กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 11 – ทางลัด
โนอาห์ตื่นขึ้นมายามรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ แสงแรกของวันสาดส่องเข้ามารบกวนการนอนของเขา
เขาลุกจากเตียงและเดินไปล้างหน้า
‘แสงตอนเช้าไม่เคยรบกวนฉันมาก่อน!’
เขาเข้าสู่ทะเลแห่งสติโดยเพ่งสมาธิไปยังกึ่งกลางของสมอง เมื่อครึ่งหนึ่งของร่างกายโปร่งแสง เขาก็ลืมตาขึ้นและพบว่าระดับน้ำทะเลกลับมาอยู่ในระดับเดิมแล้วคือครึ่งหนึ่งของทรงกลม
‘นอนหนึ่งคืนก็เพียงพอที่จะเติมเต็มน้ำทะเลได้ครึ่งหนึ่งสินะ! เดี๋ยวจะลองทดสอบอีกครั้งตอนเย็นว่าฉันจะทดการฝึกได้นานแค่ไหน’
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือเนื่องจากว่าการโยกย้ายจิตใจของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วๆ ไปที่อายุเท่ากันมาก โดยรวมแล้ว อายุจิตใจของเขาประมาณสามสิบห้าปี และเหตุการณ์ต่างๆ ในทั้งสองชีวิตของเขาช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงสามารถอดทนมองอักษรรูนได้นานกว่าคนหนุ่มทั่วไป หากเด็กอายุเพียงสิบปีนั่งมองรูนคีเซอร์รวดเดียวสี่ชั่วโมง อาจทำให้จิตใจของเขาแตกสลายได้
เมื่อล้างหน้าในภาชนะ มันทำให้เขาขนลุกเล็กน้อย เนื่องจากน้ำเย็นกว่าปกติ
“ทำไมน้ำถึงเย็นขนาดนี้?”
เขาถามคนรับใช้พร้อมทั้งนี้ไปยังภาชนะ
คนรับใช้เอามือจุ่มลงไปและมองโนอาห์กลับด้วยสีหน้าที่สับสน
“คุณหนู อุณหภูมิของน้ำก็เท่าเดิมเหมือนเช่นเคยนะเจ้าคะ หรือคุณหนูจะไม่สบาย? ให้ดิฉันตามคุณหญิงดีไหมเจ้าคะ?”
โนอาห์ประหลาดใจเล็กน้อยกับคำตอบของสาวรับใช้ จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดบางอย่าง
‘เป็นไปได้ไหมว่าประสาทสัมผัสของฉันแข็งแกร่งขึ้นผ่านเพียงบทเรียนเดียวจากการฝึกฝน? มันก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนั้นนี่?’
“ไม่เป็นไร เจ้าไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ”
เขาให้คนรับใช้ออกไปและกินมื้อเช้า
‘ไว้เจออาจารย์ค่อยไปถามก็แล้วกัน ตอนนี้ต้องตั้งใจฝึกรูปแบบดาบคู่ก่อน’
เขากลับมาที่ห้อง จากนั้นก็เปิดตำราศิลปะการต่อสู้และหยิบดาบสองเล่มขึ้นมา
เขาทำเช่นเดิมอย่างที่เขามักจะเคยทำเมื่อใดก็ตามที่ผู้พิทักษ์ “ให้” รูปแบบการต่อสู้หรือเคล็ดวิชา ก็คือการที่เขาขังตัวเองอยู่ในห้อง และฝึกฝนจนกว่าการเคลื่อนไหวต่างๆ จะกลายเป็นความเคยชิน
ครั้งนี้เขาพบความยากในการใช้ดาบสองเล่มไปพร้อมๆ กัน
‘ฉันคิดว่ามันน่าจะยากมากกว่าจะชินได้ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้บอกไว้ ทำได้แค่ฝึกฝนให้มากขึ้นจนกว่าจะสามารถใช้การเคลื่อนไหวพวกนี้ในการต่อสู้จริงได้’
หนึ่งวันผ่านไป
โนอาห์ออกมาจากห้องเพื่อมากินมื้อกลางวันและใช้เวลาช่วงมื้อเย็นไปกับการอ่าน การหลอมรวมนรกเจ็ดขั้น อยู่ในห้อง เมื่อเขารู้สึกเริ่มหิวอีกครั้งก็ถึงเวลาค่ำพอดี เขาปิดตำราและหยิบอักษรรูนคีเซอร์ออกมาจากเสื้อ เนื่องจากสิ่งที่มีค่าที่สุด เขามักจะเก็บไว้กับตัวเสมอ
เขาต้องรูนขณะนั่งลงบนเตียงและมองต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งระดับน้ำในทะเลแห่งสติต่ำกว่าหนึ่งส่วนห้าของทรงกลม จากนั้นเขาก็หยุดและพับแผ่นกระดาษ
ความรู้สึกอยากอาเจียนแล่นผ่านระบบทางเดินอาหารในร่างกายของเขา แต่เขายั้งเอาไว้ด้วยการหลับตาจนกว่าความรู้สึกนั้นจะหายไป หลังจากนั้นเขาก็มองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูว่าเขาใช้เวลาไปกับการฝึกฝนนานเท่าไหร่แล้ว
‘ประมาณสี่ชั่วโมง นั่นคงจะเป็นขีดจำกัดที่แท้จริงของฉัน ดูเหมือนว่าการฝึกฝนตลอดทั้งวันจะมีความเสียหายเกิดขึ้นในจิตใจ ไม่อย่างงั้นล่ะก็ฉันคงมั่นใจดันเวลาไปให้ถึงห้าชั่วโมงได้’
ถึงแม้ว่าเขาไปถึงขีดจำกัดของร่างกายที่สามารถต้านทานได้ ราวหนึ่งส่วนห้าของทรงกลม แต่เขายังอยู่ในทะเลแห่งสติได้ในเวลาเดียวกับเมื่อคืนก่อน เขาเพิ่มอีกคำถามลงไปในรายการคำถามที่เขาต้องนำไปถามกับอาจารย์หากได้พบกัน
‘ถ้าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาสดชื่นอีก ฉันก็จะฝึกเหมือนที่ฝึกวันนี้อีก การฝึกฝนทั้งวันเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยและอาการเจ็บในหัวนี่ก็ทำให้ฉันอยากล้มเลิก แต่ฉันก็ยังทนไหว! จะได้มาซึ่งพลังก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและความเจ็บปวด’
เมื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นอีกครั้ง เขาก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยร่างกายและจิตใจที่หมดเรี่ยวแรง ไม่นานก็หลับสนิท
เช้ารุ่งขึ้นมาถึง โนอาห์ตื่นขึ้นมายามรุ่งสางทันทีที่แสงในตอนเช้าผ่านหน้าต่างกระทบเปลือกตาของเขา
เมื่อตรวจสอบแล้วว่าทุกอย่างในทะเลแห่งสติเป็นไปด้วยความราบรื่น และความเจ็บปวดตามเนื้อตัวก็ฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ เขาจึงเลือกที่จะทำตามขั้นตอนเดิมเช่นเมื่อวาน เขาจะฝึกฝนรูปแบบดาบคู่ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง และจะอ่านการหลอมรวมนรกเจ็ดขั้นตอนกินมื้อเย็นรอจนกว่าจะย่อยหมด หลังจากนั้นก็ฝึกฝนอักษรรูนคีเซอร์ในตอนกลางคืนจนกว่าร่างกายของเขาจะส่งสัญญาณเตือนด้วยความรู้สึกที่อยากอาเจียน
และแล้ววันที่เขาจะได้พบกับวิลเลียมก็มาถึง
ณ ห้องกว้างเช่นเดียวกับสัปดาห์ก่อน โนอาห์กำลังนั่งคุกเข่ามองอาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขากำลังรอให้วิลเลียมหาวให้เสร็จก่อนการที่จะเริ่มขอให้เขาไขข้อสงสัยที่มี
“ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มฝึกฝนพลังงานจิต ข้าสังเกตเห็นแสงที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างระหว่างที่ข้ากำลังหลับตลอดเลย นอกจากนี้ ทุกอย่างก็ยัง เย็น หรือไม่ก็ อุ่นกว่าปกติ และข้าก็ยังมั่นใจอีกว่าข้าได้ยินเสียงคนรับใช้กระซิบกันแม้พวกเขาจะอยู่ที่ห้องอื่นหากข้าเพ่งสมาธิ”
โนอาห์ไม่เคยหยุดพักเลย และการเปลี่ยนแปลงด้านการรับรู้ของเขานับวันยิ่งเพิ่มชัดเยนยิ่งขึ้น
วิลเลียมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินครั้งแรก แต่ก็ยังจำได้ว่าเมื่อมาถึงตอนฝึก ลูกศิษย์ของเขานั้นดื้อรั้นเพียงใด เขาคิดว่าเขาควรต้องเพิ่มข้อจำกัดกับพฤติกรรมการฝึกฝนของโนอาห์ให้มากกว่านี้ ก่อนที่โนอาห์จะได้รับอันตรายจากความเหนื่อยล้า
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะฝึกฝนอักษรรูนคีเซอร์อย่างหนักเลยสินะ ข้ายังจำได้ถึงครั้งแรกที่ข้าเริ่มฝึกฝนพลังงานจิตตอนอายุได้สิบห้าปี ข้าทำได้ต่อเนื่องเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นก่อนจะเป็นลมล้มพับไป ข้าจำได้ว่าสารวัตรเรียกข้าว่า อัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก! ฮ่าๆ ไม่ต้องกังวลไป เมื่อเจ้าโตขึ้น ขอบเขตจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นและทำให้เขาฝึกฝนได้นานยิ่งขึ้น”
โนอาห์ไร้ซึ่งคำพูด เพียงแต่จ้องมองอาจารย์ด้วยดวงตาที่เบิกโพลง สีหน้าท่าทางของความภาคภูมิใจปรากฏชัดบนในความคิดของวิลเลียม
‘ใช่ ถูกต้อง อาจารย์ของเจ้าคืออัจฉริยะ นี่เจ้ากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับข้าอยู่งั้นรึ?’
รอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้าของเขาขณะคิดว่าในที่สุดเขาก็ได้รับความเคารพจากเด็กหนุ่มผู้นี้
‘เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน นี่เขาพูดว่าเป็นลมไปกลับจาก แค่ สองชั่วโมงเท่านั้นเองเหรอ? อัจริยะหาตัวจับได้ยาก หมอนี่เนี่ยนะ? แล้วถ้าเป็น อัจฉริยะ สองเท่า ที่หาตัวจับได้ยากล่ะ? อาจเป็นเพราะจิตใจของฉันผ่านมาถึงสองชีวิต มันก็เลยอาจจะถือได้ว่าเป็นจิตใจที่เต็มรูปแบบ ดังนั้นฉันก็เลยสามารถฝึกฝนได้เท่ากับช่วงเวลาของคนที่โตแล้ว ทั้งๆ ที่อายุของฉันแค่สิบปี จะพูดได้ไหมว่า ตราบใดที่ฉันไม่ขี้เกียจ จะไม่มีใครที่อายุเท่าฉันจะสามารถฝึกฝนเทียบเท่าฉันได้?’
ริมฝีปากโนอาห์เริ่มแห้งผากและจากนั้นเขาก็กลืนน้ำลายเอือก ขณะพยายามเปลี่ยนประเด็นสนทนาในเรื่องชั่วโมงการฝึกฝน เขาก็ตั้งคำถามกับวิลเลียมอีกคำถามที่เขาสงสัย
“ท่านอาจารย์ ท่านใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะจำอักษรรูนชนิดแรกได้?”
วิลเลียมยิ้มและพูดด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ
“ราวหกปี แต่จริงๆ แล้วควรจบในห้าปีหากท่านสารวัตรไม่มอบภารกิจให้ข้าเยอะขนาดนั้น”
‘แสดงว่า ถ้าฉันฝึกฝนต่อไปอย่างนี้ ฉันก็จะกลายเป็นจอมเวทย์อันดับหนึ่งภายในสามปีน่ะสิ! การดำเนินการอาจช้ากว่านั้นเนื่องจากข้ายังไม่มีตันเถียน แต่มันก็คุ้มแล้วนี่!’
โนอาห์ต้องการจะจบการสนทนาระหว่างเขากับอาจารย์ไว้เท่านี้และกลับไปที่ห้องเพื่อฝึกฝนต่อ เขาอดรนทนไม่ไหวที่จะได้สัมผัสว่าความรู้สึกถึงการร่ายคาถาเวทมนตร์นั้นเป็นอย่างไร
วิลเลียมหยุกท่าทางอันเย่อหยิ่งและมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าฝึกรูปแบบดาบคู่ด้วยใช่หรือไม่?”
“ขอรับท่านอาจารย์”
โนอาห์ตอบ จึงทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าเหตุผลหลักที่เขามาที่นี่วันนี้คืออะไร
“เจ้าไม่อยากแสดงให้ข้าดูสักหน่อยหรือ?”
“ได้ขอรับ! ท่านอาจารย์ ได้โปรดอย่าออมมือให้ข้า”
โนอาห์ลุกขึ้นยืนและหยิบดาบสำหรับฝึกซ้อมขึ้นมาสองเล่ม
“ข้าไม่ออมมือให้เจ้าแน่”
วิลเลียมว่า ขณะเก็บมือข้างซ้ายไว้ข้างหลังและมือข้างขึ้นมาทาบอก ด้านข้างแขนของเขาชี้ตรงไปยังโนอาห์
ทันใดนั้นเอง บรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไป