บทที่ 581 คนที่สมควรตายคือผม ไม่ใช่พี่
บทที่ 581 คนที่สมควรตายคือผม ไม่ใช่พี่
เซี่ยชิงหยวนกล่าวเสริมอีกว่า “ยังมีเวลาเหลืออีกสิบวันก่อนจะถึงตรุษจีน อาจารย์เขียนจดหมายมาบอกว่าจะมาฉลองปีใหม่กับพวกเราด้วยนะ ถ้าพี่ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก เมื่ออาจารย์มาที่นี่ ฉันคงไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปแล้วล่ะ”
เมื่อประโยคนั้นสิ้นสุดลง หยาดน้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงหล่นจากแก้มของเซี่ยชิงหยวนและหยดลงบนมือของฉีจิ่นจือ
เซี่ยชิงหยวนหวนนึกถึงสิ่งปี่เหลาซานกล่าวบอกเธอก่อนที่เขาจะออกเดินทางครั้งที่แล้ว “อาจารย์บอกว่าเมื่อตอนที่พี่เป็นเด็ก อาจารย์เคยคำนวณดวงชะตาให้แล้ว โดยบอกว่าชะตาเป็นคนโดดเดี่ยว เดียวดาย มีคนรักช้า ทั้งยังมีลูกยาก เข้ากับญาติมิตรไม่ราบรื่น โดดเดี่ยวและอยู่อย่างลำบากไปตลอดชีวิต”
“ด้วยสาเหตุนี้ จึงเลือกเส้นทางนี้สินะ”
“อาจารย์ยังบอกอีกว่าความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้คือเห็นพวกเรา ผู้เป็นศิษย์ทั้งสามคนค้นพบที่พักพิงของตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมีความสุขไปตลอดชีวิต”
“เพราะฉะนั้นแล้ว รีบตื่นมาฉลองตรุษจีนกับพวกเรานะ… ทุก ๆ ปีหลังจากนี้ เราก็ใช้เวลาร่วมกันและอยู่กับอาจารย์ ดีไหมคะ?”
หญิงสาวเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มแล้วยกยิ้ม “มีอีกอย่างที่ฉันยังไม่ได้บอกพี่ ฉันให้กำเนิดลูกแฝดนะ เมื่อพี่ตื่นขึ้นมา พี่ก็จะพบว่าพวกเขาสามารถเรียกพี่ว่าคุณลุงได้แล้วล่ะ”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนพลางมองฉีจิ่นจืออีกครั้ง “ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อผ่านปีนี้ไป ฉันจะย้ายออกจากอำเภอรุ่ยแล้วนะ”
เสื้อผ้าที่เหล่าไต้และอาเซียงนำไปยังสัปดาห์แฟชั่น ณ กรุงปารีสนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ได้รับความชื่นชอบจากผู้เชี่ยวชาญที่เซี่ยชิงหยวนกล่าวถึงเท่านั้น แต่ยังมีบริษัทเสื้อผ้าหลายแห่งที่โยนกิ่งมะกอก*[1]ใส่พวกเขา ส่งผลให้ยามต้องมนต์กลายเป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าจากทั่วทั้งโลก
ไม่เพียงเท่านั้น ทางโรงงานผ้าไหมหงเหมียนก็ต้องการต่อสัญญาและยืดระยะเวลาความร่วมมืออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของเฟิงหวงได้ข่าวมาว่าคนที่ต้องการเข้าซื้อกิจการของเฟิงหวงคือเจ้าของร้านยามต้องมนต์ ซึ่งสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อพนักงานที่ขยันขันแข็งของเฟิงหวงเป็นอย่างดี เขาจึงตกลงยอมขายกิจการ โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องได้พบเธอด้วยตนเอง
มีหลายสิ่งหลายอย่างถูกผลักดันโดยเซี่ยชิงหยวน และไม่สามารถชะลอเวลาได้อีกต่อไป
หญิงสาววางมือของฉีจิ่นจือไว้ใต้ผ้าห่ม แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป
…
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวกลับไปยังบ้านของพวกเขาด้วยกัน
ระหว่างที่เดินทางผ่านเมือง ก็ได้แวะซื้อข้าวของจำนวนไม่น้อยเพื่อใช้สำหรับเทศกาลตรุษจีน
อันที่จริง ไม่ใช่แค่ปี่เหลาซาน หวังผิงเองก็ได้ให้เซี่ยจิ่งเยว่เขียนจดหมายส่งมาบอกว่าปีนี้เธอจะมาฉลองตรุษจีนร่วมกับพวกเขาที่นี่ ทั้งยังได้ตระเตรียมสิ่งของมากมายมาให้พวกเขาด้วย
เซี่ยจิ่งเยว่และภรรยาของเขาได้เปิดร้านขายบะหมี่และของว่างในเมืองเตียนเฉิงด้วยเงินทุนที่เซี่ยชิงหยวนมอบให้ไว้ในตอนนั้น และตอนนี้ธุรกิจของพวกเขากำลังเฟื่องฟู ทำให้พวกเขาสามารถลงหลักปักฐานในเมืองเตียนเฉิงได้อย่างสมบูรณ์
เซี่ยชิงหยวนกล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพกับหวังผิง พร้อมบอกว่าปีหน้าเธออาจจะกลับไปยังมณฑลอวิ๋นพร้อมเสิ่นอี้โจว พื้นที่แห่งนี้นั้นห่างไกล อีกทั้งหวังผิงและเซี่ยโยว่หมิงเองก็แก่ตัวแล้ว หญิงสาวไม่อาจทนให้พวกเขาต้องมาลำบากได้อีก
ในระหว่างที่เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวกำลังรอรถ ก็มีสิ่งของกองใหญ่กองอยู่ที่เท้าของพวกเขา
เซี่ยชิงหยวนก้มลงมองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ตรงเท้าของเธอ ก่อนจะผลิยิ้มจาง ๆ ออกมา หญิงสาวพลิกค้นไปมาพร้อมเอ่ยว่า “นี่สำหรับแม่ แล้วก็มีของอี้หลินและลูก ๆ ทั้งสอง อันนี้ของอาจารย์ ส่วนนั่นให้ฟู่หมาน แล้วก็นี่ของศิษย์พี่ใหญ่”
เสิ่นอี้โจวพลันนั่งยองลงข้าง ๆ เธอโดยไม่สนใจโลกภายนอก ก่อนกวาดสายตามอง “แล้วของผมล่ะครับ?”
เซี่ยชิงหยวนชี้ไปที่ตัวเอง “อยู่นี่ไงคะ”
เสิ่นอี้โจวระบายยิ้มจาง ๆ พลางโน้มกายลงมาอย่างนุ่มนวล และจูบเบา ๆ เข้าที่มุมปากของเซี่ยชิงหยวนอย่างรวดเร็ว
แก้มของเซี่ยชิงหยวนพลันขึ้นสี หญิงสาวยกมือปิดหน้า ก่อนจะจ้องมองเขาเขม็ง
“ชิงหยวน เสี่ยวเสิ่น?”
ไม่ไกลนักมีเสียงเรียกพวกเขาดังขึ้น เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง เธอและเสิ่นอี้โจวหันมองไปพร้อมกันเป็นตาเดียวโดยไม่ได้นัดหมาย
ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานมาถึงแล้ว
ทำยังไงดี?
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสิ่นอี้โจวโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอแล้วยืนขึ้น ก่อนจะเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์”
เอ่ยจบ เขาก็ดึงเธอไปต้อนรับทั้งสองด้วยกัน
ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม พลางรวบรวมข้าวของไว้กับตัวพวกเขา แล้วเอ่ย ”เมื่อครู่ฉันเห็นทั้งสองคนจากระยะไกล ก็คิดว่าพวกเขาดูเหมือนพวกเธอ ตอนแรกฉันยังไม่กล้ายืนยันหรอก”
“จากนั้นฉันก็เห็นอี้โจวจูบเธอ และฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นพวกเธอแน่นอน ที่นี่มีใครกล้าแบบอี้โจวอีกบ้าง ที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ในเวลากลางวันแสก ๆ กัน?”
ถ้อยคำของปี่เหลาซานทำให้ใบหน้าเซี่ยชิงหยวนแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย เธอก้มศีรษะลงแล้วกล่าวว่า “อาจารย์ ทำไมถึงล้อกันทันทีที่เราพบกันเลยล่ะคะ?”
เสิ่นอี้โจวหัวเราะ “อาจารย์หมายถึงว่าเมื่อเขาเห็นคู่สามีภรรยาที่รักกันมาก ก็รู้ทันทีว่าเป็นพวกเราต่างหาก”
หลังจากพูดจบ พวกเขาก็ระเบิดหัวเราะอีกครั้ง
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “วันนี้บังเอิญได้พบกับอาจารย์และศิษย์น้องเล็กพอดี พวกเรากลับบ้านด้วยกันเถอะครับ”
เอ่ยจบ พวกเขาก็ขึ้นรถไปด้วยกัน
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวนั้นเดินตามหลัง หญิงสาวจึงพลันเหลือบมองชายหนุ่ม
เสิ่นอี้โจวลูบมือเธอเบา ๆ พลางกระซิบว่า “ไม่เป็นไร คุณจะมีผมอยู่เสมอ”
หากเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ก็แค่บอกความจริงกับปี่เหลาซานไปซะ
ปี่เหลาซานนั้นเดินทางพเนจรมาก่อนชั่วชีวิต ย่อมไม่มีอะไรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีอะไรที่เขาทนไม่ได้
เมื่อได้ยินวาจาของเสิ่นอี้โจว หัวใจของเซี่ยชิงหยวนก็กลับมาสงบอีกครั้ง
มีเขาอยู่ด้วยในทุกเรื่อง เธอย่อมไม่กลัวอะไร
…
หลังจากเซี่ยชิงหยวนออกไป ในขณะที่ประตูห้องถูกปิดลง นิ้วของฉีจิ่นจือซึ่งถือผ้าพันคอผ้าไหมอยู่ก็ขยับ
เปลือกตาที่ปิดแน่นของเขาสั่นไหว พยายามต่อสู้เพื่อลืมตาขึ้น ทว่าเหมือนเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเจ็บปวดราวกับว่าเขาอยู่ในฝันร้ายและไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้
ในความฝัน เขาเดินอยู่เพียงลำพังอย่างไร้จุดหมายในความมืด ก่อนที่จู่ ๆ จะเดินเข้าไปในม่านหมอก
เมื่อหมอกจางลง เขาพบว่าถ่าลี่ยืนอยู่ตรงหน้า
เธอมองเขาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ พร้อมเอ่ยเรียกเขาอย่างอ่อนโยนว่า “ฉี”
ฉีจิ่นจือเดินเข้าไปหาเธอด้วยความประหลาดใจ “ถ่าลี่”
ถ่าลี่ยังคงยืนอยู่ไกล ไม่ยอมเข้ามาใกล้ และสั่นศีรษะให้เขา “ฉี อย่าเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉีจิ่นจือก็ได้แต่ยืนงุนงง
ใบหน้าของถ่าลี่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในขณะที่เธอยิ้ม หญิงสาวกลับหลั่งน้ำตา “ฉี ขอบคุณนะ ฉันกลับมายังบ้านเกิดของตัวเองแล้ว”
“บ้านเกิดเหรอ?” ฉีจิ่นจือเอ่ยถาม
ถ่าลี่พยักหน้า “บ้านเกิดของแม่ฉัน เป็นสถานที่ที่ฉันอยากไปมาตลอดชีวิต”
เธอโบกมือให้เขา “ฉี ลาก่อน”
เมื่อเอ่ยจบ ร่างของเธอก็ค่อย ๆ ไกลห่างออกไป ก่อนจะย่อลงเป็นแสงเจิดจ้าเล็ก ๆ และหายลับไปกับตา
“ถ่าลี่!”
ฉีจิ่นจือรีบกระโจนเข้าไปตะครุบไว้
“ลูกพี่”
ที่ปลายแสงเจิดจ้ามีเด็กคนหนึ่งอายุราวแปดหรือเก้าขวบ
เขาผอมมาก แต่ดวงตาของเขาสดใสและเปี่ยมล้นด้วยความสุข
เด็กคนนั้นเข้ามาจับมือของเขา แล้วเอ่ยว่า “หลงทางหรือเปล่าครับ? มากับผมสิ ผมจะพาออกไป”
เมื่อฉีจิ่นจือมองเด็กที่อยู่ตรงหน้า น้ำตาของเขาก็เอ่อล้นขึ้นมาโดยทันที
นี่คือฟู่ชุนไจ่ตอนเด็ก
ครั้งแรกที่เขาพบฟู่ชุนไจ่คือตอนที่ลูกพี่เตาปาโยนเขาเข้ามาที่ฐานฝึก เขาก็มีหน้าตาแบบนี้
ทั้งผอมแห้งและตัวเล็ก ผมก็แห้งเสียจนกลายเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ทว่าดวงตากลับสดใส
ฉีจิ่นจือยอมให้เด็กชายนำเขา แล้วเดินตามหลังไป
เขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าให้เส้นทางนี้เป็นทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เขาคิดถึงวันอันมืดมนเมื่อคราวที่อยู่เป็นลูกน้องของลูกพี่เตาปาขึ้นมาครั้งแรก
ฟู่ชุนไจ่ในวัยเด็กพาเขาไปที่ด้านหน้าของแสงเจิดจ้านั้น ก่อนชี้ไปข้างหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ลูกพี่ นั่นคือที่ที่พี่ควรไป”
ฟู่ชุนไจ่หันกลับมาและกลายเป็นชายหนุ่มในบันดล
รูปร่างของเขายังคงผอมแห้ง มีหน้าม้าปัดข้าง สวมเสื้อลายดอก ใส่รองเท้าแตะ และมีพุงเล็ก ๆ ซึ่งเป็นผลพวงจากการดื่มเบียร์
ชายหนุ่มเผยยิ้มสดใส โชว์ฟันเขี้ยวเล็ก ๆ ให้เขา
น้ำตาของฉีจิ่นจือพร่างพราวราวสายฝน
เขาส่ายหน้าซ้ำ ๆ “ผมไม่ไปหรอกนะ คนที่สมควรตายคือผม”
เขาเอ่ยพลางเดินถอยหลัง “คนที่สมควรตายคือผม คนที่สมควรตายคือผม ไม่ใช่พี่…”
[1] โยนกิ่งมะกอก หมายถึง หยิบยื่นโอกาสให้