บทที่ 552 จับโจร
บทที่ 552 จับโจร
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของชายคนนั้นถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าเพื่อไม่ให้มองเห็นใบหน้าแท้จริงของเขา
เขาระแวดระวังมาก โดยชะโงกศีรษะเข้าไปครึ่งหนึ่งแล้วเอียงแนบกับหน้าต่าง ก่อนจะหันไปทางเตียงก่อน ราวกับกำลังสำรวจดูสถานการณ์ภายในห้อง
ภายในห้องไม่มีเทียนจุดอยู่ เมื่อมองผ่านมุ้งเข้าไปก็เห็นร่างหนึ่งนูนขึ้นมาอยู่ราง ๆ ที่ข้างเตียงมีเปลเล็ก ๆ สองอัน และที่เปลนั้นมีผ้าล้อมรอบไว้ จึงยังไม่ชัดเจนว่าในตอนนี้เด็กน้อยที่อยู่ในเปลนั้นหลับไปหรือยัง
หากแต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากเด็กน้อยร้องไห้รบกวนเวลาดีของเขา ๆ ก็แค่บีบคอไปเสียซะก็สิ้นเรื่อง
หลังจากนั้น ศีรษะของชายคนนั้นก็หันมาทางเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนกลั้นหายใจ แผ่นหลังของเธอแนบแน่นไปกับผนังและไม่กล้าขยับเขยื้อน พร้อมที่จะกระโจนเข้าโจมตีทุกเมื่อ
โชคดีที่เธอยืนอยู่ในทิศทางที่เป็นบริเวณข้างประตู เมื่อชายคนนั้นเหลือบไปก็เห็นว่าประตูปิดอยู่ จึงไม่ได้สนใจมองไปด้านข้างอีก
วินาทีต่อมา ชายคนนั้นก็ปีนขึ้นบันไดมาอีกขั้นหนึ่ง เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนของเขา
ก่อนที่เซี่ยชิงหยวนจะเคลื่อนไหว ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากนอกหน้าต่าง “นั่นใคร!”
ร่างกายของชายคนนั้นสั่นจนแทบจะร่วงหล่นลงไป
เซี่ยชิงหยวนรีบวิ่งตรงออกไปและเหวี่ยงไม้คานในมือของเธอแล้วกระแทกอย่างแรงทันที
ชายคนนั้นหลบไม่ทัน จึงถูกฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง ทำเอาเขามึนงงเสียจนเห็นดาว
ทว่าเขาไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาเสียด้วยซ้ำ ได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดอู้อี้อยู่ในลำคอเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนถือโอกาสตะโกนออกมาเสียงดัง “มีขโมย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ!”
เธอหยิบคานห้ามแล้วทิ่มไปที่ชายคนนั้น ด้วยอยากจะดันเขาจากบันไดไม้ไผ่
เสียงของเซี่ยชิงหยวนใสชัดเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อเธอร้องตะโกนเต็มที่ เสียงของเธอก็ยิ่งไกลออกไปในค่ำคืนอันเงียบงัน
หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลิน ซึ่งอาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของบ้านได้ยินเสียงตะโกนของหญิงสาวในขณะหลับใหลก็พลันตื่นขึ้นจากภวังค์ รีบสวมรองเท้าและเข้ามาหาเธอ
เสิ่นทิงหลายซึ่งตื่นขึ้นมานานแล้วนั้นไม่หวาดกลัวสิ่งใดเลย ในขณะที่เสิ่นทิงอวิ๋นกำลังหลับอยู่กลับตื่นตกใจเสียงของเซี่ยชิงหยวน เด็กชายเบะปากเล็ก ๆ ของเขาเตรียมจะร้องไห้จ้า
เสิ่นทิงหลานเอื้อมมือเล็ก ๆ ของเธอออกมาและยัดเข้าไปในปากที่ไม่มีฟันของน้องชายได้ทันเวลา เสียงนั้นจึงเป็นเพียงเสียง “อื้อ อื้อ” เท่านั้น
เสิ่นทิงอวิ๋นเผลอแทะมือเล็กอวบอ้วนของพี่สาวโดยไม่รู้ตัวเสียจนลืมร้องไห้
และเมื่อเซี่ยชิงหยวนตะโกนออกไปเช่นนี้ ชายคนนั้นก็ตกใจมากและกือบจะกลิ้งลงจากบันไดไม้ไผ่
เขาเบี่ยงหลบคานหามของเซี่ยชิงหยวนในขณะที่ปืนลงบันไดด้วยความกระวนกระวาย
เมื่อเขาหันมองไปก็เห็นแสงสว่างจากไฟฉายส่องมาจากบ้านไม้ไผ่ที่อยู่ไม่ไกล การที่เขาปีนลงไปบันไดไปทีละขั้น ๆ นั้นนับว่าสายไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าผู้คนกำลังจะไล่ตามมาทัน ชายคนนั้นเหลือบมองไปยังพื้นดินที่อยู่ด้านล่างห่างไปเกือบสองเมตร ก่อนจะกระโดดลงไปด้วยใจเหี้ยม
บางทีเขาอาจจะลงผิดท่า ทำให้มีอาการปวดขึ้นมาเฉียบพลันที่ขาซ้ายของเขา
เขากลิ้งตัวลงบนพื้น ฝืนทนความเจ็บปวดแสนสาหัสเพื่อลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งหายลับเข้าไปในป่าไผ่
ทหารปลดประจำการซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ไล่ตามมาได้ทัน จึงวิ่งตามทิศทางที่ชายคนนั้นมุ่งไปอย่างรวดเร็ว โดยผู้ที่เป็นหัวหน้าเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเซี่ยชิงหยวนจากด้านล่าง “คุณนายเสิ่น เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
เซี่ยชิงหยวนสั่นศีรษะพลางเปล่งเสียงเอ่ยบอก “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันผลักเขาลงไปก่อนที่เขาจะปีนเข้ามาได้ ต้องรบกวนพวกคุณแล้ว”
นอกจากทหารปลดประจำการแล้ว ยังมีชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลต่างก็รีบวิ่งมาเช่นกัน ถ้อยคำที่เซี่ยชิงหยวนกล่าวบอกนั้นก็ตั้งใจบอกกับพวกเขาด้วย
ในสายตาของพวกเขา ทหารปลดประจำการและศูนย์บรรเทาความยากจนรวมกันเป็นหนึ่ง เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องไม่ปิดบัง หากคนมีเจตนาใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีข่าวลืออะไรถูกแพร่ออกไปบ้าง
แม้ทหารปลดประจำการแล้วจะพยายามช่วยเธออธิบาย แต่พวกเขาก็จะถูกมองว่าปกป้องเธอ
การให้พวกเขาได้ยินด้วยหูของตัวเองโดยตรงเช่นนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
การได้ยินด้วยหูอาจกลายเป็น ‘การเห็นด้วยตาตนเอง’ ได้ง่ายเมื่อมีคนพูดถึง
เมื่อถึงเวลานั้น หญิงสาวไม่จำเป็นต้องอธิบายก็จะมีคนอื่นมาปฏิเสธข่าวลือให้
ดั่งที่เซี่ยชิงหยวนคาด ชาวบ้านที่รีบวิ่งเข้ามา เมื่อได้ยินคำพูดของเธอจากไม่ไกลนักก็พลันสบถ “ให้ตายสิ เมื่อครู่นี้ฉันเห็นเขาล้มลงเหมือนกัน”
เอ่ยจบ พวกเขาจึงก่นด่าสาปแช่งและไล่ตามชายคนนั้นไป
หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินรีบวิ่งมาจากห้องข้าง ๆ ด้วยท่าทางตื่นกลัวและวิตกกังวล “ชิงหยวน เป็นอะไรไหม?”
เซี่ยชิงหยวนจับมือของหลินตงซิ่วเอาไว้ และรับรู้ได้ว่ามือของเธอสั่น “แม่คะ หนูไม่เป็นไรค่ะ”
แม้เหตุการณ์จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่หัวใจของหลินตงซิ่วยังคงหวาดผวา “อี้โจวเพิ่งไปในตัวอำเภอวันนี้เอง แต่ครอบครัวของเรากลับตกเป็นเป้าในคืนนี้แล้ว ทั้งยังไม่รู้อีกว่าใครพยายามทำร้ายเรา”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินตงซิ่ว คนผู้หนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในความคิดของเซี่ยชิงหยวน