กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 33 – ซึ่งหายาก
ภายในรถม้า กลุ่มจากตระกูลบัลวันกำลังย้อนกลับไปที่คฤหาสน์ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องอยู่ที่หน้าผาของเทือกเขาอีกต่อไป
พวกเขาได้ส่งสัญญาณว่าจุดที่ตั้งของค่ายนั้นอยู่ที่ใดและปล่อยตัวประกันทุกคนให้รอใครสักคนจากตระกูลขุนนางมารับไป ในระหว่างที่หญิงเหล่านี้ถูกพวกผู้ฝึกตนคุมตัวอยู่นั้นพวกเธอได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเหยื่อทั่วไปโดยทหารธรรมดา
บรรยากาศระหว่างการเดินทางกลับช่างหม่นหมอง ทุกคนต่างอยู่ในความเงียบแต่ภายในใจกลับว้าวุ่น
บางครั้งสายตาของพวกเขาก็มองทอดลงบนซากศพที่นอนอยู่บนที่นั่งไม้ของรถม้า บางครั้งก็มองศีรษะของออร์สันบนพื้น
หลังจากที่เขามองศีรษะของจอมเวทย์ โนอาห์ก็ทลายความเงียบลงเนื่องด้วยความที่ต้องการความชัดเจนในคำถามที่ขัดข้องอยู่ในใจของเขา
“หากเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในตระกูลขุนนางเขตในก็แทบจะไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เรียนรู้คาถาเวทมนตร์เลยหรือ?”
ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจากคำถามของโนอาห์แต่จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าสหายร่วมสู้กันพวกเขาแท้จริงแล้วยังคงเป็นเพียงแค่ เด็กคนหนึ่ง
มาร์คเผยรอยยิ้มอันซับซ้อนและพูด “ข้ามั่นใจว่าอาจารย์ของเจ้าได้บอกถึงเรื่องนี้กับเจ้าไว้บ้างแล้ว แต่ข้าจะเสริมให้อีกสักหน่อยก็แล้วกัน เจ้าอาจเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองได้พยายามมากพอที่เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างเสียไม่ได้ เรื่องที่เจ้าสงสัยมันเป็นเรื่องจริงแต่จริงในระดับหนึ่งเท่านั้น” เขาชี้ไปที่ศพบนพื้นและว่าต่อ “ซูซานคือหนึ่งในสามแข็งแกร่งที่สุดของเขตนอก รองจากอาจารย์ของเจ้า และท่านสารวัตร นางรับใช้ผู้พิทักษ์เขตนอกมามากกว่ายี่สิบปี เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมนางถึงไม่ได้รับเคล็ดวิชาที่สูงกว่าอันดับสาม?”
โนอาห์ตอบกลับทันที “เพราะนางไม่ได้อยู่ในเขตในรึ?”
แซนดี้พูดขึ้นมาในที่สุดและแก้ไขคำตอบของโนอาห์ “ไม่ใช่ เพราะนางมีความสามารถและความตั้งใจต่างหาก”
มาร์คพยักหน้ากับคำตอบและพูดว่า “เจ้าได้เห็นพลังของคาถาเวทมนตร์แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากพวกขุนนางมอบพลังเช่นนี้กับใครสักคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา?”
‘ผู้ฝึกตนเพียงแค่คนเดียวเมื่อมีคาถาเวทมนตร์ในมือก็สามารถฆ่าและทำให้คนห้าคนบาดเจ็บได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็อาจมีคนที่แข็งแกร่งกว่าในด้านอื่นๆ อยู่บ้าง’
ครั้งนี้คำตอบเป็นที่ชัดเจน “การก่อกบฏ”
มาร์คพยักหน้า รอยยิ้มของเขาเริ่มซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม “ถูกต้อง ผู้ที่มีความสามารถอาจไม่ยินดีที่จะอยู่ในการควบคุมจากตระกูลขุนนางอีกต่อไป หลังจากที่เขาได้มาซึ่งพลังที่สามารถรับมือกับคนพวกนี้ได้ เจ้าอาจคิดว่าคงหาทางได้เพราะเจ้าได้รับรางวัลเป็นศิลปะอันดับสามแต่ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าอย่าง นั่น คือสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้วที่พวกเขาจะมอบให้แก่เจ้าได้ จำอาศิรของลมหายใจที่เจ้ามอบให้พวกเขาได้ใช่ไหม นั่นคือหนึ่งในสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนระดับล่าง และเจ้ายังได้อาจารย์ของเขาไปนำส่งอาศิรนั่นด้วยตัวเองอีก ข้าเกรงว่าหากเจ้าไม่ได้ความช่วยเหลือเหล่านี้เจ้าก็คงจะได้รับเพียงแค่ทองจำนวนหนึ่งแค่นั้น”
โนอาห์จำครั้งที่เขายืนอยู่ข้างแร่สีฟ้านั่นได้ อาการบาดเจ็บของเขาได้รับการรักษาและวัฏจักรที่สองของเขาก็สมบูรณ์ ‘มันเป็นของดีอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนพวกนั้นถึงตบรางวัลอย่างศิลปะการต่อสู้ระดับสูงเป็นการตอบแทน’
“แต่สำหรับคาถาเวทมนตร์ มันมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้น” มาร์คว่าต่อ “อย่างแรกคือเจ้าต้องเป็นจอมเวทย์ที่อย่างน้อยต้องอันดับหนึ่งขึ้นไปเพื่อเรียนรู้คาถาไม่เช่นนั้นทะเลแห่งสติของเจ้าจะไม่อาจทานต่อแรงกดดันของคาถาได้ ผู้ฝึกตนจำนวนมากมักใช้เวลาไปกับการฝึกฝนในด้านอื่นๆ ที่มอบพลังได้เร็วกว่าการนั่งจ้องรูนเป็นเวลาหลายๆ ปี ซึ่งนี่จะเป็นวิธีที่ใช้ลดจำนวนผู้ที่กระเสือกกระสนให้ได้มาซึ่งคัมภีร์เวทมนตร์ได้จำนวนมากเลยทีเดียว”
“นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องเจตคติของบุคคลนั้นๆ ด้วย หากเจตคติของเจ้าไม่ตรงกับธาตุของคาถา พลังของคาถาก็จะลดลงไปอย่างมหาศาล จอมเวทย์จะรับใช้ตระกูลขุนนางที่สะสมคาถาต่างๆ มากกว่าการที่จะไปขโมยมาด้วยตัวเองซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ไปขโมยมานั้นมันจะใช้ดีกับเจ้าเสมอไปนะ ข้าเชื่อว่าออร์สันเลือกที่จะก่อกบฏเพราะท้ายที่สุดเขาพบคาถาที่ตรงกับเจตคติของเขาเอง”
‘งั้นเจตคติของเขาคือไฟสินะ ฉันยังไม่รู้ของตัวเองจนกว่าตันเถียนจะปรากฏซึ่งก็หมายความว่าค้นหาวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งคาถาเวทมนตร์ไปก็เปล่าประโยชน์’
“อย่างสุดท้ายก็คือ ความหายากในธาตุของเจ้า คาถาที่พบมากที่สุดคือธาตุไฟและน้ำ ตามมาด้วยดินและลม สายฟ้านั้นเหนือทุกธาตุโดยเฉพาะธาตุแสงและมืด แน่นอนว่าธาตุที่หาได้ยากกว่าย่อมเป็นคาถาที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับคาถาในระดับเดียวกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่โนอาห์ได้รับเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็ถามแทรกขึ้นมา “แล้วทำไมถึงต้องมีการแบ่งแยกด้วย?”
มาร์คคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะว่าต่อ “ความจริงก็คือ การสร้างคาถาสักคาถาขึ้นมานั้น กระบวนการกินเวลาร่วมนีบพันปีและมีเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่เก่งที่สุดที่มาพร้อมกับความสามารถด้านการสร้างภาพเวทมนตร์วาดคาถาขึ้นมา ตามความรู้ทั่วไป ธาตุที่หายากนั้นมีสิ่งที่ยากก็คือการสร้างแผนภาพของมันขึ้นมา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมีคาถาตามธาตุที่หายากน้อยลงและนั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาจารึกชื่อไว้ว่า ‘หายาก’”
จากนั้นมาร์คก็ชี้มาที่ตัวเองและพี่ชายของเขา “ธาตุของเราคือสายฟ้า ถึงแม้มันจะเป็นธาตุที่หายาก แต่เนื่องด้วยการสะสมที่ตระกูลบัลวันมีนั้น พวกเขามีคัมภีร์เหล่านี้อยู่ ทีนี้เจ้ายังจะคิดว่าพวกเขาจะมอบของแบบนี้ให้เราก็ต่อเมื่อเราอยู่ในเขตในอยู่อีกไหม?”
แซนดี้ไม่รอให้โนอาห์คิดตอบและโพล่งออกมา “คำตอบก็คือ ไม่! ด้วยนิสัยของเรา เขตในจะไม่ไม่วันยอมมอบพลังแบบนั้นหใอย่างแน่นอน พวกเขาไม่มีวันไว้ใจเรา ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเรายังคงระเหินระหกอยู่ที่เขตนอกทำภารกิจแบบนี้ทั้งๆ ที่เราทั้งคู่คือจอมเวทย์อันดับหนึ่งแล้ว?”
‘ทั้งคู่เป็นจอทเวทย์จริงๆ สินะ ไม่ใช่แค่หน่วยสอดแนมธรรมดา’
“น้องข้าว่าถูกต้องแล้ว พลังของเราจะเพิ่งสูงขึ้นกับคาถาที่มีธาตุที่หายากในกลุ่มของทักษะความสามารถของเรา ด้วยเหตุนี้ เขตในจึงไม่ยอมให้เราเข้าไปและปล่อยเราอยู่ตามเวรตามกรรมที่เขตนี่”
โนอาห์รู้สึกสับสน “ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมพวกเจ้าถึงยังรับใช้ตระกูลบัลวันอยู่ล่ะ?”
มาร์คยิ้ม “เพราะมันเป็นที่เดียวที่เราจะได้รับในสิ่งที่ผู้ฝึกตนควรได้ยังไงล่ะ และในตระกูลที่ใหญ่กว่านี้มีการแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงรางวัลในหมู่ผู้คนที่ระดับเดียวกันกับพวกเราสูง ทางเลือกสุดท้ายคือไปจบที่สำนักในเมืองหลวงแต่อนิจจา…” เขาขยิบตาให้โนอาห์ “พวกเขารับเฉพาะผู้ที่อายุต่ำกว่าสิบแปดปีเท่านั้น”