บทที่ 530 ไม่ใช่เลขาธิการเสิ่นอีกแล้ว
บทที่ 530 ไม่ใช่เลขาธิการเสิ่นอีกแล้ว
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังใบหน้าเล็ก ๆ ไร้เดียงสาตรงหน้าก็พลันรู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบอันหนักอึ้งบนบ่าของเธอ
เธอปล่อยให้เสิ่นอี้หลินไปเล่นกับเด็ก ๆ พวกนี้ พร้อมกำชับเขาว่าไม่ว่ายังไงก็ห้ามอวดตัว จากนั้นจึงขึ้นไปชั้นบนกับเสิ่นอี้โจวที่อุ้มลูกเอาไว้อ้อมอก
ก่อนหน้านี้เด็กทั้งสองได้กินนมและเล่นกับเสิ่นอี้โจวมาสักพักหนึ่งแล้ว ทำให้ตอนนี้จึงค่อนข้างเหนื่อยอ่อน ไม่นานพวกเขาก็ผล็อยหลับไป
เสิ่นอี้โจวมองดูลูก ๆ ทั้งสองที่กำลังนอนหลับ แล้วเอ่ยขึ้น “ช่วงนี้หากวันไหนพอว่าง เรามาทำเปลให้สองพี่น้องนี่กันนะ”
โดยปกติแล้วที่มณฑลอวิ๋นจะมีเปลและเตียงเล็ก ๆ ซึ่งก็เป็นเสิ่นอี้โจวกับพวกปี่เหลาซานที่ทำขึ้นมา
น่าเสียดายที่พี่สาวน้องชายคู่นี้ได้ใช้ของพวกนั้นไม่ถึงหกเดือนก็ต้องมาที่นี่เสียแล้ว
เซี่ยชิงหยวนซึ่งอยู่ข้าง ๆ ยกยิ้มเป็นการตอบรับ “ดีเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เปลของเด็ก ๆ นะ ยังมีห้องอาบน้ำของฉัน ห้องน้ำ เล้าไก่เล้าเป็ด ทั้งหมดนี้ด้วย”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าแล้วจับมือของภรรยาไว้ “ครับผม ขอเพียงที่คุณต้องการ ผมจะจัดการเติมเต็มให้เลย”
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังแก้มตอบ ซ้ำสีผิวยังเข้มขึ้นของเสิ่นอี้โจว รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวก็พลันจากลง “ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ค่อยเป็นค่อยไปกันนะ”
คำพูดของเธอนั้นมีสองนัย ไม่เพียงแต่หมายถึงชีวิตของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหนทางอันยาวไกลและยากลำบากในการบรรเทาความยากจนด้วย
เมื่อได้ยินถ้อยคำอันห่วงใยเอาใจใส่ของเซี่ยชิงหยวน ดวงตาของเสิ่นอี้โจวก็อดไม่ได้ที่จะแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง “…อื้ม”
เขาพบว่าตั้งแต่มาที่นี่ ดูเหมือนหัวใจของเขาจะนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นกว่าที่เคย
เซี่ยชิงหยวนพลันนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่อยากจะถามเขามาตลอดทว่าลืมถาม “ตอนแรก สถานที่ที่คุณจะไปไม่ใช่ที่นี่นี่ ทำไมจู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”
เสิ่นอี้โจวเองไม่ได้ปิดบัง ชายหนุ่มกล่าวว่า “อื้ม ที่แรกที่ผมตั้งใจจะไปไม่ใช่ที่นี่จริง ๆ อีกทั้งเงื่อนไขต่าง ๆ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก แต่บังเอิญเกิดความวุ่นวายขึ้นที่นี่แล้วไม่มีใครรับช่วงดูแลต่อ หลังจากหารือกับหน่วยงานแล้ว ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นจากที่นี่น่ะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ “ฉันนึกว่าเป็นเพราะฝั่งไป๋อวิ๋นหลี่หาเรื่องหาราวอะไรให้คุณซะอีก”
หากเป็นแบบนั้น และถ้าอำนาจในมือของเขามีมากมายถึงระดับนี้ วันข้างหน้าก็คงยากลำบากอย่างยิ่งแน่นอน
เสิ่นอี้โจวระบายยิ้ม พลางลูบแก้มของเธอเบา ๆ ความนุ่มนวลและละเอียดอ่อนตัดกับนิ้วที่หยาบกร้านของตนไม่น้อย ชายหนุ่มจึงถอนมือออก
เขากล่าวว่า ”ผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังไป๋อวิ๋นหลี่นั้นยากที่จะสั่นคลอนได้ แต่ก็ใช่ว่าจะปกทั้งผืนฝ้าได้ด้วยมือข้างเดียว เดิมทีผมไม่ต้องการใช้เส้นสายจากรุ่นของคุณปู่ทวด ทว่าตอนนี้ผมอยู่ที่นี่แล้ว จึงคิดว่าต้องพูดออกมา”
ไม่ใช่เพียงเพราะสภาพของพื้นที่นี่ที่เลวร้ายเหนือความคาดคิดของเขาไปมาก แต่ยังรวมถึงความจริงที่ว่าครอบครัวของตนมาอยู่ที่นี่ด้วย ทำให้เขาจำเป็นต้องคิดเรื่องนี้ใหม่
ความพยายามของพวกเขาและทางฝั่งของเซี่ยเจิ้งเพียงอย่างเดียวนั้น ก็มีคุณค่าเพียงพอให้หยิบยกมาพูดถึงสำหรับประเทศที่พื้นที่ห่างไกลรกร้างทุกหนทุกแห่งต้องการเงินและการฟื้นฟูแล้ว
เซี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างมีความสุขว่า “การรักษาความสัมพันธ์โดยเนื้อแท้แล้วคือการมีสายสัมพันธ์ที่จะดำเนินต่อไป อีกทั้งพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อสร้างข้อเท็จจริงให้กับประชาชนในนามของรัฐ”
หญิงสาวชี้นิ้วไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองหลวง “หากพวกเขายื่นมือเข้าช่วย เมื่อที่นี่พัฒนาปรับปรุงเรียบร้อย พวกเขาเองก็จะได้รับความดีความชอบด้วยหนึ่งส่วนไม่ใช่เหรอ?”
รอยยิ้มของเธอลึกซึ้งขึ้น “สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ*[1] ใครเลยจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่วกมาหาคุณเหมือนเมื่อก่อนอีก?”
เดิมทีเธอกังวลว่าเสิ่นอี้โจวคงไม่ยินยอมปริปาก ถึงขนาดไปเสาะหาเส้นสายของปี่เหลาซานเตรียมไว้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
เสิ่นอี้โจวถอนหายใจ “เป็นผมเองที่เมื่อก่อนนั้นมีความคิดตื้นเขิน”
คำพูดของเขาทำให้เซี่ยชิงหยวนหัวเราะ “เลขาธิการเสิ่น อย่าถ่อมตัวเลยค่ะ”
ใครกันคาดคิดว่าถ้อยคำของเซี่ยชิงหยวนกลับทำให้สีหน้าของเสิ่นอี้โจวนิ่งเฉยโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวนั้นไวต่อความรู้สึกจึงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง “ทำไมเหรอ?”
สีหน้าของเสิ่นอี้โจฉายชัดถึงความรู้สึกผิดและขอโทษ “ชิงหยวน ผมไม่ใช่เลขาธิการพรรคในศาลากลางอีกต่อไปแล้ว”
ได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนก็มองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
เสิ่นอี้โจวกล่าวต่อ “ตามหลักแล้ว เลขาธิการพรรคในศาลากลางนั้นไม่สามารถเข้าร่วมในโครงการนี้ได้โดยตรง”
ในช่วงเริ่มเตรียมการช่วงแรก เสิ่นอี้โจวมีบทบาทสำคัญในการใช้ความรู้ทางวิชาชีพและข้อมูลที่เขาได้รับจากศาสตราจารย์เติ้ง รวมถึงในระยะหลังที่ต้องดำเนินการผลักดันโครงการให้เกิดขึ้นก็ใช้กำลังกายกำลังสมองไปไม่น้อย
ดังนั้นหลังจากเหตุการณ์การยักยอกเงิน ผู้นำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยในศาลากลางจึงหารือกันและมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสิ่นอี้โจวเป็นหัวหน้าโครงการ
ส่วนพวกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านไม้ไผ่ใกล้ ๆ นี้ก็คือคนที่มาที่นี่พร้อมเขา
เขาเงียบลงครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ย “ตอนนี้ผมเป็นผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาความยากจน ไม่ใช่รองเลขาธิการอีกต่อไปแล้ว”
เพื่อดำเนินโครงการบรรเทาความยากจน ตำแหน่งเสิ่นอี้โจวจึงเปลี่ยนจากรองเลขาธิการเป็นผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาความยากจน คำถามที่ว่าเขาถูกลดตำแหน่งลงหรือไม่นั้น? ยากที่จะพูด
เพราะหากในวันหน้าสร้างผลงาน อนาคตก็ไร้ซึ่งขีดจำกัด
อันที่จริง หากพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันของเสิ่นอี้โจว การเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาความยากจนถือว่าเป็นทางที่ดีที่สุด
อาจกล่าวได้ว่าหน้าที่หลักของผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาความยากจนคือดูแลงานของสำนักงานอย่างครอบคลุม รับผิดชอบงานของศูนย์บรรเทาความยากจน ดูแลโครงการบรรเทาความยากจนและบริหารจัดการกองทุนต่าง ๆ เป็นต้น
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “จะรองเลขาธิการหรือผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาความยากจน ก็ล้วนทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อประชาชนไม่ใช่เหรอ?”
ท่าทีของเสิ่นอี้โจวผ่อนคลายลง “ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนที่มีให้นะ”
เซี่ยชิงหยวนซบไหล่ของเขา “คุณคือสามีของฉัน หากฉันไม่สนับสนุนคุณ แล้วให้ฉันสนับสนุนใครกัน?”
เรื่องเช่นนี้พูดคุยกันให้ชัดเจนก็พอแล้ว เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องจมอยู่กับมันให้วุ่นวายใจมากนัก
หญิงสาวเอ่ยถามถึงสิ่งที่เธอเห็นเมื่อวานนี้ “เมื่อวานนี้ตอนที่เราเพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่ ได้ยินมาว่าคุณเป็นคนนำชาวบ้านไปขุดเจาะหินเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า ”ผมกับเพื่อนร่วมงานได้สำรวจภูมิประเทศแล้วพบว่าทางทิศตะวันออกของทางเข้าหมู่บ้านมีถนนที่ใช้ออกไปข้างนอกได้สะดวกกว่าน่ะ เพียงแต่ถนนสายนั้นถูกภูเขาใหญ่ขวางไว้ หากจะสร้างถนนล้อมรอบ ก็จำต้องเสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกสามหรือสี่ชั่วโมง เพราะแบบนี้ เราจึงตัดสินใจตัดเส้นทางผ่านภูเขาแล้วลอดผ่านใต้ภูเขาแทน”
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจได้ในทันที “แบบนี้ทำให้ผู้คนเดินทางได้สะดวกกว่าจริง ๆ นั่นแหละ”
เมื่อนึกถึงผู้คนราวยี่สิบสามสิบคนที่กระจัดกระจายกันไปเมื่อวานนี้ หญิงสาวจึงพูดว่า “ความคืบหน้าในตอนนี้เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นเท่าไหร่ใช่ไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้ารับ “ในด้านหนึ่ง เป็นเพราะแรงจูงใจของผู้คนไม่ได้สูงนัก และอีกด้านหนึ่งคือตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ผู้คนต้องทำงานที่ไร่นาจึงไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมเท่าไหร่นะ”
ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเปลี่ยนสายอาชีพไปเป็นทหาร ทว่ามีเพียงกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่มาถึง และพวกเขาทั้งหมดถูกส่งไปยังแนวป้องกันชายแดนแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนยกมุมปากขึ้น “ฉันคิดว่าอาจมีวิธีอื่นนะ”
[1] สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ อุปมาว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน