บทที่ 555 เซี่ยจื่ออี้แต่งงานแล้ว
บทที่ 555 เซี่ยจื่ออี้แต่งงานแล้ว
เมื่อคำพูดดังกล่าวดังขึ้น ลูกน้องของเขาก็ไปนำแผนที่อำเภอรุ่ยฉบับใหม่ล่าสุดที่พวกเขาเพิ่งจัดทำมาทันที
เสิ่นอี้โจวกางแผนที่ออก ดวงตาอันเฉียบคมของเขากวาดไปรอบ ๆ แผนที่อย่างรวดเร็ว ก่อนหยิบปากกาออกมาทำเครื่องหมายและวาดเส้นทางสองสามเส้นทาง
เขาวางปากกาลง พลางคิดวางแผน “ขาของเขาได้รับบาดเจ็บ จะต้องหนีไปได้ไม่ไกลแน่ ใช้เส้นทางค้นหาตามนี้ ไม่ถึงหนึ่งวัน จะต้องหาเขาพบแน่ครับ”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยหยิบแผนที่ขึ้นมาพร้อมเอ่ยรับทันที “ผมจะพาคนออกไปตามหาตอนนี้เลยครับ”
“ช้าก่อน” เสิ่นอี้โจวตะโกนบอกเขา “ปล่อยให้เขาอยู่บนภูเขาด้วยความอกสั่นขวัญแขวนสักคืน แล้วค่อยไปตามหาเขาพรุ่งนี้เช้าดีกว่า”
วิ่งหนีตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ ย่อมต้องหิวโหย ซ้ำต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น*[1] ต้องอยู่ในป่าเขาอีกหนึ่งคืน แล้ววันพรุ่งนี้จะยังหนีไปไหนได้อีก?
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเชื่อฟังคำสั่งของเสิ่นอี้โจว แล้วเอ่ยตอบ “ครับ!”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ถ้าใครกำลังนินทาว่ากล่าวในเรื่องนี้อยู่ จะต้องได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีนะครับ”
เจ้าหน้าที่ของศูนย์บรรเทาความยากจนรีบสัญญาทันที “ผู้อำนวยการเสิ่นโปรดวางใจครับ เดิมทีในช่วงเช้ามีคนซุบซิบพูดกันอยู่หลายคน ทว่าพอถึงตอนบ่ายสถานการณ์พวกนี้ก็เงียบหายไปแล้วครับ”
แน่นอนว่าพวกเขาได้เอ่ยติเตียนและบอกกล่าวสั่งสอนชาวบ้านเหล่านั้น แต่การที่เรื่องนี้เงียบหายภายในเวลาไม่ถึงวันนั้นเกินความคาดหมายของพวกเขาจริง ๆ
เสิ่นอี้โจวตบไหล่พวกเขา “ลำบากพวกคุณแล้ว”
กล่าวจบก็เดินจากประตูศูนย์บรรเทาความยากจนและมุ่งหน้ากลับบ้าน
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในตอนที่เขาไม่อยู่บ้าน ภรรยาคงเป็นทุกข์ไม่น้อย
แต่ใครเลยจะรู้ว่าในขณะที่เสิ่นอี้โจวกำลังคิดถึงวิธีปลอบโยนเซี่ยชิงหยวน หญิงสาวก็อุ้มเสิ่นทิงอวิ๋นเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือตรอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ชี้ไปบนโต๊ะตรงหน้าเสิ่นอี้หลิน “ลำดับขีดของตัวอักษรนี้ผิด จำไว้ว่าปิดช่องในตอนท้ายสุดนะ”
เสิ่นทิงอวิ๋นคว้าผมยาวสลวยของเซี่ยชิงหยวน และพยายามเอามันเข้าปากของเขา ทว่าเซี่ยชิงหยวนยั้งไว้ได้ทัน หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “เด็กบ๊อง ผมกินไม่ได้นะ”
หลินตงซิ่วอุ้มเสิ่นทิงหลานเอาไว้ เธอกำลังกินโจ๊กไม่เสร็จดี พร้อมแสดงสีหน้ารังเกียจน้องชายของตัวเองที่เอาผมเข้าปาก
ก่อนที่เสิ่นอี้โจวจะเดินเข้ามาในบ้าน เด็กน้อยก็สังเกตเห็นเขา จึงรีบโบกมือให้พร้อมร้องเรียกอย่างมีความสุข
ด้วยเสียงตะโกนของเสิ่นทิงหลาน ทุกคนจึงสังเกตเห็นเสิ่นอี้โจว ซึ่งอยู่ที่หน้าประตู
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นเคย “กลับมาแล้วเหรอคะ?”
หลินตงซิ่วซึ่งอุ้มเสิ่นทิงหลานไว้พลันลุกขึ้นขึ้น “ลูกรอก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้ตอนนี้เลย”
เสิ่นอี้โจวรับเสิ่นทิงหลานมาจากหลินตงซิ่ว แล้วเอ่ยกับหลินตงซิ่วว่า “แม่ครับ ไม่ต้องรีบหรอก”
มีความหิวอย่างหนึ่งที่เรียกว่าแม่คิดว่าลูกหิว
หลินตงซิ่วกล่าวว่า “มีโจ๊กอยู่ในหม้อ แล้วก็มีอาหารรองท้องอยู่ เดี๋ยวแม่ไปอุ่นให้ร้อนแล้วเอามาให้นะ”
เสิ่นอี้โจวเองมีเรื่องอยากพูดคุยกับเซี่ยชิงหยวน ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธผู้เป็นแม่ “ขอบคุณครับแม่”
เขาบอกใบ้ให้เซี่ยชิงหยวนตามเขาไปอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือของเธอเอาไว้พลางลูบเบา ๆ บนหลังมือ “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เซี่ยชิงหยวนก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องรู้เรื่องแล้วเป็นแน่
เธอพยักหน้ารับ “ฉันไม่เป็นไรหรอก”
อารมณ์ที่กักเก็บมาตลอดทั้งวันพังทลายลงทันทีด้วยถ้อยคำทักทายของเขา
ในใจของเธอพลันรู้สึกกล้ำกลืนเมื่อได้สบสายตาที่อ่อนโยนราวกับให้อภัยได้ทุกอย่างของเขา ทว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหัวใจที่ร่อนเร่ของเธอได้พบหลุมหลบภัยในทันใด ทั้งยังรู้สึกว่าเธอไม่ต้องแบกมันไว้กับตัวเองอีก
หญิงสาวถือโอกาสเอนกายแอบอิงที่ไหล่กว้างของเขา “วันนี้ฉันตบอาเหมยไปสองทีแน่ะ”
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวนิ่งงัน จากนั้นเขาก็ลูบไหล่ภรรยาเบา ๆ “ตบไปแล้วก็ช่างมันเถอะ คุณจะมีผมอยู่เสมอ”
ท่าทีระมัดระวังอย่างยิ่งของเธอนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้น “เป็นผมเองที่ไม่ได้ปกป้องคุณให้ดี ตอนนั้นคุณคงกลัวมากสินะ”
ในบ้านมีเพียงคนแก่และเด็ก ๆ เมื่อมีคนร้ายปีนขึ้นบ้านมาจะไม่กลัวได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้า “ตอนแรกฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อยนะ แต่พอคิดถึงลูก ก็ไม่กลัวอะไรแล้วล่ะ”
ความเป็นแม่ทำให้คนเราเข้มแข็งได้เสมอ
เสิ่นอี้โจวโอบกอดทั้งเธอและลูกไว้ในอ้อมแขน “ผมกลับมาแล้ว”
หลินตงซิ่วที่ออกจากห้องครัวมาพร้อมกับโจ๊กและอาหารรองท้อง เมื่อเห็นหนึ่งครอบครัวสี่คนกอดกัน ดวงตาของเธอก็พลันแดงก่ำขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
การมีผู้ชายสักคนอยู่ในบ้านทำให้รู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ
หญิงชราถอนหายใจพลางมองไปยังร่างเล็กของเสิ่นอี้หลินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กำลังต่อสู้กับการบ้านที่เซี่ยชิงหยวนสั่งไว้
เฮ้อ เมื่อไหร่ลูกชายคนเล็กของเธอจะเติบโตขึ้น และเสริมกำลังใจหาญกล้าขึ้นให้แก่เธอและพี่สะใภ้ของเขาเสียทีนะ?
จู่ ๆ เสิ่นอี้หลินก็รู้สึกถึงสายตาไม่ชอบใจ จึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบสายตาเข้ากับหลินตงซิ่วพอดี
แม่ของเขาไม่ชอบเขางั้นเหรอ?
ราวกับไม่เชื่อ เด็กชายชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วกระซิบว่า “แม่ครับ?”
หลินตงซิ่วมองดูเขาแล้วถอนหายใจอีกครั้ง “เฮ้อ ต่อไปลูกกินข้าวกินปลาให้มากหน่อยนะ”
เสิ่นอี้หลิน “…”
…
คู่สามีภรรยาพูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ก่อนเข้านอน
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “การเข้าไปในเมืองครั้งนี้ต้องขอบคุณรายชื่อที่คุณให้ผมมาอย่างมากเชียวนะ เจ้าหน้าที่ของเราทำการติดต่อไปและได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ผมเชื่อว่าขอเพียงถนนได้รับการซ่อมแซม ก็สามารถพาชาวบ้านไปสู่ความมั่งมีขึ้นได้แน่”
เดิมทีเขามีความคิดจะลองดูเท่านั้น แต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจอย่างมาก ทั้งยังแสดงความเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างชายแดนมาตุภูมิ
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้วสิ รายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมดนั้น ฉันทำการคัดกรองด้วยตัวเองเลยนะ”
หนึ่งในการเตรียมการที่เธอทำในช่วงหลายเดือนตอนอยู่ในมณฑลอวิ๋นคือการคัดกรองรายชื่อคนเหล่านั้น
หากพวกเขาช่วยก็เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ แต่หากไม่ช่วยถือเป็นไมตรีจิต เธอเองไม่ตำหนิอะไรทั้งสิ้น
เธอเพียงหวังว่าคนที่รายชื่อนั้นจะพึ่งพาได้ก็เท่านั้น
เสิ่นอี้โจวโอบแขนรอบเอวของเธอไว้ ก่อนจุมพิตที่หน้าผากของผู้เป็นภรรยา “เงินที่เสียไป ตอนนี้เหมือนจะมีประโยชน์แล้วสิ ผมมั่นใจว่าใช้เวลาอีกไม่นาน พวกเราจะสามารถขยายโครงการเข้าไปในอำเภอได้”
หมู่บ้านเล็กในหุบเขานี้เป็นเพียงการนำร่อง พวกเขาย่อมไม่อาจอยู่ที่นี่ตลอดไปได้
เมื่อไปที่อำเภอเพื่อออกคำสั่งไปยังหน่วยงานในพื้นที่โดยรอบ มันก็จะสะดวกยิ่งขึ้น
จากอำเภอไปสู่เมือง ก่อนจะไปสู่มณฑลหรือเมืองหลวง ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องของเวลาเพียงเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกยินดีเช่นกัน “ดีจริง ๆ ค่ะ”
เพราะเงินจำนวนนี้ถูกไป๋อวิ๋นหลี่สั่งระงับด้วยเหตุผลหลายประการเพื่อไม่ให้เงินถูกกระจายลงมา
ตราบใดที่รู้ที่ตั้งของกองทุน การขอเงินจากพวกเขาโดยตรงจึงง่ายกว่ามาก
เขาพลันนึกข่าวที่ได้ฟังมาจากฉู่ซิงอวี่อีกเรื่องขึ้นมาได้ “มีอีกเรื่องหนึ่งนะ เซี่ยจื่ออี้แต่งงานกับไป๋อวิ๋นหลี่แล้ว”
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเรื่องนี้ย่อมเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่เธอไม่คิดว่ามันจะเร็วถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง เสิ่นอี้โจวก็รู้ว่าเธอประหลาดใจ เขาจึงอธิบายว่า “ผู้อำนวยการเซี่ยกับเสี่ยวตงนั้นสนิทชิดเชื้อกันขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้เซี่ยจื่ออี้ทะเลาะกับเขาในเรื่องนี้อยู่บ้าง พ่อกับลูกสาวทะเลาะกัน และอีกสองสามวันต่อมา เซี่ยจื่ออี้ก็จดทะเบียนสมรสกับไป๋อวิ๋นหลี่โดยไม่มีงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสใดๆ เลย”
เซี่ยชิงหยวนอดรู้สึกขบขันขึ้นมาไม่ได้เมื่อได้ยินเรื่องนี้
ใครกันจะคาดคิดว่าเซี่ยจื่ออี้ที่วางแผนนั่นวางแผนนี่ แต่สุดท้ายกลับแต่งงานกับไป๋อวิ๋นหลี่แบบนี้
ไม่ได้รับการสนับสนุนและคำอวยพรจากพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ปราศจากงานแต่งงานอันยิ่งใหญ่ที่เธอจินตนาการไว้ เพียงแต่งงานกับเขาด้วยทะเบียนสมรสเท่านั้น
หญิงสาวเอ่ยว่า “เธอแต่งงานกับไป๋อวิ๋นหลี่ ฉันเกรงว่าในอนาคตเธอจะต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากแน่”
แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดไป๋อวิ๋นหลี่ถึงยอมแต่งงานกับเซี่ยจื่ออี้ ผู้ไม่ได้รับความสนใจจากเซี่ยเจิ้งอีกแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้คือนั่นต้องไม่ใช่ความตั้งใจของเขาเป็นแน่
เฮอะ ต่อจากนี้ไปก็จะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้วสินะ
ทั้งสองคนแค่คุยกันสัพเพเหระ ก่อนจะล่องลอยไปสู่โลกแห่งความฝัน
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ในขณะครอบครัวกำลังนั่งให้อาหารลูกเจี๊ยบกันอยู่ ก็มีหน่วยรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งวิ่งรุดมาอย่างมีความสุข
เขายืนอยู่นอกรั้วไม้ไผ่และตะโกนว่า “ผู้อำนวยการเสิ่น จับโจรได้แล้วครับ!”
ได้ยินดังนั้น เสิ่นอี้โจวจึงหันไป “ไปเถอะ ไปดูกัน”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยรั้งเขาไว้ “อี้โจว ฉันจะไปด้วย”
หากโจรคนนั้นคืออันธพาลกวนจริง ๆ เขาจะต้องมาแว้งกัดเธออีกครั้งอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว เขามีความคิดที่ไม่ค่อยดี ซึ่งแตกต่างจากการที่เซี่ยชิงหยวนเอ่ยชวนเขาให้มาที่บ้าน
เสิ่นอี้โจวไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเธอ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ได้สิ”
[1] ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น เปรียบเทียบว่ากลัวเกินกว่าเหตุ กลัวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน