บทที่ 546 หญ้าบนยอดกำแพง
บทที่ 546 หญ้าบนยอดกำแพง
ตอนนั้นอาเหมยไม่พอใจนัก “ทำไมฉันจะต้องไปคอยประจบสอพลอหล่อนเหมือนอย่างเถียนกุ้ยฟางกัน?”
เมื่อเอ่ยขึ้นมา หญิงสาวก็พลันมีโทสะ “อ้อ คุณเห็นว่าหล่อนยังสาวยังสวยก็เลยเริ่มคิดถึงขึ้นมารึไง? ลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่แต่งงานกับฉัน คุณพูดว่าอะไร?”
อย่างน้อยตอนที่เธอยังเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม เธอก็เป็นสาวงามในหมู่บ้าน มีผู้คนมากมายมาตามเทียวไล้เที่ยวขื่อ หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอจึงแต่งงานกับสามีคนนี้
อีกทั้งความเป็นจริงยังชี้ชัดว่าสิ่งที่เธอเลือกนั้นถูกต้อง ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวดีที่มั่งมีที่สุดในหมู่บ้าน
เป็นเรื่องปกติที่เธอจะเสียใจที่สามี ซึ่งมักจะเชื่อฟังเธอในทุกเรื่องกลับเอ่ยบอกให้ตนเข้าไปคบค้าสมาคมกับหญิงอื่น
สามีของเธอเองก็รู้ว่าผู้เป็นภรรยาจะทำตัวไร้เหตุผลตีโพยตีพาย จึงรีบพลิกตัวหันหลังแสร้งทำเป็นง่วง “นี่ก็ดึกแล้ว รีบนอนเถอะ”
เอ่ยจบ เขาก็ส่งเสียงกรน ซ้ำยังนอนนิ่งไม่ขยับเหมือนกระดิ่งไม่ว่าเธอจะหยิกหรือตีหลังของเขามากแค่ไหนก็ตาม
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อาเหมยก็อดรู้สึกขมขื่นในใจขึ้นมาไม่ได้ ”คุณนายเสิ่นอะไรนั่นก็ไม่ใช่คนดีเหมือนกัน ดูท่าทางมอมเมาผู้คนด้วยเสน่ห์นั่นสิ เพียงมาถึงหมู่บ้านวันแรกก็ล่อลวงชายทุกคนไปเสียหมดแล้ว แม้แต่คนเสเพลไร้แก่นสารในหมู่บ้านก็ยังมองเธอจนตาค้างน้ำลายหก”
อวี้จูไม่รู้ว่าเหตุใดอาเหมยจึงโยงเข้าไปหาเซี่ยชิงหยวนได้
ทว่าเธอไม่ได้โง่ และเมื่อมองเห็นแววตาของอาเหมยที่ไม่สามารถซ่อนความหึงหวงของตัวเองเอาไว้ได้ เธอก็เข้าใจในทันที
จึงหัวเราะ “เหอะเหอะ” ออกไปแห้ง ๆ สองครั้ง “แล้วเมื่อคืนเธอปรุงเนื้อยังไง? เหลือไว้สำหรับวันนี้บ้างไหม?”
อาเหมยคิดว่าอวี้จูจะตอบโต้ด้วยการก่นด่าสักประโยคสองประโยคเหมือนเช่นปกติ ไหนเลยจะรู้ว่าอวี้จูกลับเฉไฉเบี่ยงประเด็นไปเสียอย่างนั้น
หญิงสาวเหลือบมองอวี้จูด้วยความรำคาญพลางเอ่ย “เธอเองก็เป็นหญ้าบนยอดกำแพง*[1]เหมือนกันนั่นแหละ!”
เอ่ยจบก็ยักไหล่อย่างไม่แยแส แล้วหันหลังกลับบ้าน
ใบหน้าของอวี้จูพลันงุ่มงามอับอาย ก่อนจะส่งเสีย “แหวะ” ไล่หลังอาเหมยที่เดินหายไป จากนั้นจึงก้มตัวลงแล้วหันกลับไปทางแปลงผักของตัวเอง
เธอไม่ได้โง่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ไปล่วงเกินเซี่ยชิงหยวนพียงเพราะเห็นแก่อาเหมยสักหน่อย
เถียนกุ้ยฟางก็เคยบอกแล้วว่า ที่นี่เป็นหมู่บ้านนำร่อง พวกเจ้าหน้าที่ของศูนย์บรรเทาความยากจนจะอยู่ที่นี่อย่างมากก็สองสามเดือนเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องไปยังเมืองหรืออำเภออื่นต่อ เธอเองมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ ทว่าต้องรอให้พวกเขาจากไปเสียก่อน จึงจะพูดออกมาได้
พูดตามตรง เธอก็เสียใจอยู่เล็ก ๆ เช่นกันว่าทำไมตนถึงอยากเอาเปรียบเล็ก ๆ น้อย ๆ จนไปทำให้เถียนกุ้ยฟางโกรธเข้า ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะพอหาเงินมาจากตรงนี้ได้บ้าง
ด้วยความคิดนี้ อวี้จูจึงเร่งมือของเธออีกครั้ง โดยตั้งใจจะกลับบ้านให้เร็ว
…
เถียนกุ้ยฟางรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนมาหาเธอวันนี้เพื่อไปซื้อลูกไก่ ดังนั้นจึงไม่รอช้าจึงรีบล้างมือในคูน้ำ และพาเธอไปซื้อลูกไก่จากคนที่มีไข่ฟักออกมา
เถียนกุ้ยฟางกล่าวว่า “รวม ๆ ดูแล้วไก่เลี้ยงของทุกครอบครัวนั้นก็ไม่ได้มีมากนัก และส่วนใหญ่ก็วางไข่เพิ่มเพียงไม่กี่ใบ จึงไม่ค่อยกล้ากินกัน ปีที่แล้วครอบครัวของฉันได้แม่ไก่มาสี่ตัว ต่อมาพวกมันป่วยแล้วตายไปถึงสามตัวในคราวเดียว ไม่อยากจะบอกเลยว่าน่าเสียดายขนาดไหน”
สิ่งที่กลัวที่สุดในการเลี้ยงสัตว์ปีกคือโรคภัย หากตรวจเจอช้า ย่อมติดเชื้อหมดทุกตัวแน่นอน
เมื่อเธอโยนไก่ที่ตายแล้วออกไป แม่สามีของเธอเสียใจมากจนหลั่งน้ำตา “ฉันบอกให้ฆ่าไก่แต่เธอไม่ฟัง! ตอนนี้ดีจริงเชียว มันตายไปแล้ว! น่าเสียดายจริง ๆ หากเธอฆ่ามันตามที่ฉันบอก ทั้งครอบครัวก็คงมีเนื้อไว้กินแล้ว!”
เอ่ยจบก็ยังพยายามไปหยิบไก่ที่ตายแล้วขึ้นมา “ทำไมจะกินไม่ได้? เธอดูสิ มีแค่เธอนั่นแหละที่เอะอะโวยวาย”
เถียนกุ้ยฟางเองไม่ใช่คนถือทิฐิอะไรนัก เมื่อไก่ตายเธอเองก็เจ็บปวดหัวใจเช่นกัน แต่แม่สามีก็ยังต่อว่าไม่จบไม่สิ้น
เธอเดินไปข้างหน้าแล้วคว้าไก่ที่ตายแล้ว ซึ่งแม่สามีหยิบขึ้นมาโยนทิ้งลงถังขยะ “แม่ไม่รู้ว่าการเลี้ยงไก่ตัวนี้มันยากแค่ไหน ที่หนูไม่อยากฆ่ามันก็เพราะอยากให้มันออกไข่เพิ่มอีกสักสองสามฟองไม่ใช่รึไง? บ้านนี้มีกี่ปากที่รอกินอยู่? แม่จะฆ่าไก่มากินได้ทุกวันเลยรึไงล่ะ? ได้! ถ้าแม่อยากจะกินนัก ก็เอาไปกินเองที่ข้าง ๆ บ้าน อย่าพาลูกชายลูกสาวของหนูไปกินไก่ตายด้วย!”
เอ่ยจบก็หันหลังกลับเข้าบ้านด้วยความโกรธ
แน่นอนว่าแม่สามีไม่กล้าหยิบไก่ที่ตายแล้วขึ้นมา
ทว่ากลับถอนหายใจทั้งวัน เมื่อสามีของเธอเห็นว่าแม่ของเขาไม่มีความสุข จึงหันมาดุด่าเธอ จนทำให้ในท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ทะเลาะกันใหญ่โต
เซี่ยชิงหยวนเมื่อได้ฟังถ้อยคำของเธอ ก็พลันตระหนักว่าไข่ทั้งสิบใบที่เธอให้เมื่อวานนั้นย่อมไม่ได้เก็บรวบรวมมาได้โดยง่าย
หญิงสาวจึงเอ่ยปลอบใจ “สัตว์ปีกมีภูมิต้านทานต่ำและเสี่ยงต่อการติดโรคได้ง่าย เราเลี่ยงปัญหานี้ได้หากเราเข้าใจและเรียนรู้วิธีการที่เหมาะที่ควรนะ”
เมื่อสร้างฟาร์มเพาะพันธุ์จะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย และในศูนย์บรรเทาความยากจนนั้น นอกจากเจ้าหน้าที่ที่จัดการการเพาะปลูกแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ที่มีองค์ความรู้ในการเลี้ยงสัตว์ปีกและปศุสัตว์อีกด้วย
เถียนกุ้ยฟางตอบว่า “หากว่าพวกเธอมีวิธีการพวกนี้ย่อมดีเลย เพื่อที่เราจะได้กล้าเลี้ยงไก่และเป็ดมากขึ้นด้วย”
ในที่สุด เถียนกุ้ยฟางก็พาเซี่ยชิงหยวนไปถามทุกคนที่เธอรู้จักในหมู่บ้านเพื่อซื้อลูกไก่ ซึ่งได้มาทั้งหมดเจ็ดตัว
เดิมทีเซี่ยชิงหยวนตั้งใจจะถ่ายทอดถ้อยคำของเสิ่นอี้โจวที่ว่าครอบครัวสามารถขายลูกไก่และลูกเป็ดให้ฟาร์มเพาะพันธุ์ได้ ทว่าหลังจากได้ไปเยี่ยมบ้านของชาวบ้านแล้ว หญิงสาวกลับไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเลย
ชาวบ้านบางคนเมื่อได้ยินว่าเซี่ยชิงหยวนต้องการซื้อลูกไก่ พวกเขาก็ยกไก่ทั้งสองตัวที่มีให้ ไหนเลยจะเหลือลูกไก่ให้เลี้ยงอีก?
เฮ้อ ยากจนเกินไปจริง ๆ
…
เซี่ยชิงหยวนกลับบ้านพร้อมกับลูกไก่อย่างมีความสุข ก่อนจะพบว่าที่บ้านมีเพียงชายหนุ่มสองคนที่มาที่บ้านเพื่อช่วยสร้างห้องน้ำและห้องส้วมเมื่อวานนี้ ส่วนหลินตงซิ่งกับเสิ่นอี้หลินนั้นไม่อยู่บ้าน
เซี่ยชิงหยวนทักทายพวกเขาแล้วเอ่ยถาม “พอจะทราบไหมคะว่าแม่สามีของฉันพาเด็ก ๆ ไปไหน?”
ชายหนุ่มทั้งสองตอบว่า “เธอกับเด็ก ๆ หยิบตะกร้าแล้วขึ้นไปบนภูเขาน่ะครับ เห็นบอกว่าจะเก็บผักป่ากันครับ”
ทันทีที่เซี่ยชิงหยวนได้ยินประโยค ความกังวลก็พลันตีขึ้นมาทันที ด้วยเรื่องหมูป่าเมื่อวานนี้นั้นทิ้งผลกระทบไว้อย่างรุนแรงเกินไป
หญิงสาวรีบวางลูกไก่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ แล้วคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่อีกผืน จากนั้นจึงออกไปตามหาพวกเขา
เซี่ยชิงหยวนมองไปในทิศทางที่ชายสองคนกล่าวบอก
แต่ที่บริเวณตีนเขากลับไร้ซึ่งเงาของหลินตงซิ่วและเสิ่นทิงอวิ๋น?
เธอถามชาวบ้านที่ทำงานอยู่ในละแวกใกล้ ๆ ชาวบ้านบางคนก็บอกว่าพวกเขาไปทางทิศตะวันตก ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าพวกเขาไปทางทิศตะวันออก นี่ทำให้เซี่ยชิงหยวนยิ่งร้อนอกร้อนใจ
ขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย!
[1] หญ้าบนยอดกำแพง หมายถึงคนไม่มีจุดยืน โอนเอนไปมาไร้ความแน่วแน่