ตอนที่ 10 ไล่ตาม
“นี่ ๆ อดีตประธานนักเรียนเป็นพี่ชายของอาริสุงาวะซังงั้นเหรอ?”
หลังการประชุมใหญ่ของโรงเรียนเสร็จสิ้น ในห้องเรียนมีเสียงถามด้วยความตื่นเต้นจากชิโนซากิ หนึ่งในกลุ่มสาวๆ ที่มีพลังงานล้นเหลือในชั้นเรียน
“ใช่ พี่ชายของฉันเอง”
ยูกิตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย โดยที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่หนังสือเรียน
“ว่าแล้วเชียว! เอ่อ เขามีแฟนหรือเปล่านะ?”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“อา งั้นก็มีบางช่วงที่เขามีแฟนสินะ เพราะเขาหล่อขนาดนั้นนี่นา ถ้าไม่มี ฉันก็อยากเป็นแฟนเขาจริง ๆ เลย”
“อย่าดีกว่า”
ยูกิพูดด้วยเสียงเบา
“เอ๋? ทำไมล่ะ?”
พวกเธอพยายามจะถามเหตุผล แต่ยูกิก็เดินออกจากห้องเรียนไปโดยไม่สนใจพวกเธอ
อาริสุงาวะ ยูมะ
ตามที่ยูกิบอก เขาเป็นคนเก่งมาก แต่ก็มีนิสัยที่เรียกได้ว่าแย่สุด ๆ และยังเจ้าชู้
ถึงอย่างนั้น ผมเองก็ไม่ได้รู้จักเขาดีนัก เพราะเจอหน้าเขาเพียงครั้งเดียว และสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับเขาก็มาจากคำพูดของยูกิเท่านั้น
เท่าที่เห็นจากการกล่าวคำทักทายในวันนี้ในที่ประชุมใหญ่ เขาไม่ได้ดูเหมือนคนไม่ดีเลย
บางทีเขาอาจกำลังแกล้งทำตัวดีอยู่ หรือไม่ก็ยูกิเพียงแค่พูดเกินจริงไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้แน่ชัดคือ ยูมะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงยูกิในช่วงเวลานี้
‘ฉันพยายามมาก เพื่อที่จะเอาชนะเขา… แต่สุดท้ายก็ไม่เคยชนะเลย’
ในอนาคต ยูกิเคยพูดแบบนี้
จากเรื่องราวของยูกิ พี่ชายของเธอดูเหมือนจะเป็นคนที่เกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะ
ในขณะที่ยูกิเป็นเพียงคนที่เก่งกาจจากความพยายามอย่างหนัก
หลังจากแต่งงาน ผมก็สังเกตเห็นว่ายูกิมีความไม่ถนัดในหลาย ๆ เรื่อง แต่เธอก็พยายามจนสามารถเทียบเท่ากับพี่ชายได้
นิสัยที่ไม่ยอมแพ้ของเธอผลักดันให้เธอทำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลามาเล่นสนุก
แต่ปมด้อยที่เธอมีต่อพี่ชาย ก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางชนะได้
ถ้าผมไม่ช่วยเธอปลดปล่อยจากปมนี้ ชีวิตในโรงเรียนมัธยมที่สนุกสนานที่ยูกิในอนาคตต้องการ คงจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้
สิ่งแรกที่ผมต้องทำก็คือ…
ทำให้ยูกิชนะอาริสุงาวะ ยูมะให้ได้!
———
“นี่ เธอจะเข้าร่วมสภานักเรียนจริง ๆ เหรอ?”
“ใช่”
หลังเลิกเรียน ผมเดินตามหลังยูกิที่กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องสภานักเรียน
วันนี้เป็นวันพบปะสมาชิกสภานักเรียนชั้นปีสอง
ผมรู้จากยูกิในอนาคตว่าเธอเคยเข้าร่วมสภานักเรียนมาก่อน
“เขามีกฎหมายห้ามสะกดรอยในโรงเรียนไหมนะ?”
“พูดแบบนั้นไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ? ฉันก็เพื่อนของเธอนะ”
“ฉันไปเป็นเพื่อนกับนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“บุคคลสำคัญเคยกล่าวไว้ว่า ‘เพื่อนคือสิ่งที่เราได้มาโดยไม่ทันรู้ตัว’”
“ใครพูดประโยคนั้นล่ะ?”
“โทกุงาวะ อิเอยาสุ”
(TLN:บุคคลคนๆหนึ่งของญป.)
“เขาไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่!”
ยูกิถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
อ้าว ยูกิในอนาคตหัวเราะกับมุกแบบนี้แท้ ๆ แต่ทำไมตอนนี้กลับทำหน้าแบบนั้นนะ
“เอาน่า อย่าพูดแบบนั้นเลย ในเมื่อเรามีเพื่อนน้อยเหมือนกัน มาสนิทกันไว้เถอะ”
“อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับนายสิ ฉะ…ฉันก็มีเพื่อนนะ! แค่ไม่มีในโรงเรียนนี้ก็เท่านั้น…”
เอ่อ…แบบนั้นมันไม่ใช่ปัญหาหนักหนาเลยเหรอ?
“เพื่อนรุ่นเดียวกันในโรงเรียนนี้คุยกันไม่รู้เรื่องทั้งนั้น! ผู้ชายก็พอสนิทกันหน่อยก็มาสารภาพรัก ส่วนผู้หญิงก็ชวนเล่นเรื่องไร้สาระ พูดถึงว่าใครชอบใครบ้าง แถมยังชอบนินทาคนอื่นลับหลังอีก…ทุกอย่างมันดูไร้สาระเกินไป ฉันไม่คุยด้วยหรอก”
“….”
‘ไร้สาระเกินไปจนคุยไม่รู้เรื่อง’ …ยูกิในอนาคตเองก็เคยพูดแบบนี้
แต่เธอก็เคยสารภาพว่าเสียใจที่เคยคิดแบบนั้น
เธอบอกว่าถ้าเลิกทำตัวแข็งกระด้างแล้วลองหาเพื่อนให้มากกว่านี้ ชีวิตของเธออาจจะมีความสุขมากขึ้น
เธอในตอนนี้ก็คงจะเหงาไม่น้อย เพราะถ้าไม่เหงา เธอคงพูดว่า ‘ฉันไม่ต้องการเพื่อน’ ไปแล้ว
“งั้นก็โล่งใจได้ ฉันไม่พูดนินทาใคร และไม่พูดเรื่องไร้สาระด้วย”
“เมื่อกี้ใครกันที่พูดแต่เรื่องไร้สาระ?”
อะแฮ่ม…ไม่น่าจะใช่ฉันหรอก
“ว่าแต่นะ ฉันมีคำถามคาใจมาตลอด”
ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดไปยังห้องสภานักเรียน ยูกิก็หยุดเดินแล้วหันมามองผม
“ก่อนที่นายจะเข้าเรียนที่นี่ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหม?”
เธอคงหมายถึงเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ตอนที่เราพบกันบนสะพานในเมืองข้างเคียง
ตอนนั้นเราคุยกันเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ ผมคิดว่าเธอคงลืมไปแล้ว แต่ดูเหมือนเธอจะจำอะไรได้ลาง ๆ
“นี่ฉันกำลังโดนจีบอยู่เหรอ?”
“หา? ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“ก็มันเป็นประโยคที่มักใช้จีบคนไม่ใช่เหรอ?”
“พอเถอะ ฉันคิดว่าคงเป็นฉันที่เข้าใจผิดไปเอง”
เธอถอนหายใจแล้วเดินขึ้นบันไดต่อ
ผมคิดว่าคงไม่ควรพูดถึงเรื่องที่เราเคยเจอกันตอนนั้น เพราะผมถามเธอเกี่ยวกับโรงเรียนที่เธอจะสอบเข้า ถ้าบอกไปอาจจะถูกมองว่าเป็นพวกสะกดรอยตาม…ถึงจะเป็นแบบนั้นจริงก็เถอะ
“ว่าแต่ ฉันสงสัยอย่างหนึ่งนะ ทำไมการสมัครเข้าร่วมสภานักเรียนถึงมีคนสมัครเยอะขนาดนั้น?”
ในชั้นปีหนึ่ง มีคนที่ได้เข้าร่วมสภานักเรียนเพียงสามคน แต่ผู้สมัครกลับมีถึงสิบเจ็ดคน
ที่นี่เป็นโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับผลการเรียนเป็นหลัก ดังนั้นการคัดเลือกก็ขึ้นอยู่กับอันดับคะแนน
คนที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งอย่างผม อันดับสองอย่างยูกิ และอันดับสามที่เป็นนักเรียนหญิงชื่อนิซุมะ ซึ่งพวกเราก็ได้รับเลือกเข้าไปในที่สุด
ตามที่ครูบอก ปีที่แล้วก็เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนสูงสุดสามคนที่ได้เข้าร่วมเหมือนกัน
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงอยากเข้าร่วมงานที่ดูวุ่นวายแบบนี้กันนัก
“เฮ้อ…นายสมัครโดยที่ไม่รู้สิทธิพิเศษอะไรเลยสินะ?”
“สิทธิพิเศษ?”
“ที่โรงเรียนนี้มีการจัดงานพบปะศิษย์เก่าที่เรียกว่า ‘OB Meeting’ เป็นครั้งคราว งานนี้รวบรวมคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้ง CEO ของบริษัทใหญ่ และนักการเมืองคนสำคัญหลายคน แล้วสมาชิกสภานักเรียนปัจจุบันจะได้เข้าร่วมงานนี้ด้วย”
“แปลว่าถ้าเข้าร่วมสภานักเรียน จะได้สร้างความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นใช่ไหม?”
“สมองนายก็ใช้งานได้นี่”
จริงด้วย การสร้างความสัมพันธ์กับคนระดับนั้นเป็นข้อได้เปรียบมหาศาล
การเชื่อมต่อระหว่างคนสำคัญกว่าเงินเสียอีก ผมได้เรียนรู้อย่างนี้ในตอนที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารบริษัท
“มีโอกาสได้งานในบริษัทใหญ่ ได้จดหมายแนะนำตัว หรือแม้แต่ความช่วยเหลือสำหรับคนที่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน”
“อืม…ว่าแต่เธอล่ะ มีความฝันอะไรไหม?”
“ฉัน…
ยูกิหยุดพูดกลางคัน
ทั้งมหาวิทยาลัยที่เธอจะเข้าเรียน หรือบริษัทที่เธอจะทำงาน ก็ล้วนถูกพ่อของเธอกำหนดไว้แล้ว
ดูเหมือนเธอจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความฝันของตัวเอง
บางทีการที่เธอสมัครเข้าร่วมสภานักเรียน อาจเป็นเพราะเธออยากพิสูจน์ตัวเองว่าเหนือกว่าพี่ชาย
“ส่วนความฝันของฉันคือการหาภรรยาที่น่ารักให้ได้”
“ก็ดีนี่ ฉันหวังว่านายจะเจอคนดี ๆ นะ”
“เธอรู้ตัวด้วยเหรอว่าตัวเองน่ารัก?”
“เงียบไปเลย!”
ยูกิพูดขณะที่เร่งฝีเท้าขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว