำลังจะบอกให้พวกเขากลับไป และปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้บุกรุก ไม่ใช่ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ

 

ปกติคนที่เป็นเจ้าของบ้าน อย่างน้อยต้องมีเวลาที่จะส่งแขกออกไป หรือไม่ก็พร้อมที่จะชี้ทางให้ หรือพูดคุยอย่างเป็นมิตร อย่างไรก็ตาม ความคิดของหลินเสี่ยวเฟยที่มีต่อพวกเขาเเละคำพูดของเธอก็กล่าวขึ้น เพื่อบอกตระกูลซู ว่าพวกเขาไม่พอใจและไม่ต้อนรับหากอยู่เกินเวลาที่จะสมควร

 

ทำให้ใบหน้าของคุณหญิงซูเเสดงถึงความเกลียดชังของเธอ

 

เธอตกตะลึงในตอนแรก ในรูปลักษณ์ที่สวยงามของหญิงสาวตรงหน้าพวกเขา เธอมองไม่เห็นอดีตของหลินเสี่ยวเฟยที่เคยมีนิสัยหยาบคายและไร้มารยาท จากหลินเสี่ยวเฟยตัวจริงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

 

เธอยังคงตกใจกับความไม่กระวนกระวายใจของหลินเสี่ยวเฟยเลยเเม้เเต่น้อย ในเมื่อการหมั้นหมายของเธอเพิ่งพังลง แต่เธอกลับดูเหมือนจะไม่รีบไปหาชายที่เหมาะสมที่จะแต่งงานใหม่กับเธอ

 

เป็นเวลาสามปีเเล้ว ที่หลินเสี่ยวเฟยไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ผู้คนลืมไปว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร และแม้ว่าพวกเขาจะยังจำได้ ผู้คนก็จะรู้สึกว่ามันช่างเเตกต่างจากหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้า

 

เธอแตกต่างจากหลินเสี่ยวเฟยที่ทุกคนรู้จัก และหากเธอโดนผู้คนเยาะเย้ย หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่อาย แม้จะอยู่ต่อหน้าใครก็ตาม

 

แน่นอนว่าหลินเสี่ยวเฟย รู้สึกตระหนักดีถึงเรื่องนี้เพราะ เธอไม่ใช่หลินเสี่ยวตัวจริง และเป็นผู้ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เธอไม่เคยเป็นคนประเภทที่จะก้มหัวให้ใครก็ตาม เพียงเพราะพวกเขามองมาที่เธอ และพยายามที่จะทำให้เธอกลัว

 

เธอเป็นแบบนั้นตอนที่อยู่กับหยูเฟิงซู แต่หลังจากเกิดใหม่ เเต่ ณ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธอได้เป็นตัวของเธอเองและเธอจะไม่กลับไปอยู่ในจุดที่เลวร้ายเหมือนที่เธอเคยดำดิ่งลงไปในอดีตอีก

 

หลินเสี่ยวเฟยหันกลับมาหาหลินเซียวเหมิง เเละโต้เถียงกันเรื่องการแสดงท่าทีไม่สุภาพต่อตระกูลซู แต่เมื่อคิดถึงการตัดสินใจที่รีบร้อนและไม่ยุติธรรมของพวกเขา ที่ได้ยุติการหมั้นโดยไม่ได้ปรึกษากับตละกูลหลินในเรื่องนี้

 

และความจริงที่ว่าพวกเขาให้รายชื่อบุตรชายผู้สูงศักดิ์ระดับสามแก่เขา หลินเซียวเหมิง จึงตัดสินใจปฏิบัติตามการตัดสินใจของหลินเสี่ยวเฟย

 

“นี่…”

 

ฮุหยินซูถึงกับพูดอะไรไม่ออก!

 

เมื่อหลินเสี่ยวเฟยและหลินเซียวเหมิงหันหลังให้กับพวกเขา ฮูหยินซูก็รู้สึกกระสับกระส่ายและกล่าวขึ้นทันทีว่า “แม่ทัพหลิน ช้าก่อน!”

 

หลินเซียวเหมิงหยุดและหันศีรษะเล็กน้อย “มีอะไรอีกหรือ ฮูหยินซู?”

 

“นี่เป็นครั้งแรก ที่พวกข้าเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหลิน ดังนั้น พวกข้าจึงไม่รู้ว่าทางออกของเราไปทางไหน” เธอหยุด “เเละเนื่องจากท่านแม่ทัพหลินเเละคุณหนูสี่รู้สึกเหนื่อย ท่านแม่ทัพหลินจะส่งสาวใช้นำทางให้พวกเราได้หรือไม่”

 

หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกประหลาดใจมาก ที่รู้ว่าฮูหยินซูเพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามาเยี่ยมตระกูลหลิน แล้วเช่นนี้เธอจะเป็นคนดีได้อย่างไรกัน?

 

หลินเสี่ยวเฟย ไม่ยอมให้หลินเซียวเหมิงกล่าวตอบฮูหยินซู หลินเสี่ยวเฟยกล่าวต่ออย่างรวดเร็วว่า “ตระกูลซูมีความเฉลียวฉลาดอยู่เสมอ และบุตรชายของตระกูลซู ก็ติดอันดับหนึ่งในการสอบ ข้าคิดว่าเขา น่าจะสามารถจดจำทางออกได้”

 

“ถ้าหาทางออกไม่เจอ ก็เดินย้อนรอยตอนเดินเข้าก็มาได้” หลินเสี่ยวเฟยกล่าวต่อ และสะบัดแขนเสื้อของเธอ และไม่สนใจพวกเขาอีก

 

เธอต้องการที่จะเตือนพวกเขาว่า พวกเขาไม่สามารถมีอะไรเทียบกับตระกูลหลินได้ พวกเขาอาจมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูง แต่พวกเขาก็ต้องได้รับการตักเตือนว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยมาจากครอบครัวเล็กๆ เเละในตอนนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถสบตากับตระกูลหลินได้เลย

 

เเละในเมื่อก่อน พวกเขาก็ยังไม่ได้มีระดับสูง แต่ตระกูลหลินก็ยังยื่นมือออกไป เพื่อทำสัญญาการหมั้น และด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พวกเขาสามารถขี่วัวทองคำตัวนั้นได้ และยังได้ใกล้ชิดกับตระกูลที่มีระดับสูงเเละมีชื่อเสียง

 

เเละเนื่องจากพวกเขากล้าที่จะมา และกล้าที่จะเเสดงในสิ่งที่ต้องการ ทำไมหลินเสี่ยวเฟยและหลินเซียวเหมิง ถึงให้อิสระแก่พวกเขาในการจงใจไม่ได้? พวกเขาสามารถหยาบคายได้ แต่ตระกูลหลินนั้น ทำไม่ได้?

 

หลินเสี่ยวเฟยไม่คิดอย่างนั้น

 

แม้แต่หลินเสี่ยวเฟย ก็ยังรู้สึกเวียนหัว เมื่อเดินไปตามทางเดินของตระกูลหลิน หลินเสี่ยวเฟยต้องการให้พวกเขาสัมผัสและบอกให้พวกเขารับรู้ถึงอันตรายที่พวกเข้ากำลังจะเจอ และทำให้พวกเขารู้ว่าที่พักอาศัยของตระกูลหลินนั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

 

เเละพวกเขายังอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเธอเลือกคู่ครองในอนาคต? หลินเสี่ยวเฟยต้องการที่จะตอบแทนความใจดีของพวกเขา และเธอจะทำให้พวกเขาได้สัมผัสกับความรู้สึกที่สูญเสียอีกครั้ง

 

หยูเฟิงซู ได้บอกความลับมากมายกับเธอ และเธอก็จำความลับแต่ละข้อไว้เพื่อช่วยเหลือเขา อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในช่วงชีวิตที่แล้ว เธอสามารถใช้ความลับที่หยูเฟิงซูบอกกับเธอมาใช้กับตัวเธอเองในตอนนี้ได้

 

ตระกูลซู ควรระวังหลังให้มากกว่านี้และอย่าไปยุ่งกับเธอเลย เพราะพวกเขาจะต้องได้รับบทเรียนราคาเเพง ที่พวกเขาจะต้องชดใช้อย่างสาสม

 

หลินเสี่ยวเฟย ยิ้มอย่างเย็นชาและเดินเคียงข้างไปพร้อมกับหลินเซียวเหมิง

 

เมื่อพวกเขาอยู่นอกห้องโถง หลินเซียวเหมิง กล่าวถามหลานสาวอย่างกังวลว่า “เฟยเอ๋อ เจ้าไม่ได้วางแผนที่จะไม่แต่งงานจริงๆ ใช่หรือไม่?”

 

เขากังวลว่า สิ่งที่หลินเสี่ยวเฟยกล่าวตอนอยู่ในห้องโถง เป็นเพียงเพราะความโกรธของเธอ และต้องการถามเธอ ว่าที่เธอกล่าวออกมานั้น มันจริงหรือไม่ ที่ว่าตระกูลหลิน จะอยู่เบื้องหลังเธอจริงๆ และจะไม่ปล่อยให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน หลินเซียวเหมิงก็รู้ดีว่า ตระกูลหลินไม่ชอบหลินเสี่ยวเฟย และถ้าไม่มีเขาไม่อยู่ใกล้ๆอีกต่อไป พวกเขาจะต้องทำอันตรายต่อเธออย่างแน่นอน

 

เขาต่อสู้กับผู้คนอย่างไร้ความปราณี ฆ่าผู้อื่นและรอดชีวิตมาได้ ดังนั้น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ว่าตระกูลหลิน คิดอย่างไรกับหลินเสี่ยวเฟย?

 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรับหลินเสี่ยวเฟยมาจากตระกูลโจว ที่พักอาศัยของเมืองโจวเต็มไปด้วยงูและสิ่งชั่วร้ายในร่างมนุษย์ ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

 

เพราะลูกสาวของหลินเซียวเหมิง ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่นั่น และเขามั่นใจว่านี่จะเป็นชะตากรรมต่อไปของหลินเสี่ยวเฟย หากเธอไม่รีบออกมาจากที่นั่น

 

เขาไม่สามารถพาเธอออกมาจากที่นั่นได้ทันทีที่แม่ของเธอเสียชีวิต เพราะเธอยังเด็กเกินไป ยังเป็นทารก และในฐานะตระกูลของมารดา พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย เมื่อกลับถูกตระกูลโจวบ่นกล่าว

 

ในเวลานั้น พวกเขาเศร้าโศกและไม่มีเวลาให้กับหลินเสี่ยวเฟย เนื่องจากเธอยังเด็กเกินไป ตระกูลโจวละเลยการดูเเลเอาใจใส่เเละไม่ให้ความอบอุ่นแก่เธอ อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเริ่มโตขึ้นเธอจึงแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ไร้เดียงสาและหยาบคายต่อโลก ครอบครัวโจวก็ปล่อยเธอไปอย่างรวดเร็วที่สุด

 

ตอนนี้หลินเซียวเหมิงก็แก่ชราแล้ว เขาต้องแสร้งทำเป็นเพิกเฉย ต่อการปฏิบัติอันเสแสร้งของคนในตระกูลหลินที่มีต่อหลินเสี่ยวเฟย มิฉะนั้น เขาจะทำให้ทุกคนรู้ถึงเจตนาของเขา และคนชั่วร้ายเหล่านี้ ก็จะต้องซ่อนกรงเล็บของพวกเขาทันที

 

และนั่นเป็นเหตุผลที่หลินเซี่ยวเหมิง ต้องการรีบให้หลินเสี่ยวเฟยเเต่งงาน เขาต้องการให้เธอแต่งงานกับบุตชายในตระกูลที่ดี เพื่อจะได้คอยช่วยเหลือและปกป้องหลินเสี่ยวเฟย เมื่อเขาต้องจากไป

 

ในตอนเเรก เขาคิดว่าบุตรชายของตระกูลซู เป็นผู้ที่สมบูรณ์แบบสำหรับหน้าที่นี้และดีใจที่มีพวกเขา แต่ด้วยความตั้งใจของเขา พวกเขากลับที่จะยกเลิกการหมั้น เเละทำให้เกิดการขัดเเย้งกัน กับเหลินเซียวเหมิง

 

ทันใดนั้น เขาก็จำสิ่งที่หลินเสี่ยวเฟยกล่าวขึ้นในห้องโถง และกล่าวขึ้นทันทีว่า

 

“เฟยเอ๋อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่เจ้ากล่าวว่า เจ้ามีใครบางคนอยู่ในใจเเล้ว เเละอยู่ในฐานะคู่แต่งงานของเจ้า?”

“คำพูดของคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน เป็นความจริงและกล่าวออกมาจากใจ จริงหรือ?” ซูหวางจีกล่าวถาม หมัดของเขากำแน่นโดยไม่รู้ตัว และเขาไม่สนใจความคิดเห็นก่อนหน้าของเธอ

 

เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ซูหวางจีเขากำลังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาควรจะดีใจและปล่อยให้การสนทนานี้จบลง อย่างที่หลินเสี่ยวเฟยกล่าวเป็นการส่วนตัวตามที่ตกลงกันไว้ ว่าจะยกเลิกการหมั้นในครั้งนี้

 

แต่ทำไม เขากลับรู้สึกว่าเค้าเป็นผู้ที่พ่ายแพ้?  ราวกับว่ามันไม่ใช่เขาที่เป็นคนจะที่อยากจะยกเลิกการหมั้น แต่กลับเป็นหลินเสี่ยวเฟย และอีกอย่าง เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่เธอก็ได้กล่าวออกมาว่าเธอก็จะยินยอมที่จะยกเลิกการหมั้นในครั้งนี้ด้วย

 

สิ่งนี้ทำให้ซูหวางจี ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่เขารอคำตอบของหลินเสี่ยวเฟย ไม่ว่าคำตอบของเธอตอบตกลงหรือไม่ตกลง ซูหวางจีก็คงจะ…

 

“นายน้อยซู การตัดสินใจของข้าทั้งหมด ได้กล่าวออกมาจากใจ จะตกลงหรือไม่อย่างไร ความจริงเเล้วมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย  การหมั้นหมายของเราถูกกำหนด ตั้งเเต่ตอน

ที่เราอยู่ในครรภ์มารดาของเราทั้งคู่ หากเราทั้งคู่จะยกเลิกการหมั่น มันก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป” หลินเสี่ยวเฟยกล่าว ขณะที่เธอมองเขาจากด้านข้าง

 

ตระกูลซู เป็นผู้ที่เรียกร้องให้ยกเลิกการหมั้นตั้งแต่แรก และในตอนนี้เขากลับต้องการถามเธอให้เเน่ใจอีกครั้งว่า ที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมด มันออกมาใจของเจ้าจริงหรือไม่?

 

การตัดสินใจยกเลิกการหมั้นจะเปลี่ยนไปไหม ถ้าเธอตอบว่าใช่ หลินเสี่ยวเฟยคิดว่ามันคงไม่เป็นเช่นนั้น

 

ตระกูลซู กล้าที่จะทำลายข้อตกลงในการหมั้นที่จัดตั้งขึ้นเมื่อหลายปีก่อน และพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะแสดงการกระทำที่เอื้ออำนวยต่อเธอ ผู้ที่จะเข้าไปเป็นสะใภ้ในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่ได้มาในช่วงเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้ หลินเสี่ยวเฟยก็คงจะต้องหาเหตุผลและหาเวลาที่เหมาะสมในการยกเลิกการหมั้น ดังนั้น ณ ตอนนี้ เมื่อพวกเขาขอให้ยุติการหมั้น หลินเสี่ยวเฟยจึงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เพราะเธอจะได้ลดภาระอีกหนึ่งอย่างลงจากบ่าของเธอ

 

และถึงแม้ว่าเธอจะเกิดใหม่ ภายในร่างของหลินเสี่ยวเฟย เธอก็ยังไม่ต้องการที่จะหมั้นกับชายที่กระหายอำนาจ เเละเพิกเฉยต่อทุกสิ่งจนยอมทิ้งทุกอย่างเพื่ออำนาจของตนเอง

 

เธอไม่ต้องการมีชีวิตและกลับไปสัมผัสกับนรกอย่างที่เคยผ่านมา

 

“ถ้าเช่นนั้น ตามสัญญา ตระกูลซูจะไม่ยอมปล่อยให้คุณหนูสี่เเห่งตะกูลหลินเสียเปรียบ ดังนั้น เราได้จัดหารายชื่อบุตรชายผู้สูงศักดิ์ ที่เข้าข่ายเป็นตัวเลือกไว้ให้แล้ว” ซูหวางจีหยิบกระดาษ ที่มีรายชื่อของบุตรชายผู้สูงศักดิ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา

 

“ขอให้ท่านแม่ทัพหลินดูและทำการเลือก”

 

ดวงตาของหลินเซียวเหมิง เหลือบมองด้วยความเย็นชา

 

ช่างไร้ยางอายอะไรขนาดนี้!

 

รายชื่อของพวกเขาถูกคัดเลือกมาอย่างดีเเล้ว

 

พวกเขามาเพื่อยุติการหมั้น แต่เหมือนจะเตรียมพร้อมกันไว้เเล้ว ถึงกับนำรายชื่อบุตรชายผู้สูงศักดิ์ให้มาเธอเลือก เเละดูเหมือนความตั้งใจของพวกเขาในครั้งนี้ ต้องการที่จะบิดเบือนความเป็นจริงอะไรบางอย่างหรือเปล่า

 

ใบหน้าของหลินเซียวเหมิง เหมือนกำลังจะเเสดงให้เห็นว่าเขานั้นรู้สึกไม่พอใจ ที่เห็นซูหวางจีหยิบกระดาษรายชื่อออกมา โดยได้ระบุรายชื่อของบุตรชายผู้สูงศักดิ์ ที่มีสิทธิ์เข้าเป็นตัวเลือกของเฟยเอ๋อ หลานของเขา

 

“อย่ากังวล บุตรชายผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ ค่อนข้างที่จะโดดเด่นและมีบุคลิกที่ดี พวกเขายังเต็มใจที่จะแต่งงานกับคุณหนูสี่เเห่งตระกูลหลิน” ซูหวางจีกล่าวว่า สามารถรับรองเรื่องนี้ได้ หลังจากที่ได้เห็นความเศร้าโศก บนใบหน้าของพวกเขา

 

หลินเซียวเหมิง ยังลังเลที่จะรับข้อเสนอนี้ เเละเขาคิดว่าหากเขารับข้อเสนอนี้ มันก็ดูเหมือนกับว่าพวกเขาตบหน้าตัวเอง ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าว เเละอาจจะคิดว่าหลินเสี่ยวเฟยไม่สามารถที่จะมองหาคู่ครองที่เหมาะสมที่จะแต่งงานกับเธอได้ และคิดว่าตระกูลหลินก็ไม่สามารถช่วยเธอได้

 

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังปฏิเสธไม่ได้

 

หากรายชื่อนั้น เป็นบุตรชายผู้สูงศักดิ์จริงๆ การแต่งงานของหลินเสี่ยวเฟยก็จะดูไม่กดดันเกินไป แม้ว่าจะดูด้อยกว่าเมื่อเทียบกับตระกูลซูก็ตาม แต่รายชื่อเหล่านี้ ก็ไม่เลวใช่หรือไม่?

 

หลินเซียวเหมิงตัดสินใจที่จะเสี่ยง และหยิบกระดาษจากมือของซูหวางจู เมื่อเขาได้รับมัน เขาก็ค่อยๆเปิดดูรายชื่อ ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกเเละมืดมน แต่เมื่อเขาเริ่มอ่านรายชื่อในใจของเขา หลินเซี่ยวเหมิง ก็ไม่สามารถทำได้

 

“นี่หมายความว่าอย่างไร” หลินเซียวเหมิง กล่าวออกมาด้วยความโกรธ

 

ซูหวางจี รู้สึกว่าต้นคอของเขาเริ่มเย็นชาและกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “แม่ทัพหลินหมายความว่าอย่างไร บุตรชายผู้สูงศักดิ์ในรายชื่อเหล่านี้ ค่อนข้างที่จะโดดเด่นและมีทักษะหลายด้าน แม่ทัพหลินคิดว่าพวกเขา ไม่ดีพออย่างนั้นหรือ?”

 

บุตรผู้สูงศักดิ์ที่มีสิทธิ์อะไรเช่นนี้! หลินเซียวเหมิง เกือบจะฉีกกระดาษในมือของเขา ‘บุตรชายผู้สูงศักดิ์’ ที่ตระกูลซูเลือกในหมู่คนอื่นๆนั้น โดดเด่นก็จริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลินเซียวเหมิงเต็มไปด้วยความโกรธและความอับอาย

 

เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของหลินเซี่ยวเหมิง หลินเสี่ยวเฟยก็อยากรู้อยากเห็นและเดินไปอ่านด้านข้างของเขาด้วย

 

เมื่อดวงตาของเธอ เห็นรายชื่อที่อยู่ในกระดาษเป็นครั้งแรก

 

รายชื่อที่อยู่ในมือของหลินเซียวเหมิง ก็ดูไม่ได้แย่ขนาดนั้น แม้แต่หลินเสี่ยวเฟยก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าขบขัน เพราะก็มีชายที่น่าพึงใจอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับคนอื่นๆและหลินเซียวเหมิง รายชื่อดังกล่าวที่มี ถือเป็นการดูถูก เนื่องจากบุตรชายในรายชื่อเป็นข้าราชการระดับสามทั้งหมด

 

เขาสามารถยอมรับได้ หากพวกเขาเป็นบุตรชายของตระกูลที่มีเกียรติระดับสอง แต่คนที่ระดับสามนั้นดูไม่คู่ควรกับหลินเสี่ยวเฟย เเต่ถ้าหากพวกเขาระดับที่หนึ่งหรือสองเเละเป็นบุตรชายตระกูลที่มีเกียรติ  หลินเซียวเหมิงคงจะอนุญาตให้หลินเสี่ยวแต่งงานกับบุตรชายผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ได้ เเต่หากมีระดับสามขึ้นไป นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องคิด

 

เขาไม่ใช่คนโง่ ที่เขาจะไม่รู้ว่าบุตรชายชั้นสูงระดับหนึ่งและระดับสองเกือบทั้งหมด ไม่ต้องการให้หลินเสี่ยวเฟยเป็นเจ้าสาวของพวกเขา และถ้าหากหลินเซียวเหมิงจะมองหาบุตรชายที่คู่ควรกับหลินเสี่ยวเฟย ก็จะต้องมีสถานะเท่ากับหลินเสี่ยวเฟยเท่านั้น

 

นั่นคือเหตุผลที่เขาจะต้องคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และดูว่าระดับมีสาม มีคุณสมบัติคล้ายกับระดับที่หนึ่งหรือระดับที่สองหรือไม่ ดังนั้น เขาก็จะไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลมากนัก

 

เมื่อเธอเห็นใบหน้าของหลินเซียวเหมิง ที่กำลังพิจารณารายชื่อให้กับหลินเสี่ยวเฟย และขมวดคิ้ว เขากำลังคิดที่จะปล่อยให้หลานสาวของเขา แต่งงานกับตระกูลที่มีระดับสามจริงหรือ?

 

หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจ หลินเสี่ยวเฟยก็กล่าวขึ้นทันที “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของตระกูลซู แต่ตระกูลหลินไม่ยอมรับในข้อเสนอนี้”

 

หลินเซียวเหมิงมองไปยังหลานของเขา

 

เขาคงคิดว่าหลินเสี่ยวเฟย คงรู้สึกไม่พอใจกับรายชื่อเหล่านี้และมองดูเธออย่างเป็นกังวล แต่ใบหน้าของหลินเสี่ยวเฟยนั้น ดูไร้ความรู้สึก

 

ฮูหยินซูที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกไม่พอใจกับการปฏิเสธของเสี่ยวเฟยอย่างมากและกล่าวได้ว่า “คุณหนูสี่ ไม่จำเป็นต้องอับอายเพียงแค่ยอมรับรายชื่อของคู่สมรสที่มีศักยภาพเหล่านี้ พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นและเป็นบุตรชายของตระกูลดี ”

 

“อย่างที่ข้ากล่าวไป ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ ข้าเป็นหญิงสาวจากตระกูลหลินอันทรงเกียรติ แล้วทำไมข้าต้องแต่งงานกับใครซักคน ในเมื่อข้ามีตละกูลหลินที่คอยอยู่เคียงข้างข้าเสมอ?”

 

ใช่เเล้ว ข้ามีตระกูลหลินอยู่เคียงข้าง ทำไมข้าถึงต้องแต่งงานด้วย?

 

ซูหวางจี ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้และมองไปยังหลินเสี่ยวเฟย แต่หลินเสี่ยวเฟยกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

 

“คุณหนูสี่ เจ้าจะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตหรือ?” ฮูหยินซูกล่าวถาม

 

“เป็นไปไม่ได้!” หลินเซียวเหมิงตะโกนว่า “เฟยเอ๋อ หญิงสาวจะต้องแต่งงานและสร้างครอบครัว ไม่ต้องกังวลไปตาจะตามหาบุตรชายที่เหมาะสมกับเจ้าเอง”

 

หลินเสี่ยวเฟยหัวเราะ และกล่าวว่า “แน่นอน ข้าจะแต่งงาน แต่ท่านตาไม่จำเป็นที่จะต้องมองหาใคร เพราะข้ามีคนในใจข้าอยู่แล้ว”

เมื่อผู้คนในห้องโถงได้ยินคำกล่าวของนาง ปฏิกิริยาของพวกเขาก็ถูกแบ่งออกเป็นสองด้านทันที

 

ด้านหนึ่งหลินเซียวเหมิงรู้สึกเเค้นใจและสงสารหลานสาวของเขา เเต่ในขณะที่อีกด้านรู้สึกตกใจไม่พอใจ เเละหยุดชะงักทันที

 

หลินเสี่ยวเฟย เดินเข้าไปในห้องโถงและหยุดอยู่ห่างจากทั้งสองฝั่งประมาณหนึ่งเมตร

 

ผิวของเธอขาวดุจไข่มุก ดูสุขภาพดี แก้มสีคล้ายกับดอกกุหลาบ ทำให้รู้สึกน่าทะนุถนอม ริมฝีปากสีแดงของเธอก็ยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายว่าเธอกำลังจะยิ้ม

 

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ซูหวางจีตกตะลึง เมื่อเห็นร่างของหลินเสี่ยวเฟยเข้ามา พวกเขาแทบจะไม่เชื่อในสายตา ซูหวางจีแอบตะลึงกับความงามของเธอ แลหัวใจของเขาก็กระหน่ำเต้นรัว เมื่อเขาได้สบตาเธอ

 

หลินเสี่ยวเฟย สวมชุดเดรสและเสื้อคลุมสีดำ ดูเหมือนในนางในฝันที่ออกมาจากภาพวาด ผมของเธอพาดไปบนหลัง แกว่งไปพร้อมกับเธอขณะที่เธอเดิน และกิ๊บติดผมสีเงินด้ามเดียวบนผมของเธอที่สะท้านแสง  ซึ่งอาจทำให้พวกเขาตาบอดชั่วขณะได้

 

ในทางกลับกัน ฮูหยินซูก็ตกใจเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าทุกย่างก้าวของหลินเสี่ยวเฟย เปรียบเสมือนเหมือนดอกไม้เบ่งบานที่อยู่ข้างหน้าเธอ ทุกอย่างช่างดูนุ่มนวลไปหมด

 

ความสง่างามของเธอ เป็นที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง และดวงตาของเธอกวาดสายตาไปยังพวกเขาอย่างเย็นชา ทำให้กระดูกของพวกเขาดูเย็นลง และเมื่อหญิงสาวเข้ามาใกล้ ท่าทางเเละลักษณะของเธอก็ชัดเจนยิ่งขึ้นและทำให้พวกเขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้

 

หญิงสาวอาจมีใบหน้าที่สวยงามหรือมีท่าทางแสดงอารมณ์ที่สง่างาม

 

สิ่งเหล่านั้น อาจจะสวยงามราวกับอมตะ แต่สิ่งเหล่านั้นมักจะเกี่ยวข้องกับนางเงือกที่ดึงคนไปสู่ความตาย ในขณะที่หญิงสาวที่มีนิสัยอ่อนโยนนั้นมีรูปร่างหน้าตาที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นนางฟ้าที่อาศัยอยู่ภายในดอกไม้ที่บานสะพรั่ง

 

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถอธิบายได้เลย ว่าถ้ามีทั้งสองอย่างนี้จะส่งผลให้เกิดความงามที่น่าพิศวงเช่นไร

 

แต่ถึงกระนั้น หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้า ดูเหมือนจะถูกครอบครองทั้งสองสิ่งที่กล่าวมา

 

หลินเสี่ยวเฟย เป็นที่รู้จักสำหรับผู้คนเพราะเธอมีใบหน้าที่งดงาม แต่มันถูกปกปิดเพราะมารยาทที่หยาบคายและทัศนคติที่บิดเบี้ยวของเธอ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ตระกูลซูและซูหวางจี ต้องการยกเลิกการหมั้นหมายก่อนจะนำไปสู่การแต่งงาน

 

ข่าวลือที่น่ารังเกียจของหลินเสี่ยวเฟย อาจทำให้หน้าตาของตระกูลซูต้องอับอาย หากพวกเขาต้องพบปะกับสหายเเละเหล่าขุนนางระดับสูง พวกเขากลัวว่าผู้คนเหล่านั้นจะกล่าวเรื่องราวต่างๆนี้ต่อหน้าพวกเขา

 

เมื่อพวกเขาพบเจอและเห็นการกระทำของหลินเสี่ยวเฟย พวกเขาอยากจะย้อนเวลากลับไปและหยุดการสู้รบระหว่างสองตระกูล ก่อนที่ทุกอย่างจะสูญเปล่า

 

แต่ในวันนี้ ฮูหยินซูมีความรู้สึกแปลกๆผุดขึ้นมาในใจเธอ แต่เธอไม่รู้ว่ามันเป็นอารมณ์แบบไหนกัน

 

“เฟยเอ๋อ… เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้ายังพักฟื้นอยู่ กลับไปที่พักของเจ้า ตาจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้เอง” หลินเซียวเหมิงกล่าว

 

เขาสังเกตเห็นการแสดงออกที่ประหลาดใจของตระกูลซู แต่หลินเซียวเหมิงก็ไม่ได้สนใจความคิดของพวกเขาเเต่อย่างใด เเต่เขากลับให้ความสนใจกับหลานสาวของเขา ด้วยความเป็นห่วงเธอ

 

หลินเซียวเหมิง ขมวดคิ้วเมื่อเห็นผิวซีดของเธอและยืนขึ้นจากเก้าอี้ของเขา เขาหยิบเสื้อคลุมที่วางอยู่หลังเก้าอี้ แล้วเดินไปที่ด้านข้างของหลินเสี่ยวเฟยเพื่อสวมให้เธอ

 

ด้วยรูปร่างที่ใหญ่ของเขาปกคลุมร่างที่บอบบางของหลินเสี่ยวเฟย ซูหวางจูและคุณหญิงซูจึงหลุดพ้นจากภวังค์ของพวกเขา

 

ในขณะนั้น ซูหวางจี กล่าวขึ้น “คุณหนูหลิน หมายความว่าอย่างไร”

 

เมื่อเขาได้ยินหลินเสี่ยวเฟยกล่าว ราวกับว่าเห็นด้วยกับการยุติการหมั้น เขาคิดว่าสิ่งต่างๆในตอนเเรกที่ได้ยินมันดูไม่น่าเชื่อ เเต่กลับกันท้ายที่สุด ด้วยทัศนคติต่างๆของหลินเสี่ยวเฟยในตอนเเรก หากเธอได้ยินว่าการหมั้นของพวกเขาถูกยกเลิก เธอก็คงจะเอะอะโวยวายเกี่ยวกับเรื่องนี้และคงจะโกรธเคืองเป็นอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังของซูหวางจีไม่เป็นไปตามที่เขาคิด เพราะหลินเสี่ยวเฟยยังคงนิ่งและไม่ได้มองมาทางเขาตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้

 

“เฟยเอ๋อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่จะให้ตายกเลิกการหมั้น” หลินเซียวเหมิง กล่าวถาม

 

ซูหวางจี ไม่ใช่คนเดียวที่คาดหวังกับคิดเรื่องนี้ เเต่หลินเซียวเหมิงก็อยากที่จะเห็นหลินเสี่ยวเฟยเรียกร้องเเละไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เเต่อย่างไรก็ตาม นี่มันคืออะไร?  หลินเสี่ยวเฟย เจ้าตกลงที่จะยกเลิกการหมั้นของเจ้าจริงๆใช่หรือไม่?

 

หลินเสี่ยวเฟยรู้สึกตลก เมื่อเห็นใบหน้าของพวกเขา เธอไม่รู้ว่าเธอควรจะหัวเราะหรือร้องไห้เพราะเธอไม่เห็นภาพเหล่านั้นอยู่ในใจเธอ

 

ในความเป็นจริง ถ้าเป็นเเต่ก่อน เธอคงจะกรีดร้องเหมือนอยู่ในนรกที่นองเลือดและขอร้องอ้อนวอนพวกเขาไม่ให้ยกเลิกการหมั้นหมาย?

 

เเต่!! หลินเสี่ยวเฟยไม่คิดเช่นนั้น

 

“ก็อย่างที่ข้ากล่าวไป ยกเลิกการหมั้นเถอะ” เธอหยุดก่อนจะกล่าวต่อ “ช้าก่อน แบบนี้มันฟังดูน่าสมเพชเกินไป

 

เธอเผชิญหน้ากับแขกที่มาสร้างปัญหาให้กับหลินเซียวเหมิง และกล่าวขึ้นต่อว่า “ข้าต้องการที่จะยกเลิกการหมั้น”

 

ในฐานะที่เธอ เป็นคนที่มีชีวิตอยู่สองชั่วอายุ คนอย่างหลินเสี่ยวเฟยไม่ต้องการดูน่าสงสารและกลายเป็นคนที่ทำให้การหมั้นของเธอพังทลายลง แม้ว่าเธอจะเกิดมาในร่างใหม่

 

เธออยากจะใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ เเละเธอไม่อยากสนใจผู้ใดเพราะเธอต้องการสร้างความหายนะเเละพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้กับผู้คนที่เคยทำลายชีวิตในอดีตที่น่าสังเวชของเธอ

 

เมื่อเธอนึกถึง แผนแรกของเธอก็กำลังจะเริ่มขึ้น หลังจากนั้นหลินเสี่ยวเฟยเธอก็เริ่มรู้สึกดี

 

อย่างไรก็ตาม อีกสามคนในห้องโถงยังคงเงียบ ดวงตาพวกเขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของเธอ

และเห็นสีหน้าของเธอที่เฉยเมย

 

ความสงบของเธอ ทำให้อารมณ์ของซูหวางจีเเละคุณหญิงรู้สึกกระสับกระส่ายบานสะพรั่งในหัวใจ

 

แต่ทำไม?

 

คำถามนี้ไม่ได้ยังคงไม่ได้รับคำตอบ คำถามนี้จะถูกตอบในอนาคต เพราะพวกเขาจะถูกหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสำนึกผิดในครั้งนี้ไว้ในหัวของพวกเขาแล้ว เพราะพวกจะได้รำลึกถึงโอกาสที่ผิดพลาดไปในครั้งนี้

 

มีเพียง หลินเซียวเหมิงเท่านั้นที่รู้สึกขัดแย้ง เขากังวลว่าหลานสาวของเขา กล่าวคำเหล่านี้เพราะความโกรธของเธอ และไม่ได้หมายความอย่างที่เธอคิด เขาจึงกล่าวถามเธออีกครั้งว่า “เจ้าแน่ใจ กับการตัดสินใจของเจ้าในครั้งนี้ ใช่หรือไม่”

 

เธอหันมามองเขา และกล่าวอย่างหนักแน่น “ใช่เจ้าค่ะ”

 

“แต่สิ่งเหล่านี้ จะส่งผลต่ออนาคตเจ้า”

 

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อนาคตและอดีตไม่สำคัญสำหรับข้า” เธอกล่าวขณะที่มองไปยังซูหวางจี“ และข้าก็ไม่เคยคิด ว่าข้าอยากจะหมั้นกับคนที่มีเเต่ความโลภ ระวังนะ เจ้าอาจพบว่าตัวเองอยู่ในความมืดมิดชั่วนิรันดร์”

 

เมื่อซูหวางจีได้ยิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มและน่าเกลียด จมูกของเขารู้สึกร้อนวูบวาบ ราวกับกำลังจะโมโห เขาร็สึกว่ากำลังโดนดูถูก ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่เห็นคุณค่าของเธอและโลภมากที่คิดจะจับเหยื่อที่ใหญ่กว่า

 

คำที่เธอกล่าวมา ช่างดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และดูเหมือนว่ามันจะมีความหมายที่ลึกซึ้งมากเลยทีเดียว  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถเข้าใจหมายในคำพูดของเธอ ‘ความมืดนิรันดร์’ ถูกทิ้งไว้ให้พวกเขาสับสน

ภายในห้องโถงรับแขก

 

หลินเซียวเหมิง มองคนสองคน ที่นั่งตรงข้ามเขาอย่างมืดมน

 

เมื่อเขาได้ยินว่าตระกูลซูจะมาเยี่ยม เขาก็มีความสุขเล็กเพียงน้อยเพราะทั้งสองตระกูลขาดการติดต่อกันเป็นเวลานาน และการที่พวกเขามาเยี่ยมตระกูลหลิน ก็หมายความว่าตระกูลซูมีมารยาทและคงจะปล่อยให้เรื่องนี้ เป็นไปตามอนาคตของพวกเขา

 

หลินเซียวเหมิง รู้ว่าหลานสาวของเขามีบุคลิกที่แปลกประหลาดไปบ้าง แต่บางทีหลังจากแต่งงานแล้ว เธออาจจะเรียนรู้และหัดวางตัวให้เหมาะสมกับการผู้หญิง

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความคิดของเขาทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นเพียงความปรารถนาของเขา เพราะจุดประสงค์ของการมาเยี่ยมของตระกูลซู คือการมาทำลายการหมั้น!

 

หลินเซียวเหมิง กำมือแน่น “ตระกูลซู หมายความว่าอย่างไร ยกเลิกการหมั้น ท่านรู้ไหมว่าสิ่งนี้มีความหมายสำหรับเราทั้งสองครอบครัว”

 

แม้ว่าการหมั้นหมายระหว่างชายหนุ่มกับหลินเสี่ยวเฟยจะไม่ได้รับการเผยแพร่อย่างสมบูรณ์  แต่ก็ยังมีตระกูลระดับสูงบางตระกูลที่รับรู้

 

ซูหวางจี พยักหน้าด้วยท่าทางไม่แยแส “ข้าได้พูดคุยกับท่านปู่แล้ว และท่านก็อนุญาตให้ข้ายกเลิกการหมั้น แม้ว่าครอบครัวของเราทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กัน แต่ข้าก็ยังหวังว่าเเม่ทัพหลินจะอนุญาต.”

 

ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหลินเซียวเหมิง เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนและมีใบหน้าที่ดูดี อย่างไรก็ตาม รูปร่างของเขาดูอ่อนแอเล็กน้อย แต่ท่าทางของเขาทำให้เขามองและคิดว่าสุภาพบุรุษควรมีลักษณะเช่นนี้

 

หลินเซียวเหมิง ขมวดคิ้ว

 

ซูหวางจี บุตรของตระกูลซู เขาเป็นหนึ่งในบุตรผู้สูงศักดิ์ ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง เขาไม่เพียงแต่มีใบหน้าที่ดูดีเท่านั้น แต่เขายังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของการสอบทางวิชาการของสถาบันเซี้ย ซึ่งได้เอาชนะบุตรชายคนอื่นๆในรายการ

 

และเขา ก็ยังเป็นคู่หมั้นของหลินเสี่ยวเฟยอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้านี้ เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ ไม่ได้มาเยี่ยมคู่หมั้นของเขาเลย หลังจากที่ได้ยินว่าเธอป่วย แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยุติการหมั้นหมาย

 

“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำเช่นนั้น การหมั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่เจ้าและเฟยเอ๋อจะเกิด ดังนั้นสิ่งนี้จะถูกทำลายโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรได้อย่างไร?”  หลินเซียวเหมิง ขมวดคิ้วเเละใบหน้าที่ดูน่ากลัวของเขากลายเป็นสีหน้าที่หมองคล้ำด้วยความไม่พอใจ กับชายหนุ่มผู้นี้ที่นั่งเงียบๆ ตรงข้ามเขา

 

ราวกับว่า ซูหวางจีไม่สนใจแม้แต่การหมั้นที่ผู้อาวุโสของเขาตั้งขึ้นเมื่อหลายปีก่อน และยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสของตระกูลซู จะยินยอมให้หลานชายของเขาตัดสินใจยุติการหมั้นหมาย

ในครั้งนี้

 

เฒ่าตระกูลซู กำลังคิดอะไรอยู่?

 

ฮูหยินซู ที่มากับบุตรชายก็พูดขึ้นทันทีว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองแม่ทัพหลินในวันที่ข้าพาจีเอ๋อไปวันเกิดของสหายข้าท่านหนึ่ง และในตอนนั้น ข้าเองก็ไม่สามารถรู้ถึงอนาคตที่ข้าก็คาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าสิ่งเหล่านั้นจะตกมาถึงหลานสาวของท่านเเละบุตรชายของข้า”

 

ในขณะนี้ หลินเซียวเหมิง ไม่เอยากฟังเรื่องไร้สาระของฮูหยินซูอีกต่อไป เพราะนางอยากให้ซูหวางจีเเต่เเต่งงานกับบุตรสาวของขุนนางอีกคนที่ชอบซูหวางจี เเท้ที่จริงแล้ว คำพูดของคุณหญิงซูกล่าวเหมือนกับว่าซูหวางจีบุตรชายของเธอนั้น เขามีหญิงสาวที่เขาชอบอยู่เเล้ว ดังนั้นเธอจึงเดินทางมาที่นี้เพื่อยกเลิกการหมั้น

 

ทว่าบุตรสาวของตระกูลขุนนางท่านอื่นๆที่เขากำลังเพ้อฝันอยู่นั้น จะเข้ามาทำให้ทั้งสองตระกูลนั้นเกิดความเเตกเเยก ซูหวางจูเขาก็มิบังอาจที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่ถ้าหากคิดในสถานการณ์ตอนนี้กลับกัน หากซูหวางจีชอบหญิงสาวผู้นั้นจริงๆ มันก็กลับกลายเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง

 

แต่ทำไมพวกเขาต้องบิดเบือนในคำพูด?

 

สิ่งนี้ทำให้หลินเซียวเหมิง ได้ลิ้มรสความขมในปากของเขา

 

การสู้รบเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน และหากอนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้อย่างที่พวกเขาพูด จะดีกว่าไหมถ้าพวกเขายุติการสู้รบในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเเล้ว

 

สิ่งนี้ทำให้หลินเสี่ยวเฟย รู้สึกว่าเรื่องนี้มันยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เเต่เนื่องจากเธออยู่ในวัยที่เธอควรจะแต่งงานแล้ว ไม่ใช่เเค่ก็หมั้นกับใครสักคน แต่ถ้าการหมั้นของเธอถูกยกเลิกไป สิ่งต่างๆที่มามันจะแย่ลงกว่าเดิม

 

เเต่ด้วยข่าวลือต่างๆของเธอ หลินเสี่ยวเฟยจะไม่สามารถที่จะแต่งงานกับบุตรชายของตระกูลที่มีชื่อเสียงและมีตำแหน่งสูงได้

 

“ข้ายังไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้”

 

“แต่ท่านแม่ทัพหลิน ผู้เฒ่าของเรายินยอมในเรื่องนี้แล้ว” ซูหวางจีเขาไม่สนใจใยดีกับคู่หมั้นของเขาและเขาก็ไม่ชอบเธอเเม้เเต่น้อยเลย ข่าวลือมากมายในตัวเธอ มันจะทำให้มันทุกอย่างดูเเย่ไปเสียหมด ถ้าหากเขาต้องเขาหมั้นกับเธอ สหายที่เคยร่วมงานกับซูหวางจีจะต้องหัวเราะเยาะเขาและเยาะเย้ยเขา ที่มีภรรยาในอนาคตที่โง่เขลาและนิสัยเสียเช่นนี้

 

เป็นเวลาหลายปี ที่เขากลืนความเย่อหยิ่งและไม่กล่าวอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแต่แอบพร่ำเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาได้คิดอยู่ในใจเสมอว่าทำไมเขาถึงต้องหมั้นหมายกับหลินเสี่ยวเฟย ผู้หยิ่งผยองนิสัยไม่ดีเเถมยังไม่มีพรสวรรค์ใดๆติดตัวอีกเลย

 

อย่างไรก็ตาม ตระกูลหลินที่คอยอยู่เบื้องหลังเธอ และตระกูลซูก็ไม่สามารถที่จะหาการสนับสนุนที่ใหญ่กว่าตระกูลหลินได้อีกเเล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เเค่ให้ซูหวางจีมุ่งมั่นและทำให้ดีที่สุด ในการสอบของวิชาการของสถาบันเซี้ย และขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างมีชัยให้ได้

 

ในฐานะผู้ตรวจสอบระดับสูงในวิชาการของสถาบันเซี้ย สิ่งนี้จะทำให้เขาได้มีโอกาสที่จะไต่อันดับในราชสำนักของจักรพรรดิ เพื่อจะได้มอบเชือกอีกเส้นให้กับตระกูลซูได้มีที่ยึดเหนี่ยวไว้

 

และแม้ว่า หากเขาจะไม่ได้รับตำแหน่งทางการ ที่สูงกว่าตระกูลใหญ่ๆเเต่อย่างไรก็ตาม ยังมีหญิงสาวที่มีมารยาทดีอีกหลายคน ที่อยากจะครอบครองเขาเเละมาอาศัยอยู่ร่วมกับตระกูลซู

 

หากพวกเขาสามารถโน้มน้าวให้หลินเซียวเหมิงยุติการหมั้นได้ พวกเขาก็จะสามารถดำเนินการตามแผน เพื่อให้ซูหวางจีหาสตรีผู้สูงศักดิ์อีกคนเพื่อแต่งงาน

 

“อย่างไรก็ตาม แม่ทัพหลินไม่สามารถบังคับเขาให้รักษาการหมั้นนี้ได้ แม้ว่าการทำลายการหมั้นจะทำให้หลินเสี่ยวเฟยอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ตระกูลซูก็ยังได้เอ่ยปากว่า เขาจะช่วยหาคู่ที่เหมาะสมในการแต่งงานให้กับหลินเสี่ยวเฟย” ในที่สุด ซูหวางจีก็ได้กล่าวและมีความตั้งใจที่จะยุติการสนทนาในครั้งนี้ด้วยข้อเสนอของพวกเขา

 

ถึงแม้ว่าจะไม่มีบุตรชายผู้สูงศักดิ์ที่เหมาะสมในเมืองหลวงในขณะนี้ แต่ตระกูลซูก็เต็มใจที่จะดูแลและช่วยเหลือพวกเขา เพื่อที่หลินเสี่ยวเฟยจะไม่ได้ถูกทอดทิ้งและไม่ได้เเต่งงานในอนาคต

 

ใบหน้าของหลินเซียวเหมิงดูแย่เป็นอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ในเมื่อการตัดสินใจของทั้งสองตระกูลเป็นที่สิ้นสุดไปเเล้วว เเละเขายังสามารถที่จะกล่าวอะไรได้อีก เขาสามารถบอกกล่าวกับผู้คนถึงการกระทำที่หน้ารังเกียจของตระกูลซูได้ แต่เขาไม่อยากที่จะต้องเอาชื่อเสียงของหลานสาวเขา มาตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ เพราะเขาไม่อยากที่จะต้องลากชื่อตระกูลหลินและหลินเสี่ยวเฟยให้เข้ามาเเปดเปื้อนกับเรื่องเหล่านี้

 

อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้หลินเสี่ยวเฟยต้องทนทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้เป็นเเน่ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำเช่นใด?

 

เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อเสนอของตระกูลซูก็ค่อนข้างน่าสนใจ “นี่…” หลินเซียวเหมิงรู้สึกลังเลใจ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ข้าขอคิดเรื่องนี้ดูก่อน—”

 

อย่างไรก็ตาม เขากำลังจะกล่าวจบในเรื่องราวนี้ เสียงที่นุ่มนวลแต่เย็นชา เป็นของเสียงของหญิงสาวขัดจังหวะเเทรกขึ้นมา

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกเจ้าค่ะท่านตา”

 

ในขณะนั้น หลินเสี่ยวเฟยมาถึง และยืนอยู่ที่ทางเข้าห้องโถง ด้วยใบหน้าอันงดงามของเธอเเละรอยยิ้มที่เย็นชา ทันใดนั้นเธอก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องการยกเลิกการหมั้นหมาย”

ดวงจันทร์ส่องสว่างในคืนฤดูหนาว ลมหนาวพัดพาร่างกายอันอบอุ่นมารวมกันเพื่อผ่านอากาศที่หนาวเย็นในคืนนี้

 

ภายในห้องขังใต้ดิน มีเสียงคร่ำครวญราวกับสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บดังออกมา ราวกับว่าต้องการส่งสัญญาณบางอย่างออกไป อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เหมือนสัตว์ร้ายที่สามารถกวัดแกว่งกรงเล็บของมันเข้าใส่ผู้ล่าได้ สัตว์ร้ายตัวนี้ไม่มีทางที่จะป้องกันตัวเองจากอันตรายได้เลย

 

ภายในห้องขังที่มีกลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียน มีสิ่งมีชีวิตนอนอยู่ ดวงตาของมันจับจ้องไปที่หน้าต่างเล็กๆ ที่มีลูกกรง สายตาของมันมองไปยังดวงจันทร์อย่างเย็นชา ทว่าดวงจันทร์กลับทำให้มันรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในหัวใจ.

 

หากใครได้มองใกล้ ๆ จะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในกรงนั้น ไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่กลับเป็นมนุษย์ เเล้วยังเป็นมนุษย์ผู้หญิงอีกด้วย.

 

แขนขาของเธอถูกตัดขาด ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยบาดเเผลเเละรอยฟกช้ำ ไม่มีใครเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ทั้งที่เธอผ่านการทรมานมามากมายขนาดนี้ แน่นอนคนที่จับตัวเธอมาจะไม่มีทางปล่อยให้เธอตายไปง่ายๆ

 

จุดประสงค์ของคนที่กักขังเธอคือการทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดทรมานไม่รู้จบ เสี่ยวเฟยหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อเห็นหนูหลายตัวกำลังรายล้อมกัดกินเนื้อและแทะกระดูกของเธอ ทำให้เธอตระหนักได้ว่ามนุษย์และสัตว์ล้วนเเต่เหมือนกันหมด

 

เพื่อความอยู่รอดของตัวเองพวกมันสามารถกินอะไรก็ได้ แม้แต่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และยังมีลมหายใจ

 

เเต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอต้องตกอยู่ในวงจรของการถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกเเละความเจ็บปวดของเธอ ก็ค่อยๆหายไป เหลือเพียงความเกลียดชังและไร้หนทาง เพียงเท่านั้น

 

และตอนนี้ความตายกำลังย่างกรายเข้ามา

 

เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายที่เธอรักและพร้อมเสียสละให้ทุกอย่าง จะทรยศหักหลังเธอหลังจากที่เขาได้ในสิ่งที่ต้องการเเล้ว

 

ใบหน้าอันหล่อเหลาและสายตาที่อ่อนโยนของหยูเฟิงซู กำลังถูกเผาไหม้ภายในจิตใจของเธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่เคยมีให้แก่เธอได้กลายเป็นรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง รวมไปถึงตัวตนที่เเท้จริงของเขาที่น่าขยะแขยง

 

เธอโง่เช่นนี้ได้อย่างไร? ปล่อยให้ชายชั่วคนนั้นเล่นกับเธอและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมี

 

แต่เมื่อเธอลองคิดดูอีกครั้ง ไม่มีอะไรเป็นของเธอมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

 

ครอบครัวที่เธอคิดเสมอว่าพวกเขาจะปกป้องเธอกลับนิ่งเฉย ทั้งยังสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูของเธอ ผลักเธอให้ตกต่ำถึงที่สุด เพียงเพื่อผลประโยชน์  เพื่อนที่เธอคอยช่วยเหลือมาโดยตลอด กลับหัวเราะเยาะและดูถูกเธอ เเละพวกเขายังสนุกกับการที่เห็นเธอตกต่ำลง

 

ชายที่เธอรักกลับกลายเป็นคนเสแสร้งมาโดยตลอด เขาใช้ความรู้สึกที่มีเธอมีให้ เพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่โง่เขลาที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เธอรัก สุดท้ายแล้วชายคนนั้นกลับเเค่อยากใช้ความรักเพื่อหลอกใช้งานเธอเพียงเท่านั้น

 

เเต่! ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้

 

เป็นเพราะเสี่ยวเฟยเลือกที่จะหลับหูหลับตามาโดยตลอด เพราะว่าเธอนั้นรักเขาและกลัวที่จะต้องเสียเขาไป

 

หลังจากเธอหมดประโยชน์ ในที่สุดเเล้วหยูเฟิงซูก็หมดความสนใจในตัวเธอ และในเมื่อเธอไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว เขาก็ได้โยนเธอทิ้งไปและทำให้เธอกลายเป็นเพียงของเล่นของเขาเท่านั้น อีกทั้งยังปล่อยให้คนเหล่านั้นมาหาความสุขจากร่างกายเธออีกด้วย

 

น้ำตาของเธอค่อยๆหลั่งริน ความทรงจำที่เธอคิดว่ามันมีค่ามากสำหรับเธอ กลับกลายเป็นเรื่องตลกและความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

 

เสี่ยวเฟยหัวเราะกับสถานการณ์ที่เธอได้เจอ ขณะที่น้ำตาไหลอาบไปทั่วใบหน้าที่มีแต่รอยแผล

 

เสี่ยวเฟยเคยภูมิใจในความงามของเธอและใช้มันเพื่อประโยชน์เสมอ เธอใช้ใบหน้าที่งดงามของเธอในการก้าวออกจากความยากจน เพราะความจนเป็นอาชญากรรมในโลกที่โหดร้ายนี้ สามัญชนทุกเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี ในเมื่อไม่มีทรัพย์สมบัติเหมือนพวกขุนนาง ก็จะถูกปฏิบัติดั่งเช่นสิ่งของ

 

ถ้าไม่ใช่คนมีความสามารถหรือมีใบหน้าที่งดงาม หรือบางทีอาจจะทั้งสองอย่าง นั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้คุณแตกต่างไปจากก้อนกรวด

 

เธอเคยเป็นหญิงสาวที่งดงามจนไม่มีใครเทียบเคียงได้ แม้ว่าเธอจะมาจากพื้นเพที่ยากจน ผู้ชายหลายคนทั้งจากหมู่บ้านหรือจากเมืองหลวงต่างก็สนใจเธอ พวกเขาพยายามทำทุกอย่าง เพื่อเอาชนะใจเธอ

 

เเต่น่าเสียดาย เสี่ยวเฟยที่เกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่งดงาม มีความภาคภูมิใจและความทะเยอทะยาน  เธอต้องการจะบินสูงขึ้นไปอีก เธออยากครองคู่กับชายที่ร่ำรวยที่สุด เธออยากมีทั้งเสื้อผ้าที่สวยงามและอาหารที่หรูหรา

 

โชคดีที่เธอสามารถบรรลุในสิ่งที่เธอต้องการในที่สุด

 

หลังจากแต่งงานกับหยูเฟิงซู องค์ชายสี่แห่งอาณาจักรเซิง เสี่ยวเฟยได้อยู่ในอ้อมแขนของทองคำและทุ่งดอกไม้ ผู้คนต่างคนอิจฉาเธอ แต่เมื่อวันนึงเธอถูกโยนตกลงมาจากภูเขาสูงนั้น ผู้คนกลับชี้มายังเธอ พร้อมกับหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของเธอ

 

ใบหน้าอันงดงาม ที่เคยเธอภาคภูมิใจหายไป แก้มทั้งสองของเธอถูกแผดเผาด้วยเหล็กร้อน แขนขาของเธอก็ถูกตัดขาดเธอไม่หลงเหลืออะไรอีก

 

ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระยะไกล และค่อยๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  ฝีเท้านั้นหยุดอยู่หน้าห้องขัง เสี่ยวเฟยรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะหันไปมองได้  แต่เธอก็รู้อยู่แล้วว่าพวกคนที่มาคือใครมัน

 

“ข้าหวังว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่” คำพูดนี้มันดูคล้ายกับคำพูดของหยูเฟิงซู  ที่จะชอบพูดออกมาในทุกวันเพื่อตรวจสอบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

 

ก่อนหน้านี้ หยูเฟิงซู นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเฝ้าดูในขณะที่แขนขาของเธอถูกตัดออก เขานั่งยิ้มและดื่มไวน์พร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่นั่งบนตักเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและความรังเกียจ เขายังแสดงออกอย่างมีความสุขที่ได้เห็นเธอกรีดร้องและขอความเมตตา

 

ดวงตาของหยูเฟิงซูเป็นประกาย เมื่อเขาเห็นรูปร่างที่น่ารังเกียจของเธอ ทันใดนั้นเขาก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อและปิดจมูกของเขา กลิ่นที่น่าขยะแขยงแทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่งภายในห้องขัง

 

เสี่ยวเฟยไม่ตอบและยังคงจ้องมองไปยังดวงจันทร์ เหมือนที่เธอทำมาโดยตลอดในหลายวันที่ผ่านมา เธอถูกจ้องมองด้วยสายตาที่เย็นชาหยูเฟิงซู

 

เธอรู้ว่าหยูเฟิงซูไม่ชอบถูกเพิกเฉยแม้แต่น้อย เขาชอบทำตัวเป็นศูนย์กลางของผู้คน ทุกที่ที่เข้าไปจะต้องมีคนชื่นชมเขา และตอนนี้เมื่อเขาเห็นว่าเสี่ยวเฟยแหงนมองขึ้นไปที่หน้าต่างเขาก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ

 

บางทีเขาอาจจะเคยชิน กับการที่เสี่ยวเฟยที่เคยมองมายังเขาด้วยความชื่นชมและความรักมาโดยตลอด เเต่ตอนนี้เธอทำกับเขาเหมือนคนไม่รู้จัก มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก

 

“ทหาร! ไปปิดกั้นหน้าต่างบานนั้นอย่าให้แสงจากภายนอกเข้ามาในห้องขังที่น่าขยะแขยงนี้ได้!” เขาตะโกนสั่งทหารทันที

 

ทหารยามที่อยู่ด้านหลังก็ตกตะลึงทันที จากนั้นพวกเขาก็ยิ้มเมื่อพวกเขาได้ยินคำสั่งจากเจ้านาย เมื่อแสงจากภายนอกหายไป เสี่ยวเฟยถอนหายใจด้วยความผิดหวังและหลับตาลง

 

“ตอนนี้เจ้ายินดีที่จะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าซ่อนมันไว้ที่ไหน” เขาถามแต่ไม่กล้าเข้าใกล้และแตะต้องกรงเหล็กของห้องขัง

 

แน่นอนว่าหยูเฟิงซูไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบเธอ เขาเพียงต้องการรู้ว่าเสี่ยวเฟยซ่อนกล่องที่เธอขโมยมาจากแม่ของเขา สนมเซียน ผู้ซึ่งล่วงลับไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงยังไม่ฆ่าเธอ หลังจากที่เธอนั้นไร้ประโยชน์กับเขาเเล้ว เขาเเค่ต้องการสิ่งของที่เธอขโมยมาเเค่นั้นเอง เขาต้องการกล่องนั่น

 

อันที่จริงเขาไม่ต้องการเสียเวลากับเธอเลยแม้แต่น้อย หากเขารู้ว่าเธอซ่อนกล่องไว้ที่ไหน แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวเฟยซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด เธอไม่ยอมเปิดปากบอกเขาถึงแม้เธอจะโดนทรมานและได้รับความเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม

 

เสี่ยวเฟยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า แต่ภายในใจของเธอ กำลังคร่ำครวญถึงการสูญเสีย

 

“เสี่ยวเฟย!” หยูเฟิงซูตะโกนออกมาด้วยความโกรธ สีหน้าของเขาดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเริ่มจะหมดความอดทนในที่สุด

 

“มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะจำชื่อของข้าได้ หยูเฟิงซู” ในที่สุดเสี่ยวเฟยก็พูดออกมา ขณะที่เธอพูดถึงชื่อของหยูเฟิงซู น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และในความจริงเส้นเสียงของเธอถูกทำลายไปนานแล้ว เสียงที่เธอพูดออกมาจึงฟังดูแย่มาก

 

เมื่อเห็นว่าเธอเต็มใจจะบอกเขา หยูเฟิงซูก็กล่าวว่า “บอกข้ามาว่าเจ้าซ่อนมันไว้ที่ไหน แล้วข้าจะปล่อยให้ศพของเจ้าไม่บุบสลาย”

 

น้ำเสียงของเขาฟังดูเยือกเย็นไร้ความอบอุ่น ไม่เหมือนที่เขาเคยแสดงให้นางเห็นในอดีต

 

เสี่ยวเฟยอยากจะหัวเราะเยาะใส่เขา เธอยังคงปฏิเสธที่จะเปิดปากของเธอ เพราะเธอไม่อยากเสียพลังงานของเธอไปกับเขา คำกล่าวของเขามันฟังดูโง่เขลา เขาคิดได้อย่างไรว่าถ้าหากเธอไม่มีแขนขาและใบหน้าเช่นเดิม ก็ถือว่า ‘ศพของเธอไม่บุบสลาย’

 

คนเหล่านี้ต้องการจะทรมานเเละสร้างความเจ็บปวดให้กับชีวิตเธอ เพื่อความสะใจเเละความสนุกสนานนี้คือจุดประสงค์ของพวกเขา ร่างกายที่บอบช้ำจากการถูกทรมานซ้ำแล้วซำ้เล่าของเธอ มันชินชาเเละไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป เธอรู้สึกได้ว่าความตายเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที

 

และเธอก็รู้ว่า

 

ลมหายใจของเธอค่อยๆเเผ่วลง เมื่อความเจ็บปวดที่หน้าอกของเธอก็เพิ่มขึ้น เธอเปิดจิตวิญญาณของเธอเพื่อต้อนรับความตายที่ใกล้เข้ามา

 

“ในที่สุด ข้าก็ได้หลับตาและเป็นอิสระเสียที”

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

Score 10
Status: Completed

กำเนิดนางร้าย The Birth of a Villainess

 

“เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เราเป็นหุ้นส่วนในอาชญากรรม หากเจ้าเป็นแม่มด ข้าก็จะเป็นพ่อมดของเจ้า”

หลังจากการตายอย่างโหดร้ายของเธอ เสี่ยวเฟยพบว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของคุณหนูที่งดงามจากตระกูลหลินผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเดียวกันกับเธอ

เธอเกิดมาพร้อมกับใบหน้าอันงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ เอาชนะใจชายทุกคนและแม้แต่ผู้หญิงก็ต่างอิจฉาในชีวิตที่แล้วของเธอ

แต่เธอกลับตกหลุมรักองค์ชายอย่างโง่เขลา และถูกลิขิตให้ตายอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของคนที่เธอรัก

ในชีวิตและร่างกายใหม่นี้ กลอุบายอันชั่วร้ายและเรื่องอื้อฉาวก็ยังวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ แม้จะเกิดใหม่แล้วก็ตาม

เธอก็เริ่มทำแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้นและจะโหดเหี้ยมต่อผู้ที่คิดต่อต้านเธอ

ชายหนุ่มและและหญิงสาวต้องโค้งคำนับ

บัลลังก์ทองคำต้องถูกส่งต่อ

อาณาจักรจะต้องถูกพิชิตและเผาทำลาย

หัวใจต้องถูกแย่งชิง

ด้วยยุคอันโหดร้ายเช่นนี้ ผู้คนทำได้เพียงพยายามบังคับและป้องกันตนเองจากอันตราย

อย่างไรก็ตาม ใครจะคิดว่าชายที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเย่อหยิ่งจะเข้ามาในชีวิตของเสี่ยวเฟยอย่างกะทันหัน? และเขายังกระซิบข้างหูของเธออย่างไร้ยางอายว่า “ศัตรูของภรรยาข้าก็คือศัตรูของข้า และความปรารถนาของภรรยาข้าก็คือความปรารถนาของข้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้ายังมีความปรารถนาอีกอย่างหนึ่งที่มีแต่ภรรยาข้าเท่านั้นที่จะมอบให้แก่ข้าได้”

“นั่นคือภรรยาข้าต้องกลายเป็นอาหารเช้า กลางวัน เย็น ให้แก่ข้า”

เสี่ยวเฟย: “……”

Options

not work with dark mode
Reset