บทที่ 536 กลิ่นหอมของเนื้อที่ลอยฟุ้งไปทั่วหมู่บ้าน
บทที่ 536 กลิ่นหอมของเนื้อที่ลอยฟุ้งไปทั่วหมู่บ้าน
เมื่อหลินตงซิ่วได้ยินเช่นนั้นก็พลันประหลาดใจในตอนแรก ก่อนความประหลาดใจจะแปรเปลี่ยนเป็นดีใจ “ครอบครัวของเรากินเนื้อสัตว์ได้เหรอ? ไม่ใช่ว่า…”
เธอละล้าละลังที่จะเอ่ยออกมา จึงชี้ไปยังด้านนอก
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและกล่าวว่า “แน่นอนว่าเราสามารถกินเนื้อสัตว์ได้ค่ะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเรามากินอย่างสบายใจกันเถอะค่ะ กินให้พุงกางไปเลย”
แน่นอนย่อมมีเหตุผลว่าทำไมเซี่ยชิงหยวนถึงกล้าทำแบบนี้
ข้อหนึ่ง เมื่อวานนี้เสิ่นอี้โจวบอกเธอว่าในวันนี้กลุ่มทหารผ่านศึกที่เกษียณอายุแล้วจากมณฑลอวิ๋นจะมาที่ภูเขาเพื่อช่วยสร้างเขตอาศัยของมาตุภูมิ การที่พวกเขาอยู่ที่นี่ หญิงสาวจึงไม่กลัวว่าจะมีคนมาระรานสร้างปัญหาให้ ส่วนข้อที่สองคือหากไม่ใช่กลิ่นหอมของเนื้อมาล่อตาล่อใจของพวกเขา แล้วพวกเขาจะยอมทำงานหนักได้ยังไง?
หลินตงซิ่วเห็นว่าเสิ่นอี้โจวนั้นผ่ายผอมราวกับลิง และเซี่ยชิงหยวนเองต้องให้นมลูก ด้วยเหตุนี้เธอจึงอยากทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์อยู่นานแล้ว
ด้วยถ้อยคำของเซี่ยชิงหยวน เธอจึงสาวเท้าวิ่งไปค้นหาเนื้ออย่างว่องไว “ลูกอยากกินเนื้ออะไรล่ะ? เนื้อหมูรมควัน หรือน่องไก่ตากแห้ง? หรือจะกินปลิงทะเลแทนดี?”
หัวใจของหลินตงซิ่วนั้นลิงโลดไปด้วยความสุขจนแทบจะล้นออกมา
เซี่ยชิงหยวนฟังเสียงอันดังที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักของแม่สามี ก็พลันรู้สึกอยากรีบไปปิดปากของเธอไว้เล็ก ๆ
ทว่าหญิงสาวเป็นคนเอ่ยบอกออกมาเอง จึงทำได้เพียงรับผิดชอบต่อคำพูดของตน
เสิ่นอี้หลินซึ่งอยู่ชั้นบนกับเด็ก ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงโผล่ศีรษะออกมาแล้วเอ่ยถามอย่างปีติ “พี่สะใภ้ เรากินเนื้อตอนนี้ได้แล้วเหรอครับ?”
เมื่อมองดูแก้มที่ตอบลงอย่างเห็นได้ชัดของเสิ่นอี้หลิน เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้าอย่างแรง “ใช่แล้ว เราจะกินเนื้อเป็นมื้อกลางวันกันนะ”
เสิ่นอี้หลินซึ่งชั้นบนส่งเสียงไชโยโห่ร้องขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น ผมอยากกินน่องไก่ตากแห้ง แล้วก็อยากกินผัดปลาหมักด้วยครับ”
เซี่ยชิงหยวนตอบว่า “ได้ วันนี้เราจะทำสองจานนี้เป็นมื้อกลางวันกัน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ แน่นอนว่าหลินตงซิ่วทำตามที่ทั้งสองกล่าวบอกทันที
นอกจากน่องไก่ตากแห้งแล้ว หลินตงซิ่วยังหั่นกุนเชียงอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งแบบเผ็ดสไตล์เสฉวน และอีกชิ้นหนึ่งแบบหวานสไตล์กวางตุ้ง หลังจากหั่นแล้วจึงจัดใส่จานแล้วหุงรวมกับข้าวก็เป็นอันเสร็จ
ส่วนผัดปลาหมึกแห้งนั้น หลังนำปลาหมึกไปแช่น้ำแล้ว ก็หั่นเป็นชิ้น ๆ จากนั้นจึงนำไปผัดรวมส่วนผสมต่าง ๆ ตามอัตราส่วน เติมน้ำเล็กน้อย ก่อนจะผัดต่อจนแห้งก็เป็นอันเรียบร้อย
หลินตงซิ่งยังทำผัดผักกวางตุ้งเพิ่มอีกจาน ซึ่งเป็นผักที่เถียนกุ้ยเฟยตัดจากในแปลงของตนมาให้ในวันนี้
นอกจากนี้ในทุ่งนาและบนภูเขายังมีผักกาดเขียวเป็นจำนวนมาก เธอต้องอุ้มเด็ก ๆ ไปด้วยจึงไม่ได้เก็บผักพวกนั้นมา ทำได้เพียงแต่จ้องมองตาเป็นมันเพียงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรจะกินนัก ทว่าตอนนี้บนภูเขาเต็มไปด้วยผักและผลไม้ป่า แต่ผู้คนที่นี่ก็ไม่สนใจที่จะกินมันอีกแล้ว
กลิ่นอาหารที่แม่สามีและลูกสะใภ้ทำนั้นหอมฟุ้งไปไกล โดยเฉพาะกลิ่นเนื้อหมูรมควันที่นึ่งในหม้อ กลิ่นหอมลอยล่องไปตามลม ทำให้เกือบทุกคนที่อยู่ด้านล่างได้กลิ่น
มีคนออกมาจากบ้านพลางยื่นจมูกดมกลิ่นดูว่าบ้านใครที่กำลังทำเมนูเนื้อ
หลังจากที่รู้ว่าเป็นบ้านของเสิ่นอี้โจว พวกเขาก็พลันแห้งเหี่ยวลงทันใด
บางคงไม่ยอมรับ “ทำไมพวกเขาถึงมีเนื้อกิน ไม่ใช่บอกว่าจะมาช่วยบรรเทาความยากจนหรอกเหรอ? แล้วทำไมถึงมาเห็นแก่ตัวแบบนี้กัน?”
ในขณะที่บางคนยิ้มร่า “ฉันเองก็อยากกินเนื้อ พรุ่งนี้ไปขุดเจาะหินด้วยกันเถอะ”
จากนั้นก็มีอีกคนเอ่ยขึ้นว่า “นั่นสิ คุณนายเสิ่นบอกว่าเธอจะแบ่งสันปันส่วนเนื้อตามงานที่ทำด้วยนี่”
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่ที่บ้านต้องกินน้ำซาวข้าวหรือผักดอง ต่างพากันตัดสินใจว่าจะพาสามีไปทำงานในวันพรุ่งนี้
อีกทั้งพวกผู้ชายยังกล่าวบอกกับผู้หญิงในบ้านด้วยว่า “วันนี้เธอได้เมล็ดพันธุ์พืชมาแล้วไม่ใช่เหรอ? รีบไปขุดดินปลูกพืชเร็ว จะได้นำผักไปขาย”
พวกผู้หญิงเองก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเช่นกัน “ฉันรู้แล้ว สนใจเรื่องของตัวเองเถอะ”
…
เสิ่นอี้โจวกลับมาตอนเกือบเที่ยง พร้อมกับข่าวดีที่ว่าหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อของกองทัพยอมรับข้อเสนอของพวกเขาแล้ว
ทุกเช้าคนในหมู่บ้านมีหน้าที่จัดส่งพืชผักที่นั่น จดบันทึกปริมาณไว้ และจะจ่ายเงินให้ทุก ๆ ครึ่งเดือน
เซี่ยชิงหยวนซึ่งกำลังหยอกล้อกับลูก ๆ จึงเอ่ยบอกเขาถึงเรื่องที่จัดการให้ผู้หญิงในหมู่บ้านปลูกพืชผักที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เช่นกัน
หญิงสาวระบายยิ้ม “เริ่มจากกำไรในจุดเล็ก ๆ นี้ก่อน จากนั้นการขยับขยายไปปลูกพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ขอบคุณคุณมากนะ พวกเราเริ่มต้นมาถูกทางแล้วแหละ”
บางอย่างเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายที่จะสื่อสารออกไป หรืออีกนัยหนึ่งคือพวกเขาไม่สามารถแล้วได้ผลเช่นนี้ได้
หากผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งในศูนย์บรรเทาความยากจนไปพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ คาดว่าคงถูกดูแคลนและปฏิเสธกลับมา หรือไม่ก็ไม่เต็มใจจะทำ เฉกเช่นเดียวกับการขุดเจาะและซ่อมแซมถนน
เขากล่าวว่า “ตอนบ่าย เราจะให้คนไปพูดคุยเรื่องการก่อสร้างถนนและการจัดสรรปันส่วนอาหารอีกครั้ง” ชายหนุ่มเงียบลงครู่หนึ่ง “เพียงแต่คนที่จะมาทำกับข้าวนี่สิ คุณคิดเห็นว่ายังไงบ้างล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนพึมพำ “วันนี้ฉันได้พูดคุยกับเถียนกุ้ยฟางแล้ว พบว่าเธอค่อนข้างใช้การได้เลยทีเดียว ตอนบ่ายนี้ฉันจะลองถามเธอดูนะว่าเธออยากทำหน้าที่นี้ไหม หรือมีคำแนะนำอะไรรึเปล่า”
เสิ่นอี้โจวจับมือผู้เป็นภรรยาเอาไว้พร้อมเอ่ยอย่างปลื้มใจ “เมื่อมีคุณอยู่เคียงข้าง ดูเหมือนว่าผมไม่ต้องกังวลอะไรอีกเลย”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มพลางลูบหลังมือของเขา “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ? เรายังต้องคิดหาทางเรื่องวัสดุที่จะนำมาใช้สร้างฟาร์มเพาะพันธุ์อีกไม่ใช่เหรอ? ไหนจะเรื่องว่าต้องหาลูกเจี๊ยบกับลูกเป็ดอีก? คุณไม่ต้องกังวลถึงเรื่องพวกนี้แล้วรึไง?”
ลูกเจี๊ยบและลูกเป็ดนั้นสามารถใช้ไม้ไผ่ล้อมทำเป็นคอกได้ ทว่าหากเป็นการทำปศุสัตว์ขนาดใหญ่ย่อมไม่สามารถใช้ได้
คนที่นี่ปลูกข้าวโดยใช้แรงคนในการไถพรวนดินเป็นหลัก เห็นทีว่าคงต้องเลี้ยงกระบือเพิ่มด้วย และคงจะดีกว่านี้ไม่น้อยหากมีรถไถนาแบบเดินตาม รวมถึงเครื่องจักรอื่น ๆ
เสิ่นอี้โจวลูบหว่างคิ้ว แสร้งทำเป็นปวดหัว “ชิงหยวน คุณให้ผมได้ผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน หลินตงซิ่วก็นำจานอาหารเข้ามา “ไปล้างมือซะไป ได้เวลากินข้าวแล้ว”
เสิ่นอี้โจวจำกลิ่นหอมของเนื้อในตอนที่เขาเดินเข้าบ้านมาเมื่อครู่นี้ได้ดี ก่อนจะเข้าใจในทันทีเมื่อเห็นจานในมือของหลินตงซิ่ว
ชายหนุ่มพลันจ้องมองไปยังเซี่ยชิงหยวนด้วยความสับสนงุนงง