กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามีบทที่ 574 ค่ำคืนที่หลับไม่ลง

บทที่ 574 ค่ำคืนที่หลับไม่ลง

บทที่ 574 ค่ำคืนที่หลับไม่ลง

บทที่ 574 ค่ำคืนที่หลับไม่ลง

วันเวลาผันผ่านจนกระทั่งเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน

นอกจากหน่วยลาดตระเวนซึ่งมีจำนวนมากกว่าเดิม และประตูหน้าต่างที่ปิดแน่นในยามค่ำคืน ส่วนที่เหลือก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างไปจากปกติ

เซี่ยชิงหยวนเข้าไปในเมืองอีกครั้งเพื่อต่อสายหาเหล่าไต้

แบบร่างเธอส่งไปคราวก่อนได้ตัดเย็บขึ้นเป็นเสื้อผ้าตามความต้องการของเธอแล้ว อีกทั้งระเบียบปฏิบัติในการออกนอกประเทศก็จัดการเรียบร้อย เพียงรอให้ถึงเวลานั้น เขาและอาเซียงก็จะออกเดินทางไปด้วยกัน

พร้อมด้วยนักศึกษาจากภาควิชาภาษาต่างประเทศของศาสตราจารย์เติ้ง

ประจวบเหมาะกับที่พวกเขาจะไปศึกษาแลกเปลี่ยนพอดี การเดินทางไปด้วยกันนี้จึงช่วยทำหน้าที่เป็นล่ามให้ทั้งสองคนได้ด้วย

เหล่าไต้ซึ่งอยู่ปลายสายไม่อาจหยุดความประหม่าตื่นเต้นของตนได้ “น้องชิงหยวน เธอคิดว่าเราจะทำมันได้ไหม?”

หากตั้งแต่ก้าวแรกงานแฟชั่นโชว์ประสบความสำเร็จ ร้านยามต้องมนต์ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากกระแสนิยมนี้เพื่อเป็นอิสระและสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองได้อย่างแท้จริง

แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนเองก็รู้สึกกังวล แต่เธอจะไม่ส่งต่ออารมณ์นี้ไปยังเหล่าไต้ “จงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเรา เมื่อถึงเวลาก็ทำตามที่ฉันอธิบายไปก่อนหน้า เราทำได้แน่นอนค่ะ”

ด้วยกำลังใจจากเซี่ยชิงหยวน ความมั่นใจของเหล่าไต้จึงถูกจุดขึ้นเช่นกัน “เธอวางใจเถอะ ฉันจะจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่แน่นอน”

เขาพลันนึกถึงข่าวที่รวบรวมมาเกี่ยวกับเรื่องเฟิงหวงได้ จึงเอ่ยขึ้น “จริงสิ ฉันได้ยินจากเพื่อนคนหนึ่งว่าเจ้าของทั้งสองคนของฉันเดิมพันเอาไว้ว่าหากผลงานในปีนี้ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ คงต้องยุติกิจการแล้วล่ะ”

สองพี่น้องร่วมมือกันเพื่อก่อตั้งเฟิงหวงขึ้นมา มาถึงวันนี้ ความคิดความเชื่อของพวกเขานั้นแตกต่างกัน แม้ว่าผลงานในปีนี้จะเป็นไปตามความคาดหวัง ทว่าเฟิงหวงก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้นานกว่านี้อีกแล้ว

หากแต่ตามจังหวะเวลาในชาติที่แล้ว เกรงว่าเฟิงหวงอาจต้องอดทนประคองตัวอยู่อีกสองสามปีด้วยเหตุผลบางอย่าง

เพียงแต่ว่าในระยะเวลาสองสามปีข้างหน้านี้ ทั้งเจ้าของและพนักงานของเฟิงหวงจะต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่ง

เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “เราน่าจะต้องเข้าไปพูดคุยกับรองผอ.เรื่องการเข้าซื้อเฟิงหวงดูสักหน่อยค่ะ แล้วเสนอราคาที่เขาพอใจเพื่อดูว่าพอจะเร่งการขายทอดเฟิงหวงได้ไหม”

เหล่าไต้เองก็ต้องการเข้าซื้อเฟิงหวงอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน เขาจึงเอ่ยตอบว่า “ได้ หลังกลับมาจากปารีส ฉันจะไปคุยกับเขาทันที”

เซี่ยชิงหยวนกล่าวบอกเหล่าไต้ถึงข้อควรระวังเพิ่มเติมก่อนที่จะวางสายโทรศัพท์

ระหว่างทางกลับ หญิงสาวเหลือบมองไปยังสถานที่ที่เธอพบกับฟู่ชุนไจ่เมื่อคราวก่อน ประตูสู่ตรงนั้นถูกปิดไว้แน่น มีคนที่เดินผ่านเข้าออกประตูเพียงน้อยนิดเท่านั้น

เซี่ยชิงหยวนละสายตาออกจากจุดนั้น ก่อนเดินตามถนนไปยังจุดรอรถ

เธอคิดว่าการไม่มีข่าวคราวใด ๆ เลย อาจถือเป็นข่าวที่ดีที่สุด

คืนนั้นเสิ่นอี้โจวพาพวกผู้ชายออกไปลาดตระเวนตามปกติ

ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง เขาได้กล่าวบอกกับเซี่ยชิงหยวนว่า “คืนนี้จะต้องให้ความสนใจกับความปลอดภัย อย่าหลับลึกมากจนเกินไปนะครับ”

เซี่ยชิงหยวนตระหนักได้ทันทีว่ามีเรื่องบางอย่าง ใบหน้าของหญิงสาวเผยให้เห็นร่องรอยแห่งความกังวล “คุณจะกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยใช่ไหมคะ?”

เสิ่นอี้โจวกอดเธอแน่นในอ้อมอกสักพักก่อนจะปล่อยไป

เขาจูบหน้าผากผู้เป็นภรรยาแล้วกล่าวว่า “ผมจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

เอ่ยจบ ก็หันกลับไปอย่างไร้ซึ่งความลังเล เพื่อไปสมทบกับชาวบ้านที่รออยู่ใต้บ้านไม้ไผ่ ก่อนค่อย ๆ กลืนหายไปในรัตติกาลอันมืดมิด

เซี่ยชิงหยวนไล่ตามพวกเขาไปบนทางเดิน พลางมองไปในทิศทางที่พวกเขาจากไปด้วยดวงตาแดงก่ำ

หญิงสาวมองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนและอธิษฐานต่อเหล่าทวยเทพ: วีรบุรุษผู้รักษาชายแดนอันเหลือคณานับ เหล่าตำรวจปราบปรามยาเสพติดทุกท่าน โปรดคุ้มครองให้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ

เซี่ยชิงหยวนซึ่งเปี่ยมล้นด้วยความกังวลเข้านอนพร้อมกับลูกของเธอ หญิงสาวพลิกตัวไปมา ไม่รู้ว่าเวลาผันผ่านไปนานแค่ไหนกว่าที่เธอจะผล็อยหลับไป

ขณะที่อยู่ในห้วงนิทรา จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากฝั่งตรงข้ามของเนินเขา และตามมาด้วยเสียงปืนระรัว ซึ่งดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี

เซี่ยชิงหยวนสะดุ้งตื่นจากการหลับใหล แล้วมองดูท้องฟ้ายามค่ำ ซึ่งมีแสงส่องสว่างไปกว่าครึ่ง หัวใจของเธอสั่นไหวแรงระรัวจนเต้นผิดจังหวะ แม้จะผ่านไปสักพักก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ

เด็ก ๆ ซึ่งกำลังนอนหลับก็ตื่นขึ้น ก่อนจะร้องไห้งอแงอยู่ในเปลของพวกเขา

เซี่ยชิงหยวนไม่มีเวลาเช็ดเหงื่อของตน หญิงสาวรีบลุกขึ้นไปอุ้มลูก ๆ ที่ร้องไห้ขึ้นมาแนบอก แล้วกล่อมพวกเขาเบา ๆ

หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินซึ่งอาศัยอยู่อีกฝั่งของบ้านก็ตื่นขึ้นมา และพากันตรงมาที่ห้องของเธอทันที

หลินตงซิ่วดูกังวล “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เซี่ยชิงหยวนเอ่ยปลอบว่า “อาจมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ฝั่งพม่าค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ มีทั้งหัวหน้าหลิงและพวกอี้โจว พวกเราจะไม่เป็นไร”

เปลือกตาขวาของเธอกระตุกไม่หยุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสิ่นอี้โจวหรือฉีจิ่นจือ

ชั่วขณะหนึ่ง ไม่เพียงแต่ครอบครัวของเซี่ยชิงหยวน แต่ยังรวมถึงครอบครัวอื่น ๆ อีกมากมายในหมู่บ้านต่างจุดเทียน และในขณะเดียวกันก็พลันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

เพียงแต่ในช่วงเวลานี้ คนที่อยู่บ้านส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้หญิง คนชรา และเด็ก และยิ่งในเวลาแบบนี้ ยิ่งทำให้ดูอ้างว้างโดดเดี่ยว จิตใจไม่เป็นสุข

หลังจากจุดเทียนขึ้นในช่วงสั้น ๆ ทุกคนก็ดับไฟลงอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งหมู่บ้านจึงดูราวกับว่าหลับใหลไปอีกครั้ง

ทว่าท่ามกลางความมืดมิด เสียงหัวใจเต้นรัวและลมหายใจอันหนักหน่วงของผู้คนล้วนเป็นการบอกว่าไม่มีใครกล้าหลับตาลงอีก

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองชายแดนของมณฑลอวิ๋นคุ้นเคยกับชีวิตเช่นนี้มานานแล้ว เพราะอาจเกิดการสู้รบบ้างเป็นครั้งคราว หรือบางคนอาจถูกพากลับมาในแบบที่ทั้งร่างเจิ่งนองไปด้วยเลือด หลังจากทุกคนทอดถอนหายใจสั้น ๆ จากนั้นก็ยังใช้ชีวิตตามปกติต่อไป

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีการปะทะเกิดขึ้นใกล้ชิดถึงเพียงนี้ เหมือนมีเสียงดังก้องอยู่ข้างหู

เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วอุ้มเด็ก ๆ เอาไว้ โดยกอดเสิ่นอี้หลินไว้แน่นที่ตรงกลาง พวกเขาเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวด้านนอกหน้าต่างอาคารไม้ไผ่ที่เปิดออกไว้เพียงบานเดียวเท่านั้น

พวกเขาได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ในมือถือนั้นถือมีดทำครัวหรือไม่ก็มีดปังตอเอาไว้เพื่อเตรียมสู้อย่างสุดกำลัง แต่หากสู้ไม่ได้ก็จะใช้ปลิดชีวิตตัวเองเสีย ยอมตายดีกว่าถูกเหยียบย่ำจนตาย

“พี่สะใภ้ นั่นพี่เผ่ยนี่ครับ!” ทันใดนั้นเสิ่นอี้หลินก็ชี้ไปยังจุดหนึ่งพร้อมอุทานออกมาเสียงเบา

เซี่ยชิงหยวนมองไปในทิศทางที่เด็กชายชี้ และเห็นร่างบางร่างหนึ่งวิ่งออกมาจากกระท่อมมุงจาก ซึ่งเผ่ยเยว่อาศัยอยู่บริเวณใต้เนินเขา

หญิงสาวกระเป๋าเป้ใบเล็กไว้บนหลัง พร้อมไฟฉายในมือ ก้มตัววิ่งอย่างรวดเร็วไปยังจุดที่เสียงปืนทางทิศตะวันตกดังขึ้น

หัวใจของเซี่ยชิงหยวนพลันกระตุก

เธอจะทำอะไรกันแน่?

ต้องรายงานสถานการณ์ปัจจุบันของการปะทะกันอย่างนั้นเหรอ?

พวกขบวนค้ายานั้นมีจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตอย่างยิ่ง หญิงสาวคิดว่าหากถูกจับตัวไปแล้วจะยังมีชีวิตรอดงั้นเหรอ?

หากเธอไปที่แนวหน้าและเผชิญหน้ากับฉีจิ่นจืออีกครั้ง หากเธอเพียงคนเดียวทำให้ภารกิจทั้งหมดล้มเหลว ก็จะมีฉีจิ่นจือ และอีกนับไม่ถ้วนที่ต้องสละชีวิตตัวเองไปในท้ายที่สุด

เผ่ยเยว่จะไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด!

เซี่ยชิงหยวนทั้งโกรธทั้งร้อนใจ

ใครกันคาดคิดว่าเผ่ยเยว่จะสร้างเรื่องวุ่นวายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้

ชายหนุ่มทุกคนในหมู่บ้านต่างออกไปช่วยป้องกันชายแดน ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงไม่สามารถกล่าวขอให้ใครช่วยหยุดเผ่ยเยว่ไว้ได้

ทุกบ้านก็ล้วนแล้วแต่มีผู้หญิงและเด็กเหมือนเธอกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?

เธอจะเห็นแก่ตัวขนาดนี้ไม่ได้

หญิงสาวกัดฟันเอ่ย “แม่คะ หนูจะไปพาเธอกลับมา”

หลินตงซิ่วพยายามหยุดเธอเอาไว้โดยสัญชาตญาณ “ชิงหยวน มันอันตรายเกินไป”

เวลาไม่คอยท่า เซี่ยชิงหยวนจึงไม่สามารถอธิบายเหตุผลเบื้องหลังให้หลินตงซิ่วฟังได้ในตอนนี้

เธอทำได้เพียงมองลูกสาวและลูกชายของตนด้วยแววตาแสนรัก ก่อนจะจูบเข้าที่หน้าผากของเด็ก ๆ ก่อนเอ่ยเสียงสะอื้น “แม่คะ หนูจำเป็นต้องไป”

เอ่ยจบ เธอก็ส่งเด็กน้อยไปให้เสิ่นอี้หลินอุ้มแทน และสั่งว่า “อี้หลิน พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ไม่อยู่ เธอต้องดูแลแม่ ทิงหลาน และทิงอวิ๋นให้ดี เข้าใจไหม?”

เสิ่นอี้หลินปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว พลางกัดริมฝีปากแน่นแล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ครับ”

เมื่อเอ่ยจบ เซี่ยชิงหยวนก็หยิบมือพร้า แล้ววิ่งลงบันไดไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Score 10
Status: Completed
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี ...ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! เรื่องย่อ หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

Options

not work with dark mode
Reset