ตอนที่ 36 แผนการ
วันที่ยูกิไม่ได้มาที่โรงเรียน ผมพยายามโทรหาหลายครั้ง แต่เธอไม่รับสายเลย
“อาริสุงาวะหรือ? ได้ยินมาว่าเธอเป็นหวัดนะ”
“จริงเหรอครับ”
ผมคิดว่าโรงเรียนคงได้ติดต่อเธอไปแล้ว ผมจึงถามคุณครู และได้รับคำตอบว่าเธอโทรมาบอกว่าป่วยเป็นหวัดเมื่อเช้า
เมื่อวานเธอท่าทางไม่ค่อยดี คงเป็นเพราะการนอนไม่พอและความเหนื่อยล้าที่สะสมมา
“ชมรมตอนเย็นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อผมเดินเข้าห้องประชุมสภานักเรียน ประธานนักเรียนถามด้วยท่าทางกังวล
“ไม่ค่อยรอบรื่นเลยครับ….”
“อืม… อาริสุงาวะซังหยุดไช่ไหม?”
“ใช่ครับ เธอเป็นหวัด”
“โอ้… ดีที่ไม่ใช่ปัญหาทางจิตใจนะ”
ประธานชมรมพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะโล่งใจ น่าจะได้รับข่าวเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างยูกิและชมรมวัฒนธรรมมาบ้าง
“คนอื่นๆ ไม่สามารถทำงานแบบอาริสุงาวะได้หรอกนะ พวกเขาอยากจะทำให้ตัวเองสบายๆ แค่ทำให้ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว คนแบบนั้นมีมากกว่า”
ตามที่เธอพูด เพราะวัตถุประสงค์ของยูกิกับสมาชิกของชมรมวัฒนธรรมมันต่างกัน
ยูกิต้องการให้งานเทศกาลปีนี้ประสบความสำเร็จ ส่วนสมาชิกชมรมวัฒนธรรมต้องการแค่ทำให้กิจกรรมสนุกและสร้างความทรงจำดีๆ
เมื่อเป้าหมายมันต่างกัน การยืนหยัดตามความคิดเห็นของตัวเองก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้ง
“จะทำไงดีล่ะ? ให้ฉันไปช่วยงานเรื่องชมรมตอนเย็นดีไหม?”
รองประธานชมรมยกมือขึ้นขณะที่กัดขนมปังยากิโซบะ
“เรื่องการไกล่เกลี่ยไม่ต้องห่วง ฉันมั่นใจในทักษะการสื่อสารของตัวเอง หรือไม่ก็แค่ทำสิ่งเดียวที่ฉันเก่ง นั่นคือการพูดคุย!”
รองประธานพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างและแผ่ความมั่นใจออกมาทั้งตัว
“ขอบคุณมากครับ ถ้าเราแก้ปัญหาไม่ได้จริงๆ ก็ฝากด้วยนะครับ”
“ฝากได้เลย!”
“ถ้ามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ รีบมาบอกนะ เพราะพวกเธอยังเป็นแค่ปีหนึ่งเท่านั้น”
ประธานชมรมพูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนราวกับพระโพธิสัตว์
แล้วผมก็เริ่มคิด ว่าจะทำยังไงดี
ผมนั่งเอนหลังในเก้าอี้และมองขึ้นไปที่เพดาน
ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปีนี้ก็คงจะแพ้เทศกาลปีที่แล้วอย่างแน่นอน ยูกิก็คงรู้ดี
เธอคงไม่ได้ป่วยแค่เพราะความเหนื่อยล้า แต่ความเครียดที่มาจากการไม่สามารถทำให้กิจกรรมกับชมรมวัฒนธรรมเดินหน้าได้ตามที่ต้องการ และความวิตกกังวลที่จะต้องแพ้พี่ชายของเธอ ยูมะ ก็มีส่วน
แต่ผมจะทำอะไรได้บ้างล่ะ?
“ซูซุฮาระ ตอนนี้โอเคไหม?”
“…รุ่นพี่สุงาตะ?”
เสียงทุบที่ไหล่ของผมทำให้ผมหันไปมอง พบกับรุ่นพี่สุงาตะ ผู้ที่มักจะไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่เมื่อเขาพูด เสียงที่ทุ้มต่ำของเขาจะทำให้ทุกคนรอบตัวเงียบไปทันที
“เรื่องการจัดกิจกรรมของชมรมวัฒนธรรม… ผมไม่อยากให้ตั้งร้านขายของตรงนี้”
รุ่นพี่สุงาตะชี้ลงบนกระดาษที่พิมพ์แผนการตั้งร้านขายของ และชี้ไปที่ด้านบนของแผน
“ตรงบริเวณประตูทางเข้าทิศเหนือเหรอครับ? ทำไมล่ะครับ…”
“อ๋อ… พวกปีหนึ่งยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ”
รองประธานชมรมหันเก้าอี้ของตัวเองไปมาและเดินมาทางผม
“ที่โรงเรียนเราน่ะ ความสัมพันธ์กับสมาคมชุมชนไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก”
เขาพูดพร้อมทำท่าทางเหมือนกินอาหารที่รสชาติขม แล้วอธิบายเหตุการณ์
ต้นเหตุของปัญหาคือเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่โรงเรียนสร้างอาคารเรียนใหม่
ตอนที่สร้างอาคารใหม่ ชาวบ้านบริเวณนั้นได้ร้องเรียนเยอะมากว่าเสียงจากการก่อสร้างดังเกินไป รถก่อสร้างทำให้ถนนแคบลง และอาคารใหม่ทำให้แสงแดดไม่ส่องถึง ทำให้ผ้าห่มแห้งยาก
แต่โรงเรียนก็ไม่สามารถหยุดการก่อสร้างได้ จึงทำการก่อสร้างต่อไปจนเกิดการทะเลาะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของสมาคมชุมชนกับผู้บริหารของโรงเรียน
“สมาคมชุมชนโกรธมากจนยุติการให้ทุนสนับสนุนโรงเรียน และกิจกรรมอาสาสมัครที่ผ่านสมาคมก็ถูกยกเลิกในปีถัดไป”
ประธานชมรมกล่าวพร้อมกับยกมือทาบที่หน้าผากแล้วถอนหายใจ
“แถวนั้นมีบ้านของคนที่ทะเลาะกับเราอยู่ ถ้าเราจัดกิจกรรมตรงนั้น จะทำให้เขามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเสียงรบกวนจากนักเรียน เราจึงต้องหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้”
“เข้าใจแล้วครับ… ดังนั้นไม่ควรตั้งร้านในบริเวณทิศเหนือ”
“การที่เราเลือกให้วิ่งในสนามกีฬาในการแข่งขันมาราธอนก็เพราะเหตุผลนี้แหละ ไม่อยากให้รถติด”
ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา คนในชุมชนคงไม่พอใจที่ต้องทนกับความไม่สะดวกเพราะกิจกรรมของโรงเรียน ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วม
“มันน่าเศร้านะ… เมื่อก่อนเรากับสมาคมชุมชนเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก”
“หือ? อะไรนะครับ?”
“นี่คือนิตยสารชมรมจากเมื่อก่อน ฉันเจอเมื่อวันก่อนตอนทำความสะอาด”
รองประธานยื่นนิตยสารชมรมที่มีภาพข่าวของกิจกรรมทำความสะอาดร่วมกันระหว่างสมาคมชุมชนและนักเรียนที่ติดอยู่ในนิตยสาร
ตอนนั้นยังไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดทำข้อมูล ทุกอย่างเขียนด้วยเครื่องพิมพ์ดีดแล้วติดรูปถ่ายลงไป
“อืม… เมื่อก่อนเรากับสมาคมชุมชนเคยสนิทกันจริงๆ นะ… อะไรนะครับ? ขอดูภาพนี้หน่อยครับ!”
“โอ้ย… ทำไมดึงไปดูแบบนี้ล่ะ?”
ผมแย่งนิตยสารจากรองประธานและมองภาพที่ติดอยู่ในนิตยสารอย่างตั้งใจ
“ใช่เลย… ไม่มีผิดหรอก…”
ผมเริ่มมองเห็นทางออกแล้ว ผมไม่ควรมองแค่การทำให้เทศกาลปีนี้ดีขึ้นเพื่อเอาชนะเทศกาลปีที่แล้ว
เทศกาลปีนี้เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ความสามารถของชมรม และยังเป็นการที่บุคคลสำคัญจากสมาคมศิษย์เก่าจะมาร่วมชม
“อาจจะทำได้ก็ได้…”
ในหัวของผมเหมือนมีบางอย่างเข้าที่พร้อมกัน
“ประธานครับ! รู้ไหมว่าอาจารย์คนไหนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาสาสมัครนี้?”
“อืม… ถ้าดูจากภาพนี้นะ…”
ประธานชมรมชี้ไปที่มุมของภาพและกล่าวว่า
“คนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์โกตะ จากแผนกสังคมศาสตร์”
“ขอบคุณครับ!”
ผมหยิบกระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกจากห้องประชุมชมรมไปทันที