ตอนที่ 17 พักเที่ยงวันหนึ่ง
“เอาล่ะ วันนี้จบคาบเพียงเท่านี้ ฉันจะแจกเอกสาร อย่าลืมทำมาส่งในคาบหน้าให้เรียบร้อยล่ะ”
เสียงออดหมดคาบที่สี่ดังขึ้น และเวลาพักกลางวันก็มาถึง
สิ่งที่ทรมานที่สุดหลังจากกลับมาอยู่ในร่างของเด็กมัธยมปลายก็คือ ความหิว
ต่างจากตอนเป็นผู้ใหญ่ เด็กมัธยมปลายจะหิวบ่อยมาก แม้จะกินอาหารเช้ามาเต็มที่แล้ว แต่พอถึงเวลาพักระหว่างคาบที่สอง ท้องก็เริ่มร้องแล้ว
“เยส! ในที่สุดก็จบคาบแล้ว!”
“ไก่ทอดกำลังรอฉันอยู่!”
ทันทีที่หมดคาบเรียน กลุ่มนักเรียนที่มักจะไปโรงอาหารก็พากันวิ่งออกจากห้องด้วยความเร็วสูง
โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงเรื่องโรงอาหารที่ราคาถูกมาก แต่ก็เพราะเหตุนี้ การแย่งชิงอาหารจึงดุเดือดสุดๆ โดยเฉพาะเมนูที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์นั้นได้รับความนิยมจนถ้าไม่รีบไปก็จะหมด
“วันนี้จะกินอะไรดีนะ…”
เมื่อครึ่งหนึ่งของห้องหายไปและห้องเรียนเงียบสงบลง ผมก็นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมพึมพำกับตัวเอง
โดยปกติผมเองก็กินโรงอาหารเหมือนกัน เพราะนักเรียนที่มี “เข็มกลัดดาวเจ็ดแฉก” จะได้สิทธิ์กินฟรีที่โรงอาหาร
แต่สิทธิพิเศษนี้ก็เป็นเป้าสายตาของคนอื่นเช่นกัน เพื่อไม่ให้โดนมองไม่ดี ผมตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะไม่เลือกเมนูยอดนิยม
“เมื่อวานกินข้าวหน้าเนื้อไปแล้ว วันนี้กินปลาดีกว่า…เอาข้าวชุดปลาซาบะต้มมิโสะดีกว่า”
ผมรออีกสักสิบนาทีให้คิวที่โรงอาหารเบาบางลง ระหว่างนั้นก็หยิบมือถือออกมาเพื่อฆ่าเวลา
“หืม?”
ทันใดนั้น ผมก็สังเกตเห็นยูกิที่มักจะนั่งกินข้าวกล่องคนเดียวกำลังขุดหาบางอย่างในกระเป๋าอย่างเร่งรีบ
คิ้วที่ปกติจะยกสูงคมกริบของเธอกลับตกลงมา มันเป็นสีหน้าที่บอกว่า ‘พลาดแล้วล่ะ’ ผมเคยเห็นสีหน้านี้มานับครั้งไม่ถ้วนในอนาคต
“ลืมข้าวกล่องเหรอ?”
“ไม่ได้ลืม… เอ๊ะ ลืมจริงด้วย…”
เธอพยายามปฏิเสธในตอนแรก แต่พอรู้ว่าปกปิดไม่ได้ ก็ทำหน้าไม่พอใจพร้อมพยักหน้ารับ
“ฉันคิดว่าตัวเองใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วแท้ๆ ไม่รู้ลืมไว้ที่ไหน”
“บางทีมันก็มีเหตุการณ์แบบนี้ล่ะ แล้วจะทำไงต่อ? ไปโรงอาหารกับฉันไหม?”
“กับนาย?”
เธอเหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันหน้าหนีแล้วพูดว่า
“ไม่ล่ะ ฉันจะไปซื้อขนมปังที่ร้านค้าก็ได้”
“ขนมปังที่ร้านค้าหมดตั้งแต่พักคาบสองแล้วนะ”
“จริงเหรอ…?”
เธอทำหน้าตกใจ น่าเสียดายแต่มันเป็นเรื่องจริง ความหิวของเด็กมัธยมปลายนั้นรุนแรงกว่าที่คิด ขนมปังที่ร้านค้ามักจะหมดเร็วเพราะเป็นที่นิยมของนักเรียนสายกีฬา
“ช่างเถอะ งั้นมื้อนี้ฉันจะไม่กินก็ได้ ไม่เห็นเป็นปัญหาเลยถ้าจะอดมื้อหนึ่ง—”
ท้องของเธอดัง โครก ขึ้นมาอย่างจัง
เสียงนั้นชัดเจนจนไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาจากใคร ใบหน้าที่เริ่มแดงของเธอก็เป็นคำตอบอยู่แล้ว
———
ตอนที่เรามาถึงโรงอาหาร คิวก็แทบจะหมดแล้ว
“วันนี้ดูคนน้อยกว่าปกตินะ”
“นี่เหรอเรียกว่าน้อย…?”
ยูกิที่เพิ่งมาโรงอาหารครั้งแรกดูจะตกใจกับจำนวนคนที่ยังอยู่
โรงอาหารของโรงเรียนคล้ายกับของมหาวิทยาลัยที่ผมเคยเรียน
นักเรียนต้องสั่งอาหาร รอแม่ครัวตักอาหารไส่ถาดถาด แล้วเดินไปคิดเงิน ในระหว่างทาง จะมีโต๊ะเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องเคียงมากมายให้หยิบได้ตามใจชอบ
“ข้าวชุดปลาซาบะต้มมิโสะ ขอข้าวเพิ่มพิเศษด้วยครับ”
“ได้เลยจ้า”
ป้าประจำโรงอาหารใช้ที่คีบคีบปลาซาบะและข้าวมาให้
“ส่วนฉัน ขอข้าวแกงกะหรี่ค่ะ ข้าวขอน้อยๆ หน่อย”
“กินแค่นั้นจะพอเหรอ?”
“ไม่รู้ว่าปริมาณจะเยอะขนาดไหน ฉันอยากแน่ใจว่าตัวเองจะกินหมด”
เธอพูดพลางเหลือบมองถาดที่อยู่ตรงจุดคืนถาด
ตรงนั้นมีจานที่เหลืออาหารอยู่พอสมควร
“ฉันไม่ชอบคนที่กินอาหารเหลือทิ้งเลย”
“อืม ฉันก็เห็นด้วย น่าเสียดายของเนอะ”
แต่ข้าวน้อยขนาดนั้นจะพอจริงเหรอ?
“ถ้ากินไม่หมด เดี๋ยวฉันช่วยกินให้ก็ได้”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
ยูกิหันมาจ้องผมด้วยสายตานิ่งๆ แบบไม่พอใจ
“ได้ค่ะ ข้าวแกงกะหรี่ ข้าวน้อยๆ นะคะ”
“เอ๋…”
ยูกิถึงกับตัวแข็งทื่อทันทีที่เห็นจานข้าวแกงกะหรี่ที่ป้าประจำโรงอาหารยื่นให้
เกิดอะไรขึ้น? หรือปริมาณมันน้อยเกินไป?
แต่พอผมหันไปมองจานนั้น ผมก็เข้าใจในทันที
ข้าวแกงกะหรี่ของยูกิมี “หัวไชเท้าดอง” หรือที่เรียกว่า “ลักเคียว” วางอยู่ถึงสามชิ้น
ยูกิมีอาหารที่ไม่ชอบอยู่สามอย่าง ผักชี ตับ และลักเคียว
อาหารพวกนี้ ถ้าเธอบังเอิญเจอในร้านอาหาร ผมมักจะต้องกินแทนเธอเสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเกลียดอาหารเหล่านี้มากแค่ไหน
“ท…ทำไมต้องเป็นลักเคียว…”
แม้จะผ่านแคชเชียร์และมานั่งที่โต๊ะแล้ว ยูกิก็ยังจ้องลักเคียวในจานของเธออย่างไม่วางตา
“ทำไมต้องเป็นลักเคียว…แกงกะหรี่ก็ควรจะมีฟูกูจินซูเกะสิ…”
(TLN:ผักดองแบบหนึ่ง)
ผมเข้าใจความรู้สึกเธอดี เพราะผมเองก็ชอบฟูกูจินซูเกะมากกว่าเหมือนกัน
ถ้าไม่ชอบจริงๆ ก็แค่ไม่ต้องกินมันก็ได้ แต่พอคิดถึงสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้
‘ฉันไม่ชอบคนที่กินเหลือทิ้งเลย’
ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะเธอเหมือนกำลังขุดหลุมฝังตัวเอง
พวกเราพนมมือไหว้ก่อนกินอาหารตามปกติ แต่ยูกิก็ยังไม่ยอมขยับมือไปตักอาหาร
“ไม่กินเหรอ?”
“ก…กินสิ”
ยูกิหยิบลักเคียวชิ้นหนึ่งด้วยช้อนที่สั่นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ราดน้ำแกงกะหรี่ลงไปจนท่วม ก่อนจะใส่มันเข้าปาก
ดูเหมือนเธอพยายามจะใช้รสชาติของแกงกะหรี่กลบลักเคียว
“อึก…!!”
แต่แผนของเธอล้มเหลว ยูกิถึงกับน้ำตาคลอและรีบเอามือปิดปาก
ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่สามารถคายออกมาได้ เพราะมันจะขัดกับสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้ ยูกิจึงหยิบน้ำขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วกลืนลักเคียวลงไป
“ย…ยังเหลืออีกสองชิ้น…”
ยูกิพึมพำด้วยสีหน้าซีดเผือด
ดูแล้วน่าสงสารจนผมตัดสินใจช่วยเธอ
“อาริสึุงาวะ ดูเมนูใหม่ที่ติดไว้ตรงนั้นสิ เห็นไหม?”
“เอ๋? ตรงไหน…”
ทันทีที่ยูกิหันไปมอง ผมก็ฉวยโอกาสใช้ตะเกียบคีบลักเคียวที่เหลืออีกสองชิ้นใส่ปากตัวเอง
“นี่นายทำอะไร…”
“ฉันชอบลักเคียวไง เลยเผลอกินเข้าไป”
แน่นอนว่ามันเป็นคำโกหก ผมไม่ได้ชอบหรือเกลียดลักเคียวเป็นพิเศษ
ยูกิดูเหมือนจะอยากต่อว่าผม แต่สุดท้ายเธอก็เงียบไป เพราะเธอรู้ว่าสิ่งที่ผมทำคือการช่วยเธอ
{“ปิ๊งป่อง…คุณครูอิวากิ กรุณามาที่ห้องพักครูด่วนค่ะ”}
ขณะที่เสียงประกาศดังขึ้นทั่วโรงเรียน ผมก็ได้ยินคำพูดเบาๆจากเธอในระหว่างนั้น
‘ข…ขอบคุณ…’