บทที่ 540 โทษสถานเบา
บทที่ 540 โทษสถานเบา
หัวเฟยเฟิ่งประหลาดใจเมื่อเห็นว่าถังคุนหาวมาที่นี่ด้วยตัวเอง “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้”
ถังคุนหาวสบตาหัวเฟยเฟิ่งก่อนจะพูดว่า “ผมมารับคุณกลับบ้าน” จากนั้นเขาหันไปมองถังหลานก่อนจะพูดด้วยสีหน้าห่วงใย “อาหลาน สบายดีนะ”
ถังหลานพยักหน้ารับ “สบายดีค่ะ”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
หลังจากถังคุนหาวทักทายไปสองสามคำ เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อนึกถึงหลานชายกับหลานสาว เขาจึงรีบถามขึ้นว่า “เด็กสองคนเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ต้องห่วงค่ะพ่อ พวกเขาสบายดี”
ถังหลานเห็นว่าถังคุนหาวพยายามจะหาเรื่องคุย จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเชิญชวน
หลังจากถังคุนหาวได้ยินอย่างนั้น เขาพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “อื้ม ดีเลย”
เวลานี้ถังคุนหาวได้พบฟักทองน้อยกับฟักขาวน้อยเป็นครั้งแรก หัวใจของเขาอ่อนยวบอย่างบอกไม่ถูก เด็กชายตัวเล็กน่ารักมาก ๆ เขากอดฟักขาวน้อยเอาไว้และไม่คิดจะปล่อยมือด้วยซ้ำ
หัวเฟยเฟิ่งเห็นถังคุนหาวเป็นถึงขนาดนั้นก็ตำหนิ “พอได้แล้ว ฟักขาวน้อยกำลังจะหลับ รีบวางเขาลงบนเตียงสักที”
ถังคุนหาววางเด็กน้อยลงอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ยังเฝ้ามองดูเด็กน้อยหลับก่อนที่จะเดินออกมา
หัวเฟยเฟิ่งนึกได้ว่าผู้เฒ่าเฮ่ออยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงเรียกถังคุนหาวเอาไว้ก่อนจะพูดว่า “ลุงกับป้าของอาหลานก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน ไปเยี่ยมทั้งสองคนกันเถอะ”
ถังคุนหาวทราบเรื่องของผู้เฒ่าเฮ่อและคนอื่น ๆ แล้ว เขาจึงพยักหน้าทันที
เมื่อผู้เฒ่าเฮ่อพร้อมภรรยาของเขาได้พบกับถังคุนหาว ทั้งสองดูจะประหลาดใจมาก “คุณ… คุณเป็นพ่อของอาหลานหรือ?”
“ครับ ผมอยากจะขอบคุณตระกูลเฮ่อมากที่ดูแลอาหลานเป็นอย่างดี ขอบคุณนะครับ”
แม้ว่าผู้เฒ่าเฮ่อกับภรรยาจะคิดว่าถังคุนหาวดูหนุ่มเกินไป แต่พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าแม้หัวเฟยเฟิ่งจะมีเส้นผมสีขาว แต่ใบหน้าของเธอก็ดูอ่อนเยาว์มากเช่นกัน ทั้งสองจึงเลิกคิดเรื่องนี้ก่อนจะตอบรับว่า “ไม่เป็นไร เป็นเพราะโชคชะตาลิขิตให้เราได้พบกับอาหลานน่ะ”
ถังคุนหาวและผู้เฒ่าเฮ่อพูดคุยกันอยู่นาน จนกระทั่งฝ่ายอาวุโสตระกูลจิงมาเชิญพวกเขาไปทานอาหาร
เป็นเพราะคุณย่าจิงรู้ว่าพวกเขาจะกลับไปเยี่ยมตระกูลถังในวันพรุ่งนี้ มื้อเย็นจึงกลายเป็นอาหารสุดหรูหรา
“คุณพ่อตา มาดื่มกันเถอะครับ”
แม้ชายตรงหน้าจะมีใบหน้าอ่อนเยาว์จนเทียบเท่าลูกชายคนเล็กของเขา แต่ผู้เฒ่าจิงเองก็รู้ว่าถังคุนหาวไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เขาจึงเรียกอีกฝ่ายเป็นญาติด้วยความสนิทสนม จากนั้นผู้เฒ่าจิงและผู้เฒ่าเฮ่อก็รวมตัวกันพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ส่วนทุกคนเองก็ทานอาหารอย่างมีชีวิตชีวา จนกระทั่งสิ้นสุดมื้ออาหาร ถังหลานและคนอื่น ๆ พาพวกเขากลับไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น ถังคุนหาวและหัวเฟยเฟิ่งพาถังหลานและครอบครัวกลับไปเยี่ยมตระกูลถัง
เมื่อมองทิวทัศน์คุ้นเคยรอบตัว หัวเฟยเฟิ่งก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เหมือนไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้ว ช่วงที่ฉันอยู่ในเมืองหลวง ทุกอย่างดูผ่อนคลายและสบายใจ แต่พอได้กลับมาที่นี่ ก็ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง”
ถังคุนหาวที่ได้ยินคำพูดของภรรยา ถึงกับพูดไม่ออก เขารู้ดีว่าสถานการณ์ที่บ้านค่อนข้างตึงเครียด จึงไม่แปลกที่ภรรยาของเขาจะชอบอยู่ข้างนอกมากกว่า
แต่เพราะนี่คือวันเกิดปีที่แปดสิบของผู้เฒ่าถัง ถังคุนหาวไม่ต้องการให้ใครได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากครอบครัวของเขา จึงหันมองหัวเฟยเฟิ่งก่อนจะพูดว่า “อย่าพูดแบบนั้นเลย รอจนกว่าพวกเราจะฉลองวันเกิดให้คุณพ่อเสร็จก่อน แล้วคุณจะกลับไปอยู่ในเมืองหลวงต่อก็ไม่เป็นไร”
หัวเฟยเฟิ่งพยักหน้ารับก่อนจะตอบว่า “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน หลังจากที่อาหลานกับคนอื่น ๆ ร่วมฉลองวันเกิดให้ผู้เฒ่าถังเรียบร้อย ฉันจะกลับไปเมืองหลวงพร้อมกับพวกเขา จะซื้อบ้านในเมืองหลวงและอยู่ที่นั่นเพื่อจะได้ไปมาหาสู่กับอาหลานได้สะดวก”
ได้ยินภรรยาของตนวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว ถังคุนหาวอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “แล้วผมล่ะ?”
“คุณ…”
หัวเฟยเฟิ่งเหลือบมองถังคุนหาว “คุณก็ต้องอยู่ในตระกูลถังสิ จะมาอยู่กับฉันในเมืองหลวงได้หรือ? หรือต่อให้คุณต้องการ ก็เป็นไปไม่ได้ ผู้เฒ่าถังและคนอื่นคงไม่ยินดีแน่นอน”
ปกติแล้วเธอก็อาศัยอยู่อย่างสันโดษ ไม่มีใครในตระกูลถังเคยได้พบเธอเลย ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ก็แค่สันโดษเหมือนเดิมเท่านั้น แต่ถังคุนหาวคือบุตรชายคนโตของผู้เฒ่าถัง เขามีเรื่องมากมายต้องทำ จะออกจากตระกูลถังไปนาน ๆ ได้ยังไง?
ถังคุนหาวเงียบไปสักครู่เมื่อได้ยินคำพูดของหัวเฟยเฟิ่ง เขารู้ว่าตัวเขาไม่สามารถออกไปไหนนาน ๆ ได้ แต่ด้วยวัยของเขาในตอนนี้ เขายังโหยหาวันที่ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า “ถึงผมจะเข้าเมืองหลวงนาน ๆ ไม่ได้ แต่ผมก็ไปอยู่ที่นั่นได้สักพัก ถ้าผมว่างผมจะไปหาคุณนะ”
“ถ้าว่างก็มาหาพวกเราได้ ฉันให้อาเจ้อช่วยหาบ้านให้แล้ว ถ้าเจอลานที่เหมาะสม ฉันจะซื้อมันทันที”
จิงเจ้อหรงพยักหน้ารับ “คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมดู ๆ ไว้บ้างแล้ว ถ้าเจอที่ที่เหมาะสมเมื่อไหร่ ผมจะพาไปดูทันที” ความจริงแล้วหัวเฟยเฟิ่งขอให้เขาช่วยหาบ้านให้ แต่การซื้อบ้านก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตานำพาด้วย และครั้งนี้เขายังไม่เจอสถานที่เหมาะสม ก็เลยยังไม่ได้พาพวกเขาไปเยี่ยมชมบ้านสักครั้ง
ถังคุนหาวที่ได้ยินคำพูดจิงเจ้อหรงจึงกล่าวขึ้นว่า “อื้ม ถ้าเจอสถานที่เหมาะ ๆ เราจะไปดูมันด้วยกัน”
หลังทุกคนพูดคุยเสร็จแล้ว หัวเฟยเฟิ่งหันมองถังคุนหาวด้วยแววตาจริงจัง “คุณพ่อคุณแม่สืบเรื่องถึงไหนแล้ว? ถ้าหากพวกเขาไม่กล้า ฉันสามารถตรวจสอบเรื่องด้วยตัวเองได้ ฉันไม่เชื่อว่าถังคุนเฉินกับคนอื่น ๆ จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่”
ถังคุนหาวเงียบไปนาน และถอนหายใจ “ความจริง… พ่อก็มีคำตอบในใจแล้วสำหรับเรื่องนี้… มันเกี่ยวข้องกับถังคุนเฉินจริง ๆ” ตอนนี้เขาไม่เรียกอีกฝ่ายว่าน้องชายอีกต่อไป เพราะคงไม่มีน้องชายคนไหนที่ต้องการทำร้ายลูกของพี่ชายได้
หัวเฟยเฟิ่งรีบถาม “แล้วคุณพ่อจัดการเรื่องนี้ยังไง? แล้วภรรยาของเขาล่ะ?”
“ผมก็อยากจะบอกเรื่องนี้กับคุณเหมือนกัน ตอนนี้พ่อส่งถังคุนเฉินกับหลานอี้ไป๋ไปที่ตงเป่ยเพื่อดูแลสวนสมุนไพร อีกตั้งหนึ่งปีกว่าพวกนั้นจะกลับมาที่นี่”
“อะไร… ให้ไปอยู่ทางตงเป่ยน่ะหรือ?”
หัวเฟยเฟิ่งไม่พอใจกับการลงโทษนี้เลย “คุณพ่อคิดว่าการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้เพียงพอแล้วหรือไง? ถ้าอาหลานไม่โชคดี เธอคงจะตายไปแล้ว แต่นี่เขากลับจัดการเรื่องนี้ด้วยโทษแค่นี้เนี่ยนะ?”
“ผมก็บอกพ่อแบบนี้ แต่พ่อบอกว่าเขามีคำอธิบายที่น่าพอใจให้กับเรา”
“คำอธิบายงั้นหรือ? อธิบายแบบไหน? ถึงเวลานั้นคุณพ่อจะพูดอะไรได้” เวลานี้หัวเฟยเฟิ่งไม่พอใจกับโทษที่ผู้เฒ่าถังปฏิบัติต่อถังคุนเฉินอย่างมาก ยิ่งได้ยินสิ่งที่ถังคุนหาวบอก เธอยิ่งไม่พอใจจนแทบกระอักเลือด
ถังคุนหาวเงียบไป เพราะเห็นชัดเจนว่าผู้เฒ่าถังลำเอียงเข้าข้างครอบครัวที่สองมากเกินไป
พอเห็นสามีเงียบไปแบบนั้น หัวเฟยเฟิ่งยิ้มเย้ยหยัน “ถ้าหากคุณคิดว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าถังทำถูกต้องแล้ว อย่างนั้นก็อย่าได้คิดจะมาอยู่ร่วมกับพวกเราในอนาคตเลยดีกว่า!”