บทที่ 553 ปล่อยข่าวลือ
บทที่ 553 ปล่อยข่าวลือ
แม้ว่าจะมองไม่เห็นอย่างชัดเจนด้วยเพราะความมืดมิด แต่เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของเขา ก็นับว่ามีความคล้ายคลึงกับอันธพาลกวนที่เธอพบเมื่อตอนกลางวันอยู่ราว 70-80 เปอร์เซ็นต์
เซี่ยชิงหยวนกำหมัดแน่น แต่น่าเสียดายที่เขาเพิ่งวิ่งหนีไป
หวังว่าพวกเขาจะจับชายคนนั้นได้ ไม่เช่นนั้นอันตรายก็ยังมีอยู่ แล้วมันคงทำให้เธอนอนไม่หลับแน่ ๆ
…
ชายคนนั้นปีนขึ้นมาบนบ้านไม้ไผ่ในช่วงก่อนเที่ยงคืน และทุกคนก็กลับมาทีละคนจนถึงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
ทว่าเซี่ยชิงหยวนจำต้องรับความผิดหวัง ชายคนนั้นยังไม่ถูกจับ
หญิงสาวกักเก็บความหดหู่ในใจเอาไว้ พลางยกยิ้มและขอบคุณทุกคน จากนั้นจึงกลับมายังบ้านไม่ไผ่โดยไม่ได้หลับตลอดทั้งคืน
วันรุ่งขึ้น เธอไปศูนย์บรรเทาความยากจนตั้งแต่เช้าครู่ เพื่อเล่าให้พวกเขาฟังถึงข้อสันนิษฐานของตัวเอง
“อะไรนะ? คุณสงสัยว่าคนที่ปีนหน้าต่างบ้านคุณเมื่อคืนนี้คืออันธพาลกวนเหรอ?” เจ้าหน้าที่ศูนย์บรรเทาความยากจนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ “เมื่อคืนนี้แสงสลัว ฉันไม่เห็นชัดเจนนัก และฉันแค่คาดเดาเท่านั้นค่ะ ฉันใช้ไม้คานฟาดเข้าที่ศีรษะของเขา ทั้งยังดูเหมือนว่าเขาจะล้มตอนที่กระโดดลงไปด้วย ดังนั้นหากมีอาการบาดเจ็บพวกนี้เกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญค่ะ”
หลังจากมีปฏิสัมพันธ์กันมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของศูนย์บรรเทาความยากจนจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเซี่ยชิงหยวน อีกทั้งความมีไมตรีจิตของเธอก็ทำให้พวกเขาชื่นชอบเธอไม่น้อย
เจ้าหน้าที่ของศูนย์บรรเทาความยากจนมีสีหน้าขุ่นเคือง “ช่างกล้าจริง ๆ เขากล้าใช้ความคิดอันต่ำช้านี้กับครอบครัวของผู้อำนวยการเสิ่นได้ยังไงกัน!”
เขารับรองกับเซี่ยชิงหยวนว่า “คุณนายเสิ่นโปรดวางใจ เราจะจับคนร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุดครับ!”
จากนั้นเขาก็ปรบมือขึ้น “จริงสิ จัดหาคนจากฝ่ายดูแลความปลอดภัยมาคอยช่วยเหลือดีกว่า”
ในเวลานี้ ทหารปลดประจำการได้จัดตั้งฝ่ายรักษาความปลอดภัยขึ้นมา ซึ่งแบ่งเป็นรับผิดชอบด้านการรักษาความปลอดภัยโดยรอบและฝ่ายลาดตระเวนบริเวณชายแดนโดยเฉพาะ
เป็นเพราะการปรากฏตัวของพวกเขาเมื่อคืนนี้ที่ทำให้โจรถูกพบเห็นในทันที
เซี่ยชิงหยวนกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ จากนั้นจึงไปดูฟาร์มเพาะพันธุ์พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการเพาะพันธุ์ในศูนย์บรรเทาความยากจน
เริ่มจากการที่ผู้คนมองเธอแตกต่างออกไปเล็กน้อย พลางเอ่ยกระซิบหลังจากที่เธอเดินผ่านไป
ดูเหมือนว่าแม้คนเมื่อคืนจะอธิบายให้แทนเธอ แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดเจตนาร้ายของคนที่มีความคิดบางอย่างได้
เซี่ยชิงหยวนรู้ดีว่ายิ่งในเวลาแบบนี้ เธอยิ่งต้องสงบสติอารมณ์ให้มากขึ้น
เพราะปากนั้นอยู่บนร่างกายของคนอื่น เธอย่อมไม่สามารถไปคอยปิดมันเอาไว้ได้
ถึงเธอจะอธิบายให้คนหนึ่งฟัง แต่ก็มีอีกคนที่คอยนินทาลับหลังเธอ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแทนที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่ ควรมุ่งความสนใจไปยังต้นตอของข่าวลือนี้จะดีกว่า
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อครั้งอยู่ในมณฑลอวิ๋น หญิงสาวจึงสามารถโค่นเซี่ยจื่ออี้ลงได้ในคราวเดียว
เมื่อเธอไปถึงฟาร์มเพาะพันธุ์ เถียนกุ้ยฟางก็อยู่ที่นั่นแล้ว และสีหน้าของเธอเมื่อมองมายังเซี่ยชิงหยวนนั้นพลันฉายวาบขึ้นมาถึงร่องรอยแห่งความเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะถูกปกปิดไว้อย่างรวดเร็ว
เธอยกยิ้ม “น้องชิงหยวน เธอมาแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ “มาดูไก่และเป็ดที่ซื้อมาเมื่อวานนี้น่ะค่ะ”
ด้วยความช่วยเหลือจากทหารปลดประจำการ เล้าไก่และเล้าเป็ดจึงถูกทำขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่พื้นที่สำหรับเลี้ยงปศุสัตว์ขนาดใหญ่ที่เหลือยังคงอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
เถียนกุ้ยฟางเอ่ย “พวกเขากำลังให้ยาลูกเจี๊ยบลูกเป็ดอยู่แหนะ”
ไก่และเป็ดมีแนวโน้มว่าจะป่วยง่าย ซึ่งสอดคล้องกับภูมิคุ้มกันของพวกมัน
ในเวลานี้ คนในชนบทไม่เข้าใจเรื่องนี้ จะคิดหายาก็เฉพาะเมื่อไก่เป็ดเจ็บป่วยและกำลังจะตายเท่านั้น
แต่ไก่และเป็ดมักถูกเลี้ยงไว้นอกบ้าน ไหนเลยจะหาได้ทันท่วงทีล่ะ?
เซี่ยชิงหยวนเฝ้าดูจากข้าง ๆ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเมื่อเธอเห็นว่าเถียนกุ้ยฟางดูเหมือนมีอะไรจะพูดกับเธอ หญิงสาวจึงเดินไปพร้อมกับเถียนกุ้ยฟาง
เถียนกุ้ยฟางจับแขนของเธอเอาไว้พร้อมท่าทีอึกอักอยากจะพูด แต่ไม่พูดออกมา ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอก็เอ่ยขึ้น “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ พวกเราล้วนได้ยินกันหมดแล้ว”
เธอมองไปรอบ ๆ พลางเอ่ย “เธอวางใจเถอะ มีคนไม่น้อยที่เชื่อในตัวเธอ บางคนอาจเอาไปพูดลับหลัง แต่เธออย่าได้เก็บเอามาใส่ใจ เมื่อวันเวลาผันผ่านไปก็ไม่มีใครมาจดจำหรอก”
เธอถอนหายใจ “พวกเขาเอาเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ก็เพราะในทุก ๆ วันต่างว่างกันมากเกินไป ทั้งยังมีวิสัยทัศน์คับแคบด้วยน่ะ”
ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน สามีของเถียนกุ้ยฟางจึงเคยเข้ารับการศึกษาอยู่หลายปี จึงพออ่านออกเขียนได้ อีกทั้งเขายังไปทำงานที่ในตัวอำเภออยู่สองสามปี เธอคิดว่าตัวเองได้รับอิทธิพลจากเขามาไม่น้อย ซึ่งแตกต่างจากพวกผู้หญิงในหมู่บ้าน
ถ้อยคำปลอบโยนของเถียนกุ้ยฟางทำให้เซี่ยชิงหยวนรู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย
เธอกล่าวว่า “ขอบคุณค่ะพี่สาวกุ้ยฟาง”
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้น “พี่สาวกุ้ยฟาง วันนี้เห็นอันธพาลกวนบ้างไหมคะ?”
เถียนกุ้ยฟางตอบว่า “ไม่เห็นนะ เขามักจะใช้เวลาทั้งวันเตร็ดเตร่ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในละแวกนี้ บางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าเขาหนีไปไหน”
จากนั้นเธอพลันชะงัก “ทำไมจู่ ๆ ถึงถามถึงเขาขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนจึงเล่าบอกให้เธอฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ใบหน้าของเถียนกุ้ยฟางบูดเบี้ยวด้วยความโกรธ “ไอ้อันธพาลกวน กล้าทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าลับล่อน่าสงสัย!”
เธอลูบมือของเซี่ยชิงหยวน พลางเอ่ยอย่างเกลียดชังว่า “ไม่ต้องกังวลไปนะ หากว่าเขาเป็นคนทำเรื่องนี้จริง ๆ ต้องได้เห็นดีกันแน่นอน!”
ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจากอาเหมย
พวกเธอลดเสียงลง แต่อารมณ์ของพวกเธอกลับร่าเริงมากเสียจนเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นไม่สามารถลดเสียงลงได้
อาเหมยผู้ซึ่งหน้าบานเป็นกระด้งเอ่ยว่า “ฉันรู้มานานแล้วว่าหล่อนไม่ใช่คนประพฤติตัวเรียบร้อยอะไร ดูชุดที่หล่อนสวมใส่สิ ที่เอวรัดแน่นจนหน้าอกจะล้นออกมาอยู่แล้ว ไหนจะท่าทางเย้ายวนมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์นั่นอีก หล่อนยิ้มให้ทุกคนที่พบเจอ กลัวจะไม่มีคนรู้หรือไงว่าต้องการจะหาเหยื่อ? ฉันว่านะคราวนี้หล่อนนั่นแหละเป็นขโมยเองแต่เรียกร้องให้จับขโมย สามีเพิ่งออกไปตอนกลางวัน ตกดึกก็เรียกผู้ชายมาหาที่บ้านแล้ว เมื่อฝ่ายรักษาความปลอดภัยจับได้ก็ชักสีหน้าบอกไปว่าไม่รู้จัก แล้วบอกว่าคนคนนั้นมาปีนหน้าต่างห้องของตัวเอง พวกเธอว่ามาซิ ว่าหากหล่อนไม่ไปยั่วคนอื่นเขา บ้านคนอื่นมีตั้งมากมาย ทำไมคนคนนั้นไม่คิดปีน ไปปีนก็แต่บ้านหล่อนกัน?”
เถียนกุ้ยฟางและเซี่ยชิงหยวนซึ่งยืนอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินวาจาของอาเหมยก็อยากจะพุ่งไปถลกหนังเธอซะจริงๆ!
เซี่ยชิงหยวนรั้งเถียนกุ้ยฟางเอาไว้ พร้อมบอกให้เธอใจเย็น ๆ
เถียนกุ้ยฟางโกรธมาก “หล่อนทำลายชื่อเสียงของเธอแบบนั้นแล้วนะ!”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “พี่สาวกุ้ยฟาง ฉันไปเองค่ะ”
เรื่องนี้เป็นเรื่องของเธอเอง จึงไม่ต้องการให้เถียนกุ้ยฟางเข้ามาพัวพันด้วย
พอเอ่ยจบ หญิงสาวก็เดินออกมาจากด้านหลังป่าไผ่ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ที่แท้ก็เป็นพวกเธอนี้เองที่กำลังเคี้ยวโคนลิ้น*[1] อยู่ที่นี่! รู้ไหมว่าพฤติกรรมของพวกเธอเรียกว่าอะไร? เรียกว่าใส่ร้ายป้ายสี มีโทษถึงจำคุก!”
[1] เคี้ยวโคนลิ้น หมายถึง นินทาว่าร้าย