บทที่ 545 เรียบง่ายจริงใจ
บทที่ 545 เรียบง่ายจริงใจ
เสิ่นอี้หลินเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอครับ?”
ก่อนจะพลันเกิดความกังวลขึ้นมา “แต่เมื่อวานมีหมูป่านะ”
ในภูเขากว้างใหญ่ลูกนี้ ไม่ได้มีเพียงหมูป่าเท่านั้น เมื่อคืนเขาตื่นขึ้นมากลางดึกจึงได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอน และนกฮูกส่งเสียงร้อง แม้ว่าตนเองจะหาญกล้ามาโดยตลอด ทว่าตอนนี้ก็อดรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
ตัวเขาเองนั้นสามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็ว แต่หากมีหลินตงซิ่ว รวมถึงเด็กน้อยสองคนอีก คาดว่าคงยากเหลือทนแน่
หลินตงซิ่วกล่าวว่า “พวกเราแค่ไปดูตามทางและเชิงเขาเท่านั้นเองลูก ไม่ไปไกลหรอก”
ในตอนแรกที่มาถึง เธอสังเกตเห็นว่าตลอดทางทั้งทุ่งกว้างและภูเขาล้วนเต็มไปด้วยผักกับผลไม้ป่า
ผู้คนที่นี่กินไม่หมด ทั้งยังเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอาไปขาย ทำให้ผักและผลไม้ป่ามีอยู่อย่างล้นหลาม
ตัวเธอเองคุ้นเคยกับความลำบากเป็นอย่างดี จึงไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไรนัก ทว่าเสิ่นอี้โจวและภรรยาของเขา รวมถึงเด็ก ๆ ทั้งสามคนนั้นไม่อาจกินทุกอย่างตามผู้ใหญ่แบบนี้ไปได้ตลอด
ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้มีที่ดินเพื่อใช้ปลูกผัก หากเธอไม่ไปเก็บเองก็ทำได้เพียงรับผักปลามาจากชาวบ้านที่นำมาให้ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของเธอเลย
เสิ่นอี้หลินอยู่ที่นี่มาได้หลายวันแล้ว แต่ได้ออกไปวิ่งเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับบ้านมาเท่านั้น เมื่อได้ยินหลินตงซิ่วเอ่ยขึ้นมาแบบนี้ เด็กชายก็ต่อสู้กับความคิดของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ครับ อย่างนั้นพวกเราไปหาเก็บผักรอบ ๆ นี้แล้วกัน”
เอ่ยจบ เขาก็ไปหาสายคล้องพาดไหล่สองเส้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วช่วยอุ้มเด็กไว้บนหลังของหลินตงซิ่ว โดยมีเสิ่นทิงอวิ๋นนั้นอยู่ข้างหน้า และเสิ่นทิงหลานอยู่ข้างหลัง
และด้วยการอุ้มเด็กแบกเด็กไว้แบบนี้ก็ต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง
ตอนนี้เด็กทั้งสองเริ่มอยากกินนั่นนี่ ทั้งยังสนใจในทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะเสิ่นทิงอวิ๋นที่เห็นอะไรก็จับเข้าปากตัวเองในทันทีไปเสียหมด
หากไม่อุ้มเขาไว้ข้างหน้า แล้วเด็กน้อยที่อยู่ข้างหลังไปหยิบจับอะไรแล้วเอาเข้าปากย่อมไม่มีใครรู้ แบบนั้นคงทำให้ทุกคนกลัวแทบตายเป็นแน่
เมื่อเปรียบเทียบกับเสิ่นทิงหลานแล้ว เสิ่นทิงหลานนั้นมีเรียบร้อยมากกว่ามาก เธอรู้ว่าอะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ ทั้งยังไม่เคยตะกรุมตะกราม
สองแม่ลูกหยิบตะกร้าไม้ไผ่เล็ก ๆ สองใบ แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างเบิกบาน
…
ในตอนที่เซี่ยชิงหยวนไปหาเถียนกุ้ยฟาง เธอกำลังทำงานอยู่ในทุ่งนา พร้อมกับผู้หญิงอีกสองสามคน ซึ่งกำลังพูดคุยหัวเราะกันในขณะที่ขุดดิน
ก่อนหน้านี้มีที่ดินจำนวนมากที่ถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง ไม่มีใครสนใจมาปลูกผักใด ๆ ทว่าตอนนี้แตกต่างออกไปแล้ว เมื่อมีความหวัง ย่อมมีพละกำลังโดยธรรมชาติ
จนถึงตอนนี้ พวกเธอก็ยังคงคุยกันถึงเรื่องเนื้อที่ได้กินเมื่อคืน
บางครอบครัวไม่กล้าที่จะกินเนื้อหมดในคราวเดียว จึงเก็บเนื้อบางส่วนไว้กินวันนี้
บ้างก็ว่าผัดกับผักกูด บ้างก็บอกว่านำไปย่าง เต็มไปด้วยความคึกคักครื้นเครงยิ่ง
พวกเธอยังเชื่อมั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าศูนย์บรรเทาความยากจนจะช่วยให้ชีวิตของตนนั้นดีขึ้นเรื่อย ๆ
ทันทีที่เห็นเซี่ยชิงหยวน หญิงสาวเหล่านั้นก็รีบทักทายเธออย่างอบอุ่น
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยตอบไปว่า “เดิมทีเราวางแผนว่าจะขุดดินปลูกผักสักสองสามแปลง ทว่ายุ่งมากเสียจนไม่มีเวลาจะดูแลมันได้เลยค่ะ”
กลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นพากันหัวเราะ “ตอนนี้คุณนายเสิ่นงานยุ่งพอ ๆ กับผู้อำนวยการเสิ่นเสียด้วยซ้ำไป แล้วจะหาเวลาที่ไหนมาทำเรื่องพวกนี้กันล่ะ?”
สาว ๆ ยกมือปาดเหงื่อพลางเอ่ย “รอให้วันนี้เราขุดดินพวกนี้เสร็จแล้ว พรุ่งนี้จะไปช่วยขุดให้คุณสักสองสามแปลงนะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนก็รีบโบกมือ “ไม่ ไม่ ไม่ต้องค่ะ พรุ่งนี้พวกเราพอมีเวลา เดี๋ยวเราทำกันเองค่ะ”
เธอเพียงแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ใครเลยจะรู้ว่าการที่ผู้หญิงเหล่านี้จะไปขุดดินให้นั้น ทำให้เธอตกใจไม่น้อยเลยจริง ๆ
พวกผู้หญิงหัวเราะเมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนตื่นตระหนกแค่ไหน
“คุณนายเสิ่น ใช่เรื่องใหญ่อะไรกันล่ะคะ? งานที่ใช้กำลังพวกนี้ สำหรับพวกเราแล้วก็ใช้กำลังเพียงสองสามส่วนเท่านั้น หากคุณจะทำเอง เห็นทีคงจะหนักเกินไป”
“ถูกต้องค่ะ คุณนายเสิ่นควรมีสมาธิกับงานของตัวเอง เรียกว่าอะไรนะ… ฆ่าไก่จะใช้มีดฆ่าวัวไม่ได้ ใช่ไหม?”
การเปรียบเทียบที่ไม่ค่อยเหมาะสมทำให้บรรดาผู้หญิงพวกนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนเองอดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ “ฉันติดตามสามีมาที่นี่ก็เพื่อดูแลเขาค่ะ หากมีอะไรที่ฉันสามารถช่วยเขาได้ ย่อมยินดียื่นมือเข้าไปช่วย การที่ได้รับการยอมรับจากทุกคน ทำให้ฉันประหลาดใจที่ได้รับความรักอย่างไม่คาดฝันแบบนี้จริง ๆ”
ชาวบ้านที่เรียบง่ายเหล่านี้ ล้วนมีหัวใจอันสัตย์ซื่อจริงใจ การได้อยู่กับพวกเขาทำให้จิตวิญญาณบริสุทธิ์และแจ่มใส
แม้ว่าชีวิตที่นี่จะลำบากอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะชอบวิถีชีวิตที่เรียบง่ายนี้มากกว่าชีวิตในละแวกบ้านที่มณฑลอวิ๋นอันเต็มไปด้วยการหลอกลวงกันไปมา ปากหวานก้นเปรี้ยวแบบนั้น
หญิงสาวกล่าวว่า “จากนี้ไป ทุกคนเรียกฉันว่า ‘ชิงหยวน’ เถอะค่ะ เราทุกคนก็เป็นชาวบ้านกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองกับฉันขนาดนั้นก็ได้”
เถียนกุ้ยฟางเป็นผู้ริเริ่ม “ใช่ เรียกน้องชิงหยวนดีกว่า ได้ยินคำว่า ‘คุณนาย’ อยู่ตลอดทั้งวันแล้วรู้สึกไม่ค่อยรื่นหูเสียเท่าไหร่เลย”
ดังนั้นทุกคนจึงทำตามเถียนกุ้ยฟาง โดยเรียกเธอว่า ‘น้องชิงหยวน’ และ ‘ชิงหยวน’
อีกด้านหนึ่งของแปลงผัก ผู้หญิงสองคนซึ่งเฝ้าดูภาพความปรองดองตรงหน้า ก็พลันเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม “เถียนกุ้ยฟางคนนี้รู้วิธีการทำตัวเป็นคนดีเสียด้วย”
“นั่นสิ มีใครไม่รู้บ้างว่าครอบครัวของเธอได้รับประโยชน์จากการประจบประแจงผู้อำนวยการเสิ่นและภรรยาของเขา”
ผู้หญิงสองคนที่พูดนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาเหมย หญิงสาวที่เอ่ยถามคำถามเซี่ยชิงหยวนในวันนั้นระหว่างการประชุม และอวี้จู ผู้ที่พยายามขายผักที่ตนเอาไว้ใช้เลี้ยงไก่ให้กับกองทัพในบ่ายวันก่อน
ทั้งอาเหมยกับอวี้จูต่างขี้เกียจและเล่นลูกไม้บิดพลิ้วอย่างหน้าด้าน ๆ กันจนเป็นนิสัย โดยปกติพวกเธอมักจะชอบสมาคมกันเอง เช่นเดียวกับครั้งนี้ ที่มีแค่พวกเธอสองคนที่ไม่ได้ไปรับเมล็ดพันธุ์ผักหรือขายผัก
อาเหมยเอ่ยขึ้นว่า “คอยดูเถอะ เมื่อถึงเวลาคงไม่มีใครอยากกินผักที่ปลูกนั่นแหละ”
อวี้จูเองก็กล่าวเสริมว่า “ใช่ หากมันขายได้ง่ายดายเพียงนั้น คนในหมู่บ้านคงจะรวยไปนานแล้วสิ”
อาเหมยมองไปยังรูปร่างอันงดงามของเซี่ยชิงหยวน ก็พลันหวนนึกถึงสิ่งที่สามีของตนพูดเมื่อคืนนี้ “ทำไมเธอไม่เข้าหาคุณนายเสิ่นล่ะ?”