บทที่ 540 เจรจาแบ่งเนื้อหมู
บทที่ 540 เจรจาแบ่งเนื้อหมู
เซี่ยชิงหยวนและเถียนกุ้ยฟางเมื่อได้ยินเสียงนั้น จึงกล้าหันหลังกลับไป
พบว่าหมูป่าที่ไล่ตามมาอย่างดุร้ายนั้นล้มลงกับพื้น และกำลังหอบหายใจอย่างหนัก
ทหารในชุดสีเขียวมะกอกกว่ายี่สิบคนยืนตระหง่านอยู่ข้างทาง สองคนที่นำหน้านั้นถือปืน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่ฆ่าหมูป่าเมื่อครู่
เซี่ยชิงหยวนจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือหลิงเยี่ย
ชาวบ้านเมื่อเห็นเหล่าทหาร เบ้าตาก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พวกเขาคือความมั่นใจและความรู้สึกปลอดภัย!
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปล่งเสียงดีใจออกมาเป็นคนแรก “กองทัพปลดปล่อยประชาชนมาแล้ว! กองทัพปลดปล่อยประชาชนมาแล้ว!”
หลิงเยี่ยวางปืนแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “พวกคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
ชาวบ้านซึ่งรอดตายมาอย่างหวุดหวิดพยักหน้า “ไม่เป็นไร ขอบคุณพวกคุณมาก!”
เซี่ยชิงหยวนเองกำลังจะก้าวออกมาข้างหน้า ทว่าเสิ่นทิงอวิ๋นซึ่งตกใจกับเสียงปืนเมื่อครู่พลันอ้าปากเล็ก ๆ แล้วร้องไห้ออกมา “แง…!”
เซี่ยชิงหยวนรีบปลอบประโลมลูกชายทันที แต่ใครจะรู้ หลิงเยี่ยกลับเอ่ยกลั้วหัวเราะแทน “เด็กน้อย กลัวลุงเหรอ?”
หลังจากเสียงเอ่ยคำของหลิงเยี่ยจบลง เสิ่นทิงอวิ๋นก็ลืมร้องไห้ไป และตัวแข็งค้างจ้องมองไปยังชายหนุ่ม
ท่าทีของหลิงเยี่ยอ่อนโยนลง เขาเอื้อมมือออกไปอุ้มเด็กชายมาจากอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวนพร้อมเอ่ยชมเชย “เด็กดี”
เสิ่นทิงอวิ๋นเองก็หยุดร้องไห้และซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของหลิงเยี่ย พลางเล่นกับเหรียญตราบนไหล่ของชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ
เสิ่นอี้โจวซึ่งเดิมทำงานอยู่ที่บ้าน ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนของชาวบ้าน จึงรีบวางงานในมือแล้ววิ่งออกมาเช่นกัน
บ้านไม้ไผ่เล็ก ๆ หลังนี้ตั้งอยู่เนินเขาสูง เมื่อเขาเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกหมูป่าไล่ล่า เขาไม่มีเวลาจะหยิบอะไรติดไม้ติดมือไปเสียด้วยซ้ำ เพียงรีบวิ่งตรงเข้าไปทันทีเท่านั้น
โชคดีที่ได้พบกับพวกหลิงเยี่ยที่บังเอิญผ่านมาพอดี ไม่เช่นนั้น ชาวบ้านบางคนคงได้รับบาดเจ็บแน่
เสิ่นอี้โจวก้าวเข้ามาพลางมองดูลูกชายตัวน้อยของตนที่ยิ้มทั้งน้ำตาอยู่ในอ้อมแขนของหลิงเยี่ย จากนั้นจึงมองไปยังเซี่ยชิงหยวน ซึ่งผมสลวยนั้นยุ่งเหยิงเล็กน้อย ในที่สุดหัวใจที่บีบรัดแน่นก็พลันคลายลง
ชายหนุ่มเอ่ยว่า “ชิงหยวน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ เอ่ยตอบด้วยอาหารหอบเล็กน้อย “ฉันสบายดีค่ะ”
เขาตบเบา ๆ เข้าที่แขนของหลิงเยี่ย ก่อนจะจับมือด้วยความขอบคุณ “เมื่อครู่นี้ขอบคุณมากจริง ๆ”
หลิงเยี่ยพยักหน้าเบา ๆ “เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ”
จากนั้นจึงเบี่ยงตัวเล็กน้อยพลางเอ่ย “พวกเขาคือกลุ่มแรกที่ปลดประจำการ รบกวนผู้อำนวยการเสิ่นช่วยจัดการด้วยนะครับ”
เสิ่นอี้โจวมองไปยังทหารที่เข้าแถวอยู่ข้างหลังหลิงเยี่ย พวกเขาแบกกระเป๋าอันหนักอึ้งไว้บนหลัง นอกจากข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวแล้ว ยังมีของสำหรับการก่อสร้างอีกด้วย
เสิ่นอี้โจวแสดงออกถึงความนับถือ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “วางใจเถอะ ผมจะจัดการแบ่งงานให้อย่างเหมาะสมแน่นอน”
ชาวบ้านคนหนึ่งเปิดปากเอ่ยขึ้นมา “ผู้อำนวยการเสิ่น แล้วหมูป่านี่ล่ะ?”
หมูป่าสามตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดหนักราวหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลกรัม ส่วนสองตัวนั้นตัวเล็กกว่า แต่ละตัวน่าจะหนักราว ๆ หนึ่งร้อยกิโลกรัม
เสิ่นอี้โจวกล่าว “วันนี้ต้องขอขอบคุณหัวหน้ากองร้อยหลิงและทหารทุกท่านที่ทำให้เราหลุดพ้นเรื่องร้าย ๆ ได้ ผมขอเป็นผู้ตัดสินใจว่าเจ้าหมูป่าตัวใหญ่นี้ เราจะแบ่งเนื้อให้ทุกคนเท่า ๆ กัน ส่วนที่เหลือสองตัวเล็ก ให้หัวหน้ากองร้อยหลิงนำกลับไปยังค่ายทหาร ทุกคนคิดเห็นว่ายังไงครับ?”
เนื้อสดสำหรับคนที่นี่มีค่ามากกว่าเงิน
คนในหมู่บ้านบางคนสามารถกินเนื้อสัตว์ได้เพียงครั้งเดียวในช่วงปีใหม่ บางคนอาจถึงขั้นสองสามปีได้กินสักครั้ง หากถามว่าอยากจะยอมเสียไปหรือไม่? แน่นอนว่าไม่
แต่พวกเขาเองก็เข้าใจดีว่าหากวันนี้ไม่มีพวกหลิงเยี่ย ไม่ต้องพูดถึงการได้กินเนื้อหมูป่า เกรงว่าผู้คนคงได้รับบาดเจ็บกันด้วยซ้ำไป
ตอนนี้การที่เสิ่นอี้โจวจะแบ่งเนื้อหมูป่าตัวใหญ่ให้พวกเขา ก็นับว่าเป็นผลประโยชน์ของพวกเขาแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงแทบจะไม่มีใครคัดค้าน และเต็มไปด้วยเสียงเห็นด้วย
“เราจะเอาไปได้ยังไงกัน ให้ผู้บังคับกองร้อยหลิงนำมันไปให้ทหารเถอะ!”
“นั่นสิ ให้พวกเขาไปทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ควรแล้ว!”
ความสัตย์ซื่อจริงใจของผู้คนสะท้อนให้เห็นออกมาอย่างชัดเจนในช่วงเวลานี้
แน่นอนว่าพวกหลิงเยี่ยเองย่อมปฏิเสธ “ผู้อำนวยการเสิ่น การปกป้องรักษาชีวิตของประชาชนเป็นหน้าที่ของเรา เรารับไว้ไม่ได้หรอกครับ”
ค่ายทหารของพวกเขาอยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขา ซ้ำยังยากลำบากกว่าที่นี่มากนัก และทหารมักจะหิวโหยหลังได้รับการฝึก
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่อยากได้อะไรจากประชาชน แม้แต่เส้นด้ายสักเส้นเดียวก็ตาม
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “นี่คือความตั้งใจของชาวบ้านทุกคน อีกทั้งหากไม่ใช่เพราะพวกคุณ เราจะได้ลาภปากแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก? ทหารประจำการอยู่ที่ชายแดนเพื่อปกป้องประชาชน หมูป่าสองตัวนี้มีค่าเทียบเคียงได้ที่ไหนกันล่ะครับ?”
“ถูกต้องแล้ว หัวหน้ากองร้อยหลิง รับไว้เถอะ!”
“คนที่ยิงหมูป่าพวกนี้ก็คือพวกคุณ หากพวกคุณไม่รับไป พวกเราเองก็ไม่กล้าเอาไปเหมือนกัน!”
เซี่ยชิงหยวนยังกล่าวอีกว่า “ทหารและประชาชนนั้นเป็นดั่งปลากับน้ำ นี่ก็เหมือนกับการที่คุณปกป้องฉัน ฉันก็อยากทำเพื่อคุณไม่ใช่เหรอคะ? หากท้องไม่อิ่มจะเอาเรี่ยวแรงกำลังจากไหนมาปกป้องประเทศและประชาชนกัน?”
หลิงเยี่ยมองไปยังทหารหนุ่มสองคนที่มารับคนกับเขาในครั้งนี้ พวกเขาอายุเพียงสิบแปดหรือสิบเก้าปี ใบหน้าเหลืองซูบซีด ดูขาดสารอาหารอย่างยิ่ง
สีหน้าของพวกเขาเด็ดเดี่ยวหนักแน่น ดวงตามองตรงไปข้างหน้า ทว่าแอบเหลือบมองไปทางหมูป่าอยู่ครึ่งหนึ่ง
หัวใจของหลิงเยี่ยสั่นไหวพร้อมกับเบ้าตาที่ร้อยผ่าว ชายหนุ่มเอ่ยว่า “หลิงเยี่ยคนนี้ขอเป็นตัวแทนเหล่าทหารกล่าวขอบคุณชาวบ้านทุกคนครับ!”
ชาวบ้านยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นว่าหลิงเยี่ยยอมตกลง
เถียนกุ้ยฟางพลันเอ่ยขึ้น “รีบมัดหมูป่ากันเถอะ เพื่อที่พวกหัวหน้ากองร้อยหลิงจะได้เอามันกลับไป!”
ทุกคนจึงรีบเร่งจัดการอย่างกระตือรือร้น ส่วนหนึ่งเคลื่อนย้ายหมูป่า อีกส่วนกลับไปเอาเชือกและคานหาม เพียงพริบตาผู้คนก็แยกย้ายหายไปกันเกลี้ยง ไม่มีใครสนใจไปแบ่งหมูป่าตัวใหญ่แต่อย่างใด
ชาวบ้านรีบมัดขาของหมูป่าทั้งสอง แล้วเอาคานหามสอดไว้ตรงกลางเพื่อยึดพวกมันไว้และทำให้สามารถหามได้
ชาวบ้านที่เป็นวัยรุ่นสองคนเอ่ยว่า “หัวหน้ากองร้อยหลิง พวกเราจะช่วยเอาไปส่งให้คุณเองครับ”
ตอนนี้เป็นเวลาราวสามหรือสี่โมงเย็น เมื่อส่งหมูป่ากลับไปก็ทันเวลามื้อเย็นพอดี
หลิงเยี่ยไม่ได้ปฏิเสธอีก “รบกวนพวกคุณแล้ว”
ชาวบ้านทั้งสองจึงร่วมด้วยช่วยกันหามหมูป่าไป
ที่ค่ายทหารนั้นมีแม่ครัว ย่อมสามารถจัดการกับหมูป่าสองตัวได้
ทุกคนมองไปยังหมูป่าตัวใหญ่ที่อยู่บนพื้น ก่อนเบนสายตาไปหาเสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า ”ขอให้พี่สาวเถียนช่วยหาชาวบ้านที่มีความชำนาญในการฆ่าหมูมาและช่วยแบ่งเนื้อหมูตามจำนวนสมาชิกของแต่ละครอบครัวด้วยนะครับ ผู้ใหญ่ได้รับหนึ่งส่วนแบ่ง และเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบได้รับครึ่งส่วน”