บทที่ 564 เผ่ยเยว่มาถึง
บทที่ 564 เผ่ยเยว่มาถึง
เซี่ยชิงหยวนกลับไปยังหมู่บ้านพร้อมเถียนกุ้ยฟาง
เถียนกุ้ยฟางใช้เสียงอันดังของเธอตะโกนไปตลอดทาง “คุณครูเซี่ยของเราสุดยอดมาก เพียงแค่สองสามท่าก็สามารถจัดการคนให้ล้มได้แล้ว หากมีใครกล้าขายลูกสาวอีกในอนาคต พวกเราจะเป็นคนแรกที่ไปประชันหน้ากับพวกคุณ! เมื่อถึงเวลานั้น หากโดนหมัดมวยแล้วถูกโยนเข้าคุก อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก่อนล่วงหน้าแล้วกัน!”
ในขณะที่เถียนกุ้ยฟางกล่าวเช่นนี้ หัวหน้าเฉินพร้อมด้วยสมาชิกสองคนในหน่วยต่างพากันเชิดหน้าและผายอกอย่างองอาจด้วยความภาคภูมิ
ทั้งบรรดาคนที่อยู่ในบ้านและคนที่ทำงานอยู่ในเทือกสวนไร่นาล้วนหยุดมือจากงานที่ทำเพื่อดูพวกเขา
มารดาบางคนของหลายครอบครัวเหลือบมองลูกสาวของตน รู้สึกขอบคุณที่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้สามีของพวกเธอไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ส่วนผู้ชายบางคนคร่ำครวญว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ให้ลูกสาว ‘แต่งงาน’ ออกไปก่อนหน้านี้
ทว่าก็มีบางคนที่แสดงท่าทีดูถูกต่อเหตุการณ์นี้
“ขายลูกไปราวกับวัวควายเพื่อจะให้ชีวิตของตัวเองมีความสุขได้ยังไงกันน่ะ?”
“ขายลูกสาวเพื่อแต่งสะใภ้เข้าบ้านเหรอ? ไม่กลัวรึไงว่าหลานออกมาจะไม่มีรูก้นน่ะ!”
“ทำไมไม่ขายตัวเองไปซะล่ะ? ไม่แน่ว่าอาจได้เพิ่มมาอีกหลายหยวนจากการขายก้น*[1] ก็ได้!”
…
เซี่ยชิงหยวนเดินไปตามคันนา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความสุขผ่านพ้นคือความวิตกกังวลอย่างหนัก
เพราะในภูเขาลูกใหญ่หลายพันลูก ยังมีเด็กสาวแบบเหม่ยลี่อีกนับไม่ถ้วน
พวกเธอได้ลืมตามาดูโลกเช่นเดียวกับเหม่ยลี่ แต่ไม่ได้โชคดีเท่าเหม่ยลี่ที่ได้พบกับคนที่มีเมตตาปรานีให้การช่วยเหลือ
การบรรเทาความยากจนไม่ได้เกี่ยวข้องแค่เรื่องทรัพย์สินเงินทองในการดำรงชีวิตผู้คนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติความเชื่อของพวกเขาด้วย ซึ่งนี่มักจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุด
ความคิดที่ว่าชายสูงหญิงต่ำ รวมถึงความเชื่อที่ว่าผู้หญิงควรเป็นฝ่ายเสียสละนี้ยังคงมีอยู่ แม้แต่ในชาติที่แล้วที่เธอจากมาก็ตาม
หญิงสาวมองไปทางภูเขาที่ตั้งตระหง่านก็พลันรู้สึกถึงความไร้กำลังอย่างลึกซึ้ง
ในทันใดนั้นเอง เสียงระฆังของโรงเรียนดังขึ้น เด็ก ๆ รีบออกมาจากห้อง
ในมือของพวกเขาถือกล่องข้าวกลางวันแบบต่าง ๆ ใบหน้าล้วนประดับด้วยรอยยิ้ม และเมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน พวกเขาก็รีบหันหลังแล้ววิ่งมาหาเธอ
“คุณครูเซี่ย!”
“สวัสดีคุณครูเซี่ย!”
“คุณครูเซี่ย ไปช่วยเหม่ยลี่มาแล้วเหรอคะ?”
“คุณครูเซี่ย ครูสามารถเอาชนะพวกคนเลวพวกนั้นมาได้ใช่ไหมครับ?”
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ พร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและสรรเสริญ
ทันใดนั้น น้ำตาของเซี่ยชิงหยวนก็พลันเอ่อคลอ
หญิงสาวพยักหน้าอย่างแรง “พรุ่งนี้เหม่ยลี่จะกลับมาเรียนกับพวกเธอจ้ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็ก ๆ ก็พากันโห่ร้องยินดี
“ดีจังเลย!”
“คุณครูเซี่ยสุดยอด!”
“คุณเซี่ยเป็นนางฟ้า!”
เซี่ยชิงหยวนลูบหัวของเด็กคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดว่า “พวกเธอรีบไปกินข้าวเถอะ ต้องกินให้ท้องอิ่มนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณครูเซี่ย!”
“รับทราบครับ คุณครูเซี่ย!”
เด็ก ๆ กล่าวลาเธอแล้วพากันจับกลุ่มวิ่งออกไปอีกครั้ง
เถียนกุ้ยฟางซึ่งยืนอยู่ข้างหลังห่างจากเซี่ยชิงหยวนไม่กี่เมตร มองภาพตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมาจากใจว่า “ฉันเคยคิดมาตลอดว่าพวกเรายากจนกันมากขนาดนี้ หากได้เรียนหนังสือแล้วจะมีอนาคตอันสดใสจริงไหมนะ? ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป แต่จะสอนให้คนรู้จักมารยาทและความละอายใจอย่างแน่นอน มุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่เที่ยงตรงและใช้การได้”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น กิริยาวาจาและการประพฤติตนของเด็กที่ออกจากโรงเรียนไปนั้นแตกต่างไปจากเด็กที่ไม่เคยเข้าโรงเรียน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ “บางครั้งเวลาที่รู้สึกหลงทาง เพียงแค่มองไปยังพวกเขา ก็จะพบทิศทางและแรงจูงใจในการก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งค่ะ”
พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้เด็ก ๆ เป็นคนสัตย์ซื่อและมีเมตตา แม้ว่าจะไม่สามารถพาพวกเขาออกจากภูเขาไปได้ก็ตาม
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากศูนย์บรรเทาความยากจนก็เข้ามาพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “คุณครูเซี่ย พี่กุ้ยฟาง มีคนมาที่หมู่บ้านครับ!”
เถียนกุ้ยฟางเอ่ยถาม “ใครกัน?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าวว่า “เป็นนักข่าวจากเมืองหลวง บอกว่าอยากสัมภาษณ์และเขียนเรื่องราวของพวกเราให้คนทั้งโลกได้รู้ครับ”
ขมับของเซี่ยชิงหยวนพลันนูนขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบาย “ชื่ออะไรเหรอคะ?”
เจ้าหน้าที่เกาหัวพลางครุ่นคิด “เหมือนว่าจะชื่อ… เผ่ยเยว่?”
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วของเธอเบา ๆ พลางมองไปยังทิศทางที่ประเทศพม่าตั้งอยู่
นักข่าว?
สัมภาษณ์?
อืม เรื่องนี้ชักจะน่าสนใจแล้วสิ
…
ในตอนที่เซี่ยชิงหยวนกำลังเดินมา เผ่ยเยว่ก็กำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์บรรเทาความยากจนอยู่
เธอมองเห็นภาพเงาของรูปร่างที่งดงามกำลังเข้ามาใกล้ประตู จึงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “พี่สาวชิงหยวน!”
เซี่ยชิงหยวนผลิยิ้ม ก่อนจะกล่าวต้อนรับเผ่ยเยว่ “เมื่อครู่พอได้ยินว่ามีนักข่าวจากเมืองหลวงชื่อเผ่ยเยว่ ฉันรู้ว่าต้องเป็นเธอ”
เผ่ยเยว่ดึงเซี่ยชิงหยวนเข้ามากอดอย่างมีความสุข พร้อมยกยิ้มอันมีเสน่ห์ของตน “จริงเหรอคะ? พี่ไม่รู้หรอกว่าฉันต้องใช้ความพยายามไปมากแค่ไหนเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดนี้”
หลังจากจากมณฑลอวิ๋นไป เธอกับเซี่ยชิงหยวนก็พูดคุยกันผ่านจดหมายและโทรศัพท์ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินว่าเผ่ยเยว่พยายามต่อสู้มาพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้ เธอสงสัยอยู่ครู่หนึ่งว่านี่ใช่โชคชะตาของฉีจิ่นจือหรือไม่
เธอกล่าวว่า “ได้ที่พักแล้วรึยังล่ะ? ถ้าไม่รังเกียจมาพักที่บ้านของฉันก็ได้”
เผ่ยเยว่สั่นศีรษะพร้อมกล่าวขอบคุณเซี่ยชิงหยวน “ขอบคุณค่ะพี่สาวชิงหยวน แต่ไม่ต้องหรอก เมื่อครู่สหายคนนี้บอกว่าได้จัดที่พักให้ฉันข้าง ๆ หน่วยรักษาความปลอดภัยแล้ว ที่นั่นปลอดภัยมากค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนขมวดคิ้วแน่น “หน่วยรักษาความปลอดภัยเต็มไปด้วยผู้ชาย จะสะดวกกับเธอที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวได้ยังไง? ไม่ได้ ไม่ได้ ไปบ้านฉันดีกว่า”
เผ่ยเยว่ยืนกราน “พี่สาวชิงหยวน มันไม่จำเป็นจริง ๆ ฉันได้ยินมาว่าพรุ่งนี้จะมีหมอผู้หญิงมาอีกหนึ่งคน พวกเราก็จะได้เป็นเพื่อนกันพอดีด้วยค่ะ”
เธอจับมือของเซี่ยชิงหยวน แล้วออดอ้อนราวกับเด็ก “อีกอย่างครั้งนี้ฉันมาที่นี่เพื่อกินอยู่ร่วมกับชาวบ้าน จะได้เข้าถึงผู้คนได้ เพื่อนำไปเขียนรายงานให้ดียิ่งขึ้น”
นอกจากบุคลากรครูแล้ว สิ่งที่หายากที่สุดคือหมอ
ครั้งนี้มีหมอผู้หญิงมาด้วย เธอสมัครมานานกว่าสามเดือนถึงได้รับอนุมัติ
เซี่ยชิงหยวนเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่ได้บังคับเธออีก หญิงสาวเอ่ยว่า “ก็ได้ หากเธอต้องการอะไรก็ให้ไปหาฉันนะ”
เซี่ยชิงหยวนจับมือของเธอเอาไว้ “ไป ไปนั่งเล่นที่บ้านของฉันกัน”
เผ่ยเยว่พยักหน้า “ดีค่ะ! ตั้งแต่ทิงหลานและทิงอวิ๋นคลอดออกมา ฉันก็ยังไม่เคยได้พบหน้าพวกเขาเลย”
เธอค้นกระเป๋าเป้สะพายหลังของตัวเอง แล้วหยิบกล่องที่ประณีตงดงามออกมาสามกล่อง “ฉันเตรียมของขวัญมาให้พวกเขาค่ะ มีของอี้หลินด้วยนะ”
ในตอนเย็น เผ่ยเยว่กินอาหารที่บ้านของเซี่ยชิงหยวน และพูดคุยกันสักพักเกี่ยวกับแผนงานต่อไปของเธอ จนกระทั่งเวลาผันผ่านไปจนถึงดึกดื่น เซี่ยชิงหยวนจึงไปส่งเธอที่ที่พัก
เผ่ยเยว่รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง “พี่สาวชิงหยวน พี่ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะเสนอข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ให้คนทั้งประเทศได้รู้อย่างแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อื้อ ฉันขออวยพรล่วงหน้าให้ทุกอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคนะ”
เผ่ยเยว่กล่าวต่อ “ยังมีวีรบุรุษผู้คอยดูแลรักษาชายแดนของประเทศเราด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันให้ความสำคัญที่สุดสำหรับงานนี้ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพลันหัวเราะแห้ง ๆ อย่างฝืน ๆ “หึหึ หึหึ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับมาที่บ้าน หญิงสาวก็กล่าวบอกกับเสิ่นอี้โจวว่า “อี้โจว ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องคิดหาทางออกไว้สักหน่อยนะ”
[1] ก้น รูก้นในที่นี้เป็นสแลงโดยมากมักใช่กล่าวว่าคนไม่มีคุณธรรม ส่วนหลานออกมาจะไม่มีรูก้นนั้น มีความหมายว่าคนที่ให้กำเนิดลูกนั้นเห็นแก่ตัว จะส่งผลกระทบถึงคนรุ่นต่อไป