กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามีบทที่ 558 ผู้หญิงขี้บ่น

บทที่ 558 ผู้หญิงขี้บ่น

บทที่ 558 ผู้หญิงขี้บ่น

บทที่ 558 ผู้หญิงขี้บ่น

เซี่ยจื่ออี้ไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมป้องกัน เมื่อถูกไป๋อวิ๋นหลี่ผลักทำให้ซวนเซล้มลงบนโซฟาโดยตรง

เธอตั้งสติและมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “คุณผลักฉันเหรอ?”

ความรู้สึกผิดของไป๋อวิ๋นหลี่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะมองเธอด้วยแววตาเบื่อหน่าย “ผมเองทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่อยากกลับบ้านมาแล้วต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเซ้าซี้ไร้เหตุผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคุณอีกหรอกนะ”

“นี่ฉันเซ้าซี้คุณอย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยจื่ออี้ชี้ตัวเอง

เธอลุกขึ้นแล้วรีบเดินไปหาไป๋อวิ๋นหลี่ “คุณพูดมาสิว่าเดือนนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ ผู้หญิงที่ศาลากลางนั่นสนใจคุณมานานแล้ว งานเลี้ยงคราวนี้เธอเองก็อยู่ที่นั่น!”

เมื่อไป๋อวิ๋นหลี่ได้ยินดังนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเซี่ยจื่ออี้จะกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย

ชายหนุ่มคลายเนคไทออก ด้วยอยากจะเข้าไปในห้องเต็มที “อย่างที่บอก ผมเข้าสังคมก็เพราะเรื่องงาน หากคุณยังจะสร้างเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ผมเองก็ไม่มีอะไรจะอธิบาย”

เซี่ยจื่ออี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง

ไป๋อวิ๋นหลี่มองเซี่ยจื่ออี้ซึ่งกำลังขวางทางของเขาอยู่ และในที่สุดความอดทนของเขาก็หมดลง “เซี่ยจื่ออี้ ดูสิว่าตอนนี้คุณกลายเป็นอะไรไปแล้ว ไปส่องกระจกดูว่าคุณเหมือนพวกผู้หญิงขี้บ่น บ่นไปเสียทุกเรื่อง คุณคิดว่าตัวเองยังเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเซี่ยอยู่เหรอ? แทนที่จะเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้ ไม่สู้คุณลองคิดให้มากขึ้นว่าคุณจะช่วยให้อาชีพการงานของผมดีขึ้นได้ยังไงจะดีกว่าไหม?”

จากนั้นเขาก็ผลักเธอออกไปอย่างไร้ความปรานี แล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปในห้อง

เซี่ยจื่ออี้มองไปยังประตูห้องที่ปิดลงต่อหน้าต่อเธอแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง

เหมือนพูดกับตัวเองว่า “ผู้หญิงขี้บ่นงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า… ผู้หญิงขี้บ่น! ฮ่าฮ่าฮ่า….”

เธอคิดว่าเขาสนใจในตัวเอง เสียแรงกายแรงใจอย่างยิ่งเพื่อแต่งงานกับเธอ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น ‘ผู้หญิงขี้บ่นที่ไม่เคยพอใจอะไร!’

แสงจันทร์นวลผ่องนอกหน้าต่างสาดส่องลงบนใบหน้าของหญิงสาว ทำให้ร่างของเธอดูเหมือนผีสาวที่น่าสะพรึงกลัว

ก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบบนใบหน้า พร้อมกับหน้าอกที่สั่นไหวอย่างรุนแรง

เธอพยายามอดกลั้นอดทนมันเอาไว้ซ้ำ ๆ ก่อนที่ในที่สุดจะเช็ดน้ำตาแล้วเข้าห้องน้ำไป

การมาเยือนในอำเภอเล็ก ๆ ของเสิ่นอี้โจวและคณะผู้ติดตามของเขานี้ แม้ว่าความพยายามในการบรรเทาความยากจนอย่างเป็นทางการจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนโดยองค์กรเอกชน ผลิตภัณฑ์ที่ถูกผลิตออกมาจากภูเขาจึงมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้อำเภอรุ่ยทั้งอำเภอเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่อย่างสมบูรณ์ในเวลาเพียงครึ่งปี

เมื่อมีก้าวเล็ก ๆ เช่นนี้ ในที่สุดเจ้าหน้าที่ซึ่งนิ่งเฉยก็เคลื่อนไหวในที่สุด

เงินซึ่งไม่สามารถติดตามได้ก่อนหน้านี้ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ได้รับการสืบสาวราวเรื่องและพบว่าถูกยักยอกโดยเจ้าหน้าที่ที่ดูแลงานโครงสร้างพื้นฐานในมณฑลอวิ๋น และเมื่อแกะรอยติดตามเบาะแสไปทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนถูกสอบสวนและลงโทษ

ทันทีที่จัดการเรื่องงบประมาณแล้ว จึงมีการจัดสรรปันส่วนลงมา

เสิ่นอี้โจวอ่านรายงานที่ถูกส่งกลับมาแล้วก็พลันขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับผลลัพธ์

ชายหนุ่มพยักหน้า “ทิ้งเบี้ยเพื่อรักษาเรือ ช่างเป็นกลวิธีที่โหดเหี้ยมเสียจริง”

ด้วยความช่วยเหลือของอาจารย์ไป๋อวิ๋นหลี่และกลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่ในระดับสูง ในท้ายที่สุด พวกเขาลงเอยด้วยการยอมสละผู้คนทั้งเส้นสายเพื่อแลกกับความปลอดภัยของเบื้องบน แม้แต่การเลื่อนตำแหน่งของไป๋อวิ๋นหลี่ก็ถูกระงับ

เซี่ยชิงหยวนเอ่ยปลอบ “ความสัมพันธ์ของพวกเขาเกี่ยวพันกันมากจนไม่อาจโค่นล้มได้ในชั่วข้ามคืนหรอก ตอนนี้เป็นแบบนี้ก็นับว่าไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียวนะ อย่างน้อยก็ตัดแขนของพวกเขาไปได้”

เสิ่นอี้โจวพยักหน้าพลางกล่าว “อื้ม อย่างน้อยก็คงทำให้พวกเขาอยู่เฉยไปอีกสองสามปี”

ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะปรับเปลี่ยนพัฒนาพื้นที่ห่างไกลยากจนในอำเภอรุ่ยเหล่านี้ให้สำเร็จแล้ว

เซี่ยชิงหยวนมองออกนอกหน้าต่างไปยังเด็กสองคนที่เดินเซไปเซมา ด้วยกำลังหัดเดินโดยจับเก้าอี้ไว้แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เมื่อถึงเวลาที่สองพี่ชายน้องสาวต้องเข้าโรงเรียน ฉันเดาว่าเราคงกลับไปอยู่ในเมืองแล้วล่ะ”

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ถนนของหมู่บ้านที่สามารถใช้เดินทางไปในตำบลได้เปิดขึ้น และฟาร์มเพาะพันธุ์ โรงเพาะเห็ด ตลอดจนสวนผลไม้ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น แม้แต่โรงเรียนก็ถูกสร้างขึ้นแล้วเช่นกัน

ราวกับว่าเรื่องของอันธพาลกวนนั้นถูกผู้คนลืมเลือนไปนานแล้ว จึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก

หากมีเรื่องอะไรที่เสียใจ เซี่ยชิงหยวนคิดว่าเป็นเรื่องการไปโรงเรียนของเด็ก ๆ นั้นแหละ

อาคารไม้ไผ่หลังใหญ่มีนักเรียนทุกวัยรวม ๆ แล้วราวสามสิบถึงสี่สิบคน บางคนถึงกับอุ้มน้องชายน้องสาวของตัวเองมาเรียนด้วย

นักเรียนสามสิบกว่าคนนี้เป็นเด็กจากหมู่บ้านโดยรอบหลายแห่งรวมกัน

แม้ว่าโรงเรียนจะจัดการเรื่องอาหารเช้าและอาหารกลางวันให้ แต่หนึ่งในสามของเด็กก็ยังไม่สามารถมาเรียนได้

เธอและเถียนกุ้ยฟางได้ไปเยี่ยมบ้านแต่ละหลัง ซึ่งพวกเขาต่างให้เหตุผลเดียวกันว่าเมื่อเด็ก ๆ ไปโรงเรียน จะไม่มีใครอยู่คอยทำงานบ้าน

นอกจากนี้ยังมีเด็กที่อาศัยอยู่ตามภูเขาที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งมาที่นี่เพราะได้ยินในชื่อเสียง ทุกวันพวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางเพื่อเดินทางข้ามภูเขามายังโรงเรียน

ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ไร้เดียงสา เท้าเปล่าเต็มไปด้วยโคลนและรอยแผลเป็น ทว่าหัวใจเปี่ยมด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในการแสวงหาความรู้และการเปลี่ยนแปลงชีวิตในอนาคต

เซี่ยชิงหยวนพลันรู้สึกเศร้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

เสิ่นอี้โจวให้กำลังใจเธอว่า “สิ่งที่เราทำได้คือสร้างปัจจัยให้พวกเขา แต่เด็กทุกคนมีชีวิตที่ถูกลิขิตไว้ของตนแล้ว เราไม่สามารถล้ำเส้นพ่อแม่ของพวกเขาและตัดสินใจแทนพวกเขาได้หรอก”

เป็นผลให้เซี่ยชิงหยวนทำได้เพียงอุทิศตัวให้กับการศึกษามากยิ่งขึ้น หญิงสาวนั้นเรียนรู้ศึกษาด้วยตนเองไปพร้อมกับรับหน้าที่สอนและถ่ายทอดความรู้ให้เด็ก ๆ

หญิงสาวต่อสายโทรศัพท์อยู่สามสี่ครั้งในระหว่างนั้น โดยในตอนนี้ร้านเสื้อผ้ายามต้องมนต์นั้นมีสาขามากกว่ายี่สิบสาขา และกำไรจนถึงตอนนี้ก็สูงถึงเกือบห้าแสนหยวน

ส่วนโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเฟิงหวงอยู่ในช่วงขาลง พอประคองตัวให้รอดไปวัน ๆ ราวกับกำลังรอใครสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

เหล่าไต้เองก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว เพียงรอให้ข่าวของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเฟิงหวงประกาศออกมา เขาก็พร้อมเข้าไปจัดการทันที

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดำเนินไปในทิศทางที่ดี

วันหนึ่ง หน่วยรักษาความปลอดภัยได้อุ้มร่างหนึ่ง ซึ่งเปียมโชกไปด้วยเลือดเข้ามาที่สถานีอนามัย พร้อมตะโกนว่า “หมอไช่! คุณหมอไช่!”

ไช่จิ้งกั๋วรีบวิ่งออกมาจากห้องพยาบาล พร้อมกล่าวบอกทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า “รีบวางคนไข้ลงบนเตียงนี้ครับ!”

ศีรษะและขาของชาวบ้านคนนี้เต็มไปด้วยเลือด น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เขาอยู่ในสภาวะกึ่งรู้สึกตัว และร้องบอกว่า “เจ็บ!”

ไช่จิ้งกั๋วรีบลงมือปฐมพยาบาลพร้อมถามว่า “ไปได้รับบาดเจ็บแบบนี้มาได้ยังไงครับ?”

คนของหน่วยรักษาความปลอดภัยกล่าวว่า “ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ ตอนที่เราลาดตระเวนก็ไปพบเขาเข้าที่ทางทิศตะวันตก ในตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บแล้วและตะโกนบอกเราว่า ‘ช่วยด้วย’”

ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของไช่จิ้งกั๋วก็มืดลง

หลังจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์บรรเทาความยากจนมาประจำการที่นี่ กองทัพเองก็มีความเข้มแข็งมากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะยังคงเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนกำลังคน แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ทุกวันนี้หมู่บ้านรุ่ยนั้นสงบสุขอย่างยิ่ง ย่อมไม่มีทางที่ชาวบ้านจะสร้างความอลหม่านวุ่นวายขึ้นมา

เขามองไปทางทิศตะวันตก ดวงตาของชายหนุ่มพลันมืดมน

ทางด้านตะวันตกคือประเทศพม่า

มันจะเป็นแบบที่เขาคิดหรือเปล่า?

ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้มาคิดเรื่องนี้ เขาดึงผ้ากอซออกแล้วก้มศีรษะลงเพื่อรักษาชาวบ้าน แต่หัวใจของเขากลับเริ่มตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ

บาดแผลนั้นดูไม่เหมือนรอยกัดของสัตว์ป่า แต่เหมือนบาดแผลที่เกิดจากมีดและกระสุนปืน

ดั่งคาด เป็นไปตามที่เขาคาดคิด หมอหนุ่มดึงกระสุนปืนออกมาจากขาที่บาดเจ็บของชาวบ้าน

เมื่อกระสุนที่นำออกมาถูกวางลงบนถาดเหล็ก สีหน้าของทุกคนก็พลันแปรเปลี่ยนไป

คนของหน่วยรักษาความปลอดภัยปริปากเอ่ยขึ้นทันที “คุณหมอไช่ เรื่องการรักษานี่ต้องรบกวนคุณหมอแล้ว ผมขอตัวไปรายงานหัวหน้าก่อนครับ”

ไช่จิ้งกั๋วทราบดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงพยักหน้ารับ “ที่นี่ผมจะจัดการเอง คุณรีบไปเถอะ”

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Score 10
Status: Completed
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี ...ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! เรื่องย่อ หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

Options

not work with dark mode
Reset