บทที่ 578 นำเถ้ากระดูกของฉันกลับไป
บทที่ 578 นำเถ้ากระดูกของฉันกลับไป
ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ ฉีจิ่นจือติดตามซางคุนมาตลอดทาง ก่อนจะพบว่าเขาทิ้งเส้นทางหลบหนีที่ถูกตำรวจซุ่มโจมตี แล้วเลือกเส้นทางทางน้ำแทน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันมากจนไม่เพียงแต่ตำรวจที่ทำการค้นหาเป็นวงกว้าง แต่เรือกองหนุนของซางคุนเองก็เพิ่งเร่งรุดเดินทางมาจากฝั่งตรงข้าม
แม่น้ำนั้นกว้างสามสิบเมตร ทว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวจึงเป็นอุปสรรคในการเดินเรือ ทว่าการออกเรือไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึงก็ไม่ได้ยากเย็นนัก
ฉีจิ่นจือรู้ดีว่าด้วยพละกำลังของเขาเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถสกัดกั้นซางคุนเอาไว้ได้
แต่หากปล่อยเขาไปเช่นนี้ การที่ทางรัฐจะดำเนินการจับกุมครั้งนี้ก็เปล่าประโยชน์ ทั้งยังจำเป็นต้องมีการเจรจากับฝั่งพม่าหลายต่อหลายครั้งเพื่อรับประกันการดำเนินการนี้
หากพลาด ก็ยังไม่รู้ว่าซางคุนจำทำให้พายุนองเลือดแบบใดเกิดขึ้นอีกครั้ง และต้องเจ็บปวดเสียใจต่อเพื่อนร่วมงานที่เสียชีวิตภายใต้คำสั่งของซางคุน
ฉีจิ่นจือพินิจพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบอยู่หลายครั้ง และวิธีเดียวที่เป็นไปได้ในขณะนี้คือการยิงปืนเตือน
การทำแบบนี้ ทำให้เขาสามารถแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทราบถึงสถานที่หลบหนีของซางคุนได้เร็วที่สุด
เขาหมอบกายลง ก่อนจะแอบย่องไปหลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้พวกซางคุนที่สุด
ซางคุนพร้อมด้วยคนของเขานับสิบคนกำลังสบถสาปแช่งพร้อมกล่าวบอกให้คนขับเรือมาเร็ว ๆ
ลูกน้องคนหนึ่งของเอ่ยขึ้นว่า “หัวหน้า จะปล่อยต๋าไว้แบบนี้โดยไม่สนใจแล้วเหรอครับ?”
ใบหน้าของซางคุนพลันบูดบึ้งดูน่าเกลียดมาก เขาพุ่งตรงเข้าไปเตะลูกน้องของตน แล้วเอ่ย “สนใจงั้นเหรอ? ให้สนใจอะไรกัน? ฉันสิที่อยากจะจัดการมัน! ฉันเตือนมันไปแล้วนับพันครั้งว่าอย่าประมาทและละโมบในการทำงาน แต่ก็ไม่ฟัง ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ถูกซุ่มโจมตี แต่ยังลากให้ตำรวจมาจับฉันด้วย!”
เอ่ยจบ เขาก็ไม่อาจลบล้างความแค้นเคืองที่มีได้ จึงเตะฝุ่นบนพื้นอย่างแรงอีกครั้ง “หากฉันจับฉีจิ่นจือได้ ฉันจะทำให้มันต้องทนต่อการทรมานทุกรูปแบบที่สายลับต้องได้รับ เพื่อบรรเทาความเกลียดชังในใจของฉัน!”
สิ่งที่น่าเคืองแค้นพอ ๆ กันก็คือถ่าลี่ทรยศเขาเพื่อฉีจิ่นจือ!
ลูกน้องอีกคนใช้โอกาสนี้หัวเราะออกมา “ใช่แล้วครับ หากเราจับฉีจิ่นจือได้ เราต้องทำให้เขาเสียใจที่กล้าทรยศต่อหัวหน้า เช่นเดียวกับถ่าลี่”
ลูกน้องที่เหลือพูดขึ้นว่า “เราคุยกันมานานแล้วว่าถ่าลี่นั้นไม่อยู่ในโอวาทเท่าไหร่นัก ข่มเหงรังแกทางกายเธอ แล้วจากนั้นก็ถลกหนังของเธออกมา นี่ถือเป็นการผ่อนปรนให้เธอแล้ว”
“ปกติก็แสร้งทำเป็นจิตใจมีคุณธรรมสูงส่ง พอถอดเสื้อผ้าออกก็เป็นเหมือนโสเภณีเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ๋า…”
ฉีจิ่นจือซึ่งฟังเสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจของพวกเขาอยู่ไกล ๆ ก็พลันนึกถึงผิวหนังมนุษย์เปื้อนเลือดที่ซางคุนขว้างลงมาระหว่างทาง หัวใจของเขาก็หนักอึ้งเกินคำบรรยาย
อันที่จริง ทันทีที่เขาเหลือบไปเห็นสีเล็บบนนิ้วซึ่งติดอยู่กับผิวหนังมนุษย์อย่างผ่าน ๆ เขาพอก็เดาได้แล้วว่าเจ้าของหนังมนุษย์นี้อาจเป็นถ่าลี่
ถ่าลี่นั้นรักสวยรักงามเป็นที่สุด ทั้งยังชอบสีแดงสดอย่างยิ่ง
เสื้อผ้าของเธอมักเป็นสีแดง หญิงสาวยังชอบเก็บดอกโค่วตานมาทำน้ำยาทาเล็บและทาเล็บของตัวเองด้วย
มือคู่นั้นไม่เหมือนมือเรียวเล็กของสาวเมืองกรุง อีกทั้งสีสดใสของดอกโค่วตานทำให้เธอมีเสน่ห์เย้ายวนและความงามอันเป็นเอกลักษณ์
เธอใช้มือคู่นั้นทายาบนบาดแผลให้เขา คอยนำน้ำร้อนมาให้เขาเมื่อครั้งที่เขามีไข้สูง
เธอบอกเขาว่าเธอรู้ถึงชาติกำเนิดของตัวเองดี เธอไม่ได้เป็นเด็กที่ถูกอุ้มมาจากกองศพของคนที่หิวโหยจนสิ้นลมลาจากโลกนี้ไปอย่างที่ซางคุนกล่าวบอก เธอบอกว่าแม่ของเธอเป็นคนจีน ซึ่งถูกพ่อของเธอที่เป็นคนพม่าซื้อตัวมา
ต่อมาซางคุนมาชมชอบ คอยตามจีบแม่ของเธอ ก่อนจะใช้กำลังบีบบังคับเพื่อครอบครอง
ผู้หญิงจากตะวันออกไม่สามารถอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามได้ จึงแขวนคอตัวเองบนต้นไม้ด้วยเชือกป่านเส้นหนึ่ง
ส่วนพ่อของเธอนั้นพึ่งน้ำเมา ดื่มเหล้าอย่างหนักตลอดทุกวี่วัน และในท่ายที่สุดก็พลัดตกลงไปในแม่น้ำและจมน้ำตาย
ซางคุนจึงโกหกถึงเรื่องภูมิหลังของเธอ ด้วยคิดว่าเธออายุเพียงสี่ขวบ เมื่อมีไข้สูงมากก็คงสูญเสียความทรงจำไป
แต่สิ่งที่ซางคุนไม่รู้ก็คือเธอเป็นคนค่อนข้างเฉลียวฉลาดตั้งแต่เด็ก จึงอาศัยเศษเสี้ยวความทรงจำที่กระจัดกระจายเพื่อค้นหาหมู่บ้านที่พ่อแม่ของเธอเคยอาศัยอยู่ รวมถึงเพื่อค้นหาตัวตนของเธอเองด้วย
เด็กสาวเอ่ยกับเขาทั้งน้ำตาว่า “ฉี ฉันรู้ว่าคุณมีคนในใจแล้ว เรื่องอื่นฉันเองไม่กล้าบังคับคุณ แต่มีเรื่องหนึ่ง ขอร้องล่ะ คุณช่วยตอบตกลงเถอะนะ หากวันหนึ่งคุณสามารถกลับไปยังแผ่นดินจีนได้ คุณพอจะช่วย… นำเถ้ากระดูกของฉันกลับไปด้วยได้ไหม?”
ที่แท้ ในตอนที่บอกความจริงกับเขา เธอเองก็มีลางสังหรณ์ถึงการตายของตัวเองแล้ว
ฉีจิ่นจือกำหมัดแน่น ก่อนจะทุบลงบนพื้นอย่างแรง
เขาคือคนที่ทำให้เธอเดือดร้อน
มาตอนนี้ เขาอาจจะหาร่างของเธอไม่เจอด้วยซ้ำ…
ความปวดร้าวลึก ๆ บนมือของเขาไม่เพียงพอที่จะขจัดความโกรธและความเสียใจในใจของชายหนุ่ม
เขายกปืนขึ้นและเล็งไปยังจุดตายของซางคุน นิ้วของเขาซึ่งอยู่เหนือไกปืนนั้นสั่นเทาอยู่เล็กน้อย
บนหน้าผากของเขามีเส้นเลือดปูดเกร็งขึ้นมา ชายหนุ่มกัดฟันแน่นราวกับว่าใช้กำลังมหาศาลเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองลั่นไก
เบื้องบนนั้นสั่งให้จับเป็น
ทำให้ในท้ายที่สุดเขาก็หลับตาลง และเล็งปืนไปยังบริเวณข้อพับเข่าของซางคุนแทน
ปัง!
เสียงกระสุนปืนดังออกมาจากปลายกระบอกปืนจองฉีจิ่นจือ ทำให้ซางคุนรวมถึงลูกน้องนับสิบคน ซึ่งกำลังรอเรือมาตื่นตกใจ
ไม่ทันที่ซางคุนจะได้ตอบโต้อะไร เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่เข่า ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกกระแทกไปข้างหลังจนซวนเซถอยไปหนึ่งก้าว
พวกลูกน้องรีบเข้าไปช่วยประคองเขา จากนั้นจึงล้อมรอบตัวเขาไว้ด้วยความตื่นตัว โดยให้ซางคุนอยู่ตรงกลาง “หัวหน้า!”
ปัง!
เสียงปืนพลันดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้กระสุนนั้นโดนคนพายเรือซึ่งกำลังพายเรือมุ่งหน้ามาทางนี้
คนพายเรือเมื่อถูกยิงก็ร่วงไปจากเรือทันที
ส่งผลให้เรือเสียการควบคุม เริ่มหมุนเคว้งอยู่กลางแม่น้ำ
พวกลูกน้องของซางคุนตกใจมากจึงรีบยกปืนขึ้นเพื่อยิงไปยังทิศทางที่ฉีจิ่นจือยืนอยู่
ซางคุนใช้มือกุมแผลที่ขาของตนเอาไว้ แล้วตะคอกเสียงดัง “ฆ่ามันซะ!”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังเรือในแม่น้ำอีกครั้ง “ส่วนพวกแกว่ายไปเอาเรือ!”
เมื่อซางคุนออกคำสั่ง คนของเขาก็แยกย้ายไปทำตามหน้าที่ทันที
ฉีจิ่นจือทั้งหลบและตอบโต้ในเวลาเดียวกัน ในทันใดนั้นเสียงดวลปืนก็ดังก้องไปทั่วคุ้งน้ำ
ตำรวจซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสองกิโลเมตรได้ยินเสียงปืน จึงรีบหันหลังกลับและพุ่งไปยังทิศทางต้นเสียงปืนทันที
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ฉีจิ่นจือได้สังหารอีกฝ่ายไปเจ็ดหรือแปดคน
กระสุนปืนของเขาหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบปืนพกของคู่ต่อสู้คนหนึ่งขึ้นมาแล้วยิงต่อ
ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เขาไม่สามารถเอาชนะคนของซางคุนที่รายล้อมอยู่ทั้งสี่ด้านได้ ทำให้ในท้ายที่สุด เขาถูกยิงทั้งสิ้นเจ็ดนัด ปืนในมือของเขาเอ่ยตอบด้วยการร่วงหล่นลงบนพื้น
คนของซางคุนดันตัวเขาไปข้างหน้า แล้วเตะเข้าที่ข้อพับเข่าของเขา “คุกเข่าลง!”
ฉีจิ่นจือยืนนิ่งไม่ทำตาม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “พวกแกคู่ควรให้ฉันคุกเข่าให้งั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซางคุนก็หยิบปืนออกมาและยิงไปยังขาทั้งสองข้างของฉีจิ่นจือโดยตรง ทำให้คนของเขาถือโอกาสนี้เตะเข้าที่ขาของเขาอีกครั้ง
คราวนี้ ฉีจิ่นจือไม่อาจยืนนิ่งอีกต่อไป จำต้องคุกเข่าพร้อมเสียงทุ้มต่ำในลำคอ
ซางคุนก้าวมาข้างหน้า แล้วใช้ขาข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเตะเสยคางของฉีจิ่นจืออย่างไร้ปรานี พลางแสยะยิ้ม “ฉี ฉันปฏิบัติต่อแกอย่างดี”
เอ่ยจบ ก็เตะเข้าที่ร่างกายของชายหนุ่มอีกครั้ง
ฉีจิ่นจือถูกระลอกคลื่นแห่งความเจ็บปวดเล่นงานจนกระอักเลือดออกมา
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองซางคุน แล้วเยาะเย้ย “ความคับแค้นใจที่ฉันมีต่อพวกขบวนการค้ายาอย่างแกนั้นอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้”
ซางคุนแทนที่จะโกรธแต่กลับยกยิ้ม “อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้งั้นเหรอ? ดีมาก”
เขามองไปอีกทางพลางเอ่ย “แกเป็นคนกระตุ้นให้ถ่าลี่ทรยศสินะ? แกรู้ไหมว่าเธอตายยังไง?”
เขาชี้ไปยังลูกน้องเพียงสามคนที่เหลืออยู่ รวมถึงลูกน้องที่ตายอยู่บนพื้น แล้วเอ่ยต่อ “ฉันให้พวกมันทุกคนผลัดกันข่มเหงเธอ ก่อนจะถลกหนังทั้งเป็น เพื่อที่เธอจะได้รู้สึกถึงผลที่ตามมาจากการทรยศฉัน!”
เมื่อได้ยินความทุกข์ทรมานที่ถ่าลี่ต้องได้รับก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ดวงตาของฉีจิ่นจือพลันแดงก่ำด้วยความโกรธจัด เขาถ่มน้ำลายใส่ซางคุน “แกมันเสียสติ!”
“ฉันเสียสติงั้นเหรอ?” ซางคุนชี้ไปที่ตัวเองแล้วหัวเราะ “พวกแก มัดมันไว้กับต้นไม้ต้นนั้น!”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ฉันจะให้มันเห็นด้วยตาของตัวเองว่าเพื่อจับกุมฉัน พวกมันต้องตายกันไปมากมายแค่ไหน แต่กลับยังต้องมามองฉันหนีไปต่อหน้าต่อตาอีก!”
เขากล่าวเสริมว่า “จำไว้ว่าหลังจากที่ออกเรือแล้ว ให้ยิงปืนสองสามนัดใส่มันซะ เพื่อสงเคราะห์ให้มันได้ไปพบกับถ่าลี่อีกครั้ง!”
ในตอนนั้นเอง ลูกน้องของเขาได้ไปนำเรือมาแล้ว และซางคุนก็ได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นเรือ เขามองไปยังฉีจิ่นจือซึ่งถูกผูกไว้กับต้นไม้ด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับรอยยิ้มอันเย็นเนียบที่มุมปาก
เมื่อลูกน้องของเขาจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว พวกเขาก็กระโดดขึ้นไปบนเรือ “หัวหน้า เราต้องไปกันแล้ว!”
ซางคุนพยักหน้ารับ พลางชี้นิ้วไปทางฉีจิ่นจือด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจองหองอวดดี “ออกเรือ แล้วก็ฆ่ามันทิ้งซะ!”