บทที่ 543 อดทนสักหน่อย เบาเสียงลงสักนิด
บทที่ 543 อดทนสักหน่อย เบาเสียงลงสักนิด
เมื่อซุปกระเพาะหมูเริ่มเดือด เซี่ยชิงหยวนจึงหยิบเก๋ากี่ใส่ลงไปหนึ่งกำมือ ซุปสีขาวขุ่นตัดกับสีแดงของเก๋ากี่ดูสวยงามอย่างยิ่ง
หลังจากการตุ๋นไว้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แม้รสสัมผัสของกระเพาะหมูจะห่างไกลคำว่านุ่มละลายอยู่บ้าง ทว่ากลับมีรสชาติดี ทั้งยังมีความเหนียวนุ่มให้ได้เคี้ยว พอดิบพอดีอย่างมาก
ส่วนโจ๊กตับหมูก็ถูกตุ๋นจนเป็นเนื้อเดียวกัน เซี่ยชิงหยวนโรยต้นหอมซอยไว้ด้านบน ซึ่งส่งกลิ่นหอมตีขึ้นจมูก
หญิงสาวตักโจ๊กใส่ชามเล็กสองใบให้เด็ก ๆ ก่อน โดยเติมเกลือลงไปเล็กน้อย
จากนั้นจึงผัดขึ้นฉ่าย ซึ่งเก็บมาจากข้าง ๆ ลำธารอีกหนึ่งอย่าง มื้อเย็นของวันนี้ก็เป็นอันเรียบร้อย
เป็นเวลานานแล้วที่พวกเขาไม่ได้กินเนื้อสดใหม่เช่นนี้ ทั้งครอบครัวกินข้าวกันเสียจนเหงื่อออกบาง ๆ
เด็กทั้งสองนั่งอยู่ข้าง ๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้กินโจ๊กที่เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวป้อนให้ก่อนแล้ว และเห็นว่าผู้ใหญ่กินข้าว ทว่าเด็กๆ ก็ยังรีบร้อน ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ตลอดเวลา
เมื่อเสิ่นทิงอวิ๋นเห็นว่าพวกผู้ใหญ่ไม่สนใจตน เด็กชายจึงนำกำปั้นเล็ก ๆ นั้นเข้าปากแล้วแทะมันอย่างเพลิดเพลิน
เขาเคี้ยวกำปั้นของตัวเองอย่างมีความสุข เมื่อเห็นเสิ่นทิงหลานมองมา ก็ยื่นมือเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำลายให้เสิ่นทิงหลานอย่างมีน้ำใจ กระทั่งส่งเสียง “แอะ แอะ แอะ” ราวกับเชิญชวน
เมื่อมองดูหน้าตาท่าทางของน้องชายแล้ว เสิ่นทิงหลานกลับดูเหมือนจะรังเกียจมากเสียอย่างนั้น คิ้วเล็ก ๆ ที่น่ารักของเธอพลันขมวดหากันแน่น ก่อนจะผลักมือของน้องชายออกไป ด้วยกลัวว่าน้ำลายของเขาจะหยดลงบนตัว
หลังถูกเสิ่นทิงหลานปฏิเสธ เสิ่นทิงอวิ๋นไม่ได้โกรธ เพียงยัดมือกลับเข้าไปในปากของเขาอีกครั้งและแทะมันต่อไป
พวกผู้ใหญ่กินข้าวไป พลางมองเด็ก ๆ สองคนเล่นกัน ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดที่ลงแรงไปนั้นคุ้มค่าแล้ว
เสิ่นอี้หลินดื่มน้ำแกงแล้วเอ่ยขึ้น “คงจะดีถ้ามีหมูป่าทุกวัน”
เสิ่นอี้โจวจึงกล่าวว่า “การจับหมูป่าไม่ได้ง่ายนัก และพวกมันอาจทำร้ายผู้คนด้วยซ้ำ”
มณฑลอวิ๋นเองก็ไม่ได้ต่างจากที่อื่นมากนัก มีป่าดงดิบและสัตว์ป่ามากมาย ทั้งหมาป่า หมูป่า ลิง นกฮูก งู ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถพบเห็นได้
ครั้งเมื่ออยู่ที่หมู่บ้านซีสุ่ย มีชายหนุ่มคนหนึ่งไปเก็บฟืนที่เชิงเขา ในระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็พบกับหมูป่าตัวหนึ่งซึ่งลงมาจากภูเขาเพื่อหาอาหาร แต่เขาวิ่งหนีไม่ทัน จึงถูกหมูป่าตัวนั้นทำร้ายจนตาย
แม้แต่ผู้ชายที่เป็นชายหนุ่มแล้วหลาย ๆ คนรวมกัน ก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะหมูป่าได้
หมูป่าเป็นสัตว์กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร มีนิสัยดุร้าย หากพบเจอกับคนเข้า โอกาสที่คนจะเอาชนะได้นั้นมีน้อยมาก
“แต่..” เซี่ยชิงหยวนรำพึง “วันนี้ฉันได้ยินพี่สาวกุ้ยฟางบอกว่าหมูป่ามักจะลงมาจากภูเขาด้านนี้บ่อยครั้ง ทั้งยังทำลายสวนไร่นาและทำร้ายผู้คนเป็นปกติ”
ได้ยินดังนั้น เสิ่นอี้โจวก็ทำท่าราวกับคิดอะไรบางอย่าง แล้วเอ่ยขึ้น “ประจวบเหมาะกับที่ทหารปลดประจำการมาถึงที่นี่พอดี สามารถพลิกแพลงใช้งานพวกเขาให้เป็นประโยชน์ได้อยู่”
ทหารผ่านศึกไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ทุกคนล้วนได้รับการฝึกฝน ทั้งยังพอเป็นวิชาหมัดมวยและกังฟูเล็กน้อย หากพวกเขาจัดตั้งทีมลาดตระเวนพร้อมอุปกรณ์ที่เหมาะสม ก็อาจจะล่าหมูป่าได้สองสามตัว
ชายหนุ่มรีบตักข้าวเข้าปาก “เดี๋ยวผมจะไปปรึกษาหารือกับพวกเขาสักหน่อย”
เซี่ยชิงหยวนรีบรั้งผู้เป็นสามีเอาไว้ ”ถึงคุณจะไม่พักผ่อน แต่ก็ปล่อยให้ลูกน้องได้พักสักนิดเถอะน่า อีกทั้งนี่ก็เพิ่งได้กินเนื้อสัตว์กันไป คุณก็เตรียมจะสั่งงานพวกเขาอีกแล้วรึไง?”
“นั่นสิ” หลินตงซิ่วตักซุปซึ่งมีกระเพาะหมูอยู่หลายชิ้นให้ลูกชายอีกหนึ่งทัพพี “พักผ่อนอยู่ที่บ้านก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เนื้อกลับมาอีก”
เซี่ยชิงหยวนใช้ตะเกียบคีบกระเพาะหมูให้หลินตงซิ่วเช่นกัน “แม่คะ ไม่ต้องคอยตักนั่นคีบนี่ให้พวกเราแล้ว แม่เองก็ต้องกินเยอะ ๆ นะ”
ทุกครั้งที่กินข้าว หลินตงซิ่วมักจะคีบแต่ของที่เหลือในจานและผักใบเขียวต่าง ๆ น้อยนักที่จะคีบเนื้อสัตว์เข้าปาก
ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนสุดท้ายที่หยิบตะเกียบ ทว่ากลับเป็นคนแรกที่วางชามลง แล้วออกไปทำงานบ้านหรือไปดูแลเด็ก ๆ
หลินตงซิ่วออยากจะคีบมันออกไป แต่เมื่อมองดูรอยยิ้มอันสดใสของเซี่ยชิงหยวน เบ้าตาของเธอก็พลันร้อนผ่าว แล้วเอ่ยตอบว่า “อื้ม ได้ ทุกคนก็กินเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “แม่คะ อี้หลิน อดทนรอกันก่อนนะ หนูรับรองว่าอย่างมากที่สุดคือหนึ่งเดือน หนูจะทำให้ทุกคนได้กินเนื้อกันทุก ๆ วัน”
เสิ่นอี้หลินโห่ร้องอย่างมีความสุข “พี่สะใภ้เยี่ยมมาก พี่สะใภ้เยี่ยมมาก!”
รอยยิ้มของเซี่ยชิงหยวนไม่ได้หุบลง “แน่นอนว่ามีการคาดการณ์ว่าจะจัดตั้งโรงเรียนขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น จะให้นายเป็นหัวหน้าห้องนะ”
สีหน้าของเสิ่นอี้หลินอมทุกข์ขึ้นมาโดยพลัน “…พี่สะใภ้ ปล่อยผมไปเถอะ!”
เซี่ยชิงหยวนจิ้มปลายจมูกเขาเบา ๆ “เอาละ เดาว่านายอาจจะได้เป็นครูตัวน้อยของเราด้วย”
เสิ่นอี้หลินเอนตัวไปข้างหลังและคร่ำครวญ “อย่านะครับ…”
พวกผู้ใหญ่ต่างพากันแกล้งเสิ่นอี้หลินอย่างสนุกสนาน บ้านไม้ไผ่หลังนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
…
หลังจากทำงานอย่างหนักมาหลายวันนับตั้งแต่ที่มาถึงอำเภอรุ่ย ในที่สุดสองสามีภรรยาก็มีเวลาผ่อนคลายเสียที ทั้งคู่นอนคุยกันเรื่องสัพเพเหระ
เวลาที่เสิ่นอี้โจวอยู่ที่บ้าน เด็ก ๆ จะนอนกับพวกเขา
ที่นี่มียุงและแมลงค่อนข้างเยอะ ทั้งที่ยังไม่เข้าฤดูร้อนเลยเสียด้วยซ้ำ เซี่ยชิงหยวนจึงต้องกางมุ้งที่นำมาด้วย หนึ่งหลังสำหรับเตียงของผู้ใหญ่ และอีกสองหลังสำหรับเปลเล็กของเด็ก ๆ
เซี่ยชิงหยวนแอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว พลางมองดูแสงจันทร์นวลผ่องที่นอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อก่อน ฉันคิดมาโดยตลอดว่าผู้คนที่อยู่ในบ้านไม้ไผ่นั้นคงมีความสุข ไม่คาดคิดเลยว่าตอนนี้ฉันจะได้มาอยู่ซะเอง”
เสิ่นอี้โจวประทับจูบลงบนหน้าผากของหญิงสาว ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “บางครั้งพอลองคิด ๆ ดูแล้ว ก็มีความรื่นรมย์ยินดีท่ามกลางความขมขื่นใช่ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อื้มใช่”
เธอเอ่ยกระซิบที่ข้างหูของเขา “อันที่จริงบ้านไม้ไผ่หลังนี้นับว่าดีเยี่ยมทุกอย่าง เว้นก็แต่ไม่เก็บเสียงเนอะ”
เมื่อขึ้นบันไดมา ทางขวามือจะเป็นห้องนั่งเล่น เมื่อเดินเข้ามาอีกนิดจะมีห้องแยกสองห้อง และทางด้านซ้ายของบันไดคือห้องนอนใหญ่กับห้องเล็ก
เสิ่นอี้โจวรู้สึกได้ว่าฝ่ามือเรียวของเธอกำลังลูบไล้ขึ้นไปจากต้นขาของเขา แววตาของชายหนุ่มพลันมืดลง แล้วเอ่ยว่า “มีห้องนั่งเล่นคั่นอยู่ตรงกลาง พวกเขาคงไม่ได้ยินหรอกมั้ง”
จากนั้นเขาก็พลิกตัวแล้วยันมือไว้ข้างตัวภรรยา “หรือไม่คุณก็…อดทนสักหน่อย เบาเสียงลงสักนิดเป็นไง?”