กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 30 – การต่อสู้
กลุ่มของตระกูลบัลวันมาถึงตีนหน้าผาของเทือกเขา พวกเขากระโดดออกจากรถม้าและจ้องมองต้นไม้โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ที่จริงจัง เนื่องจากการต่อสู้เริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาทุกขณะ จากปกติที่จะมีมุขตลกและการบ่นด่าก็ได้หายไป ปรากฏเพียงแค่ความตั้งใจที่แสดงออกชัดผ่านดวงตาทุกคู่
พวกเขาจะไปถึงเร็วกว่ากำหนดหากวิ่งไปตลอดเส้นทาง แต่พวกเขาก็ให้ความสำคัญกับสภาพร่างกายมาเป็นอันดับแรก ดังนั้นพวกเขาจึงพักในช่วงกลางคืนในซากหมู่บ้านร้างและออกเดินทางด้วยรถม้าอีกครั้งก่อนรุ่งสาง
ยังคงเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนจะถึงเที่ยงวัน ถึงแม้พระอาทิตย์จะขึ้นสูงท่ามกลางท้องฟ้า แต่ระยะการมองเห็นพื้นที่บนเทือกเขาก็ถูกจำกัดด้วยต้นไม้จำนวนมาก
มาร์คคือคนแรกที่ทำลายความเงียบระหว่างกลุ่ม
“ถ้าพวกมันยังอยู่ที่นี่ ก็น่าจะต้องพบทหารเฝ้ายามรอบๆ ค่ายแน่”
ทุกคนต่างพยักหน้า
“ภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยกับเรา การส่งคนเพื่อไปสอดแนมจึงเป็นความคิดที่ดี พบพวกมันเมื่อใดค่อยมาคิดวางแผนโจมตี” ซูซานว่า
แซนดี้ยกแขนคล้องคอมาร์คและประกาศออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้าขอเสนอสองพี่น้องผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งเขตนอก”
ในที่สุดโนอาห์ก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถระบุตำแหน่งของหมาป่าอัสนีได้ก่อนเขา ‘อย่างนี้เองสินะ อยากรู้จริงๆ ว่าพวกเขาเก่งเรื่องการสอดแนมหรือเพราะมีพลังงานจิตที่สูงจึงทำให้สามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างง่ายดายกันแน่’
เขาพยามคิดถึงจุดแข็งที่แท้จริงของเพื่อร่วมกลุ่มอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็แทบไม่ได้แสดงถึงพลังออกมาให้เห็นแบบชัดเจนเลย
เว้นเสียแต่อีธาน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาวุธที่เขาใช้นั้นคืออะไร
“เจ้าสองคนล่วงหน้าไปก่อน ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ด้วย แล้วเราจะรีบตามไป”
หลังจากสิ้นคำสั่งของซูซาน พวกเขาก็ตามติดมาร์คและแซนดี้ไป พวกเขาจะแยกออกเป็นสองทางก่อนจะกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งและมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ได้รับการยืนยันแล้ว
หลายชั่วโมงผ่านไป ไม่มีใครในกลุ่มพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวระหว่างการสำรวจพื้นที่
จากนั้นแซนดี้และมาร์คก็ตรงมาหาพวกเขาและส่งสัญญาณให้เงียบ พวกเขานั่งยองลงกับพื้นและพูดเสียงเบา
“เราเจอค่ายห่างออกไปทางนั้นแค่ไม่กี่นาที น่าจะเป็นพวกมันเพราะว่าได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังออกมาจากที่นั่น”
“พวกทหารธรรมดาดูเหนื่อยล้าและเซื่องซึม ข้าเชื่อว่าพวกมันคงไม่ทำอะไรอื่นนอกจากขืนใจผู้หญิงตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา โชคดีของเจ้านะโนอาห์”
เนื่องจากหน้าที่ในการรับมือกับกลุ่มทหารที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนคือโนอาห์ นี่จึงเป็นข่าวดีสำหรับเขา ชัดเจนว่าไม่มีใครสนใจว่าชะตากรรมของตัวประกันจะเป็นอย่างไร
“แล้วผู้ฝึกตนล่ะ?”
ซูซานถาม
“มีคนหนึ่งอยู่จุดสูงสุดเหนือค่ายน่าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด เรารู้มาเท่านี้เพราะกลัวจะถูกจับได้”
“มีอยู่ห้าคนที่ด้วยกันที่เราต้องกังวล ส่วนนอกนั้นก็เป็นแค่พวกทหารกระจอกทั่วไปเท่านั้น”
แซนดี้และมาร์คอธิบายโดยแบ่งหัวข้อกันไปมา ทำให้โนอาห์เกือบจะแน่ใจว่าการฝึกตนสร้างความเสียหายต่อสมองก็วันนี้ เขาคิดว่าเขาต้องถามอาจารย์ถึงเรื่องนี้เมื่อกลับไป
“แล้วเราจะดำเนินการยังไง?”
เขาถาม และสายตาทุกคู่ต่างเบนไปหาซูซานเนื่องจากเธอคือหัวหน้าของภารกิจนี้
“ข้าจะตรงเข้าไปท่ามกลางพวกมันและเผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่งที่สุด ในขณะที่พวกมันกำลังไล่ตามข้า มาร์ค แซนดี้ และอีธานจะรอซุ่มโจมตีผู้ฝึกตน ลดจำนวนพวกมันให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนโนอาห์รับมือกับพวกลูกกระจ๊อก เมื่อสถานการณ์คงที่ เราจะตามล่าพวกที่เหลือ จำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
‘เธออาสาเป็นเหยื่อล่อให้งั้นเหรอ?’ โนอาห์รู้สึกสงสัยแต่ก็ยังต้องยึดตามแผนการ หากซูซานประสงค์ที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง นั่นก็เพราะเธอได้ตัดสินใจแล้ว
พวกเขาเคลื่อนที่ตรงไปยังบริเวณค่ายและเมื่อทุกคนพร้อม ซูซานก็กระโดดออกไป เร่งฝีเท้าตรงไปหาเป้าหมายของเธอ
“ตามข้ามาหนุ่มๆ” แซนดี้ว่าขณะที่ทั้งเขาและมาร์คชักมีดออกมาจากเสื้อ อีธานชักดาบใหญ่ออกจากฝัก โนอาห์เองก็ทำเช่นเดียวกันพร้อมกับดาบบนหลัง
พวกทหารไม่ทันได้สังเกตเห็นซูซานเนื่องจากเธอวิ่งเร็วเกินไป จนเธอวิ่งไปถึงครึ่งทางผ่านค่ายจึงมีใครบางที่ส่งสัญญาณเตือน
“ศัตรู!”
ทันใดนั้นค่ายเต็มไปด้วยความโกลาหล ทหารต่างหยิบดาบของตัวเองและวิ่งออกไปจากพื้นที่
เมื่อซูซานเข้าถึงจุดสูงสุดของค่าย ชายคนหนึ่งก็กระโดดออกมาจากเต็นท์และเหวี่ยงดาบใส่เธอทันที ซูซานยกแขนและดาบเพื่อยั้งการโจมตี เสียงของเหล็กกระทบเหล็กสนั่นหวั่นไปไปทั่วบริเวณ
“ตอนนี้แหละ!”
มาร์คตะโกน และกลุ่มที่ซ่อนอยู่รอบนอกค่ายก็พุ่งตรงไปยังทางเข้า แซนดี้และมาร์ควิ่งตรงไปยังทิศทางของซูซาน ส่วนอีธานเหวี่ยงดาบของเขาเป็นครึ่งวงกลมเพื่อกำจัดทหารพร้อมกันสามคน จากนั้นก็ตามไปยังทิศทางเดียวกันกับอีกสองคน
โนอาห์คือคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวและถือโอกาสที่เพื่อนของเขาสร้างความสับสนขึ้นย่องเข้าไปในกลุ่มของทหารหนีทัพ รอยเลือดสาดกระเซ็น ศีรษะกลิ้งผ่านไปตามทาง ยิ่งเขาฆ่าไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าใกล้อีธานและคนอื่นๆ มากขึ้น
เมื่อเขามาถึงอีกฝั่งหนึ่งของค่าย ทหารห้าคนก็กลายเป็นศพกองอยู่บนพื้นแล้ว ฝั่งนี้ ซูซานกำลังยับยั้งอาวุธนานาชนิดด้วยมือขณะพยายามเข้าถึงเป้าหมายให้จงได้ แซนดี้และมาร์คกำจัดศัตรูไปได้หนึ่งคนจากการร่วมมือกันที่ยอดเยี่ยมของทั้งคู่ แต่หลังจากนั้นก็ถูกล้อมโดยผู้ฝึกตนสามคนเข้ามาขวางทางเดินของทั้งคู่
อีธานกำลังสู้กับชายร่างสูงที่ใช้ขวานขนาดใหญ่
ซูซานพลิกฝ่ามือของเธอเพื่อปล่อยคลื่นกระแทกใส่ทหารสองคนที่กำลังสู้อยู่กับเธอทำให้เกิดอาการมึนงงไปชั่วขณะ เธอรีบคว้าจับศีรษะศัตรูและบีบด้วยกำลังอันมหาศาล ศีรษะของชายผู้โชคร้ายแตกกระจายกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อสดๆ แต่เธอไม่ได้แม้แต่มองก่อนจะกลับไปยังทิศทางเดิม ชายอีกคนข้างๆ เธอเกิดความกลัวจนไม่อาจกระทำการใดๆ เพื่อขัดขวางผู้หญิงที่คล่องแคล่วว่องไวคนนี้ได้
โนอาห์หันกลับไปเผชิญหน้ากับทหารคนอื่นๆ พร้อมกับปล่อยคลื่นกระแทกที่ดูเหมือนเป็นการโจมตีที่มองไม่เห็นใส่ อีธานใช้การเคลื่อนไหวทำลายล้างเพื่อทำให้ขวานขนาดใหญ่แตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็แทงดาบของเขาเสียบเข้ากลางอกของชายร่างสูง
แซนดี้และมาร์คหลบการโจมตีของชายทั้งสามคนได้อย่างว่องไว ศัตรูฟันดาบด้วยความรวดเร็วใส่ทั้งคู่แต่พวกเขาก็ยังต้านทานการโจมตีเอาไว้ได้ทุกครั้ง จนทหารหนีทัพทั้งสามได้รับบาดแผลที่ข้อมือและแขนเป็นสิ่งตอบแทน
โนอาห์ฆ่าไปอีกสามคนและยังเหลืออยู่อีกสองคนที่ยังคงรับการโจมตีของเขาได้อยู่
ตอนนี้เหมือนทหารหนีทัพอยู่อีกเจ็ดคน โดยมีอยู่สามคนที่ได้รับบาดเจ็บ
ขณะนั้นเอง เปลวไฟทรงกลมขนาดใหญ่ก็ตกลงมาจากจุดสูงสุดของค่ายและหยุดลงตรงกลางสนามรบ จนทำให้แทบจะไม่เห็นร่างของซูซานท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนระอุเลย